บทที่ 438 พลังวิเศษทลายมรรคา อริยะหวาดกลัว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 438 พลังวิเศษทลายมรรคา อริยะหวาดกลัว

การรับจ้าวเซวียนหยวนเข้ามาในสำนักเป็นการกระตุ้นศิษย์สำนักซ่อนเร้นครั้งใหญ่ สำหรับตบะระดับปฐมเทพขั้นสามนั้นไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ นอกจากหานเจวี๋ย หลี่ว์ปู้ และ หม่าเชา

หลังจากผ่านประสบการณ์แบบจำลองการทดสอบ จ้าวเซวียนหยวนก็กลายเป็นคนถ่อมตัวขึ้นมาทันใด เมื่อประมือกับคนระดับหานเจวี๋ย ตัวเขานั้นยังเป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อย

ยิ่งได้รู้จักพวกลี่เหยา ถูหลิงเอ๋อร์ ฉู่ซื่อเหรินมากขึ้น จ้าวเซวียนหยวนก็พลันรู้สึกถึงวิกฤต

ศิษย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เยาว์วัย อายุยังไม่ถึงหมื่นปีแต่พรสวรรค์กลับน่าสะพรึงกลัว

เขาเคยได้ยินเรื่องพรสวรรค์ของเจียงอี้มาก่อน ขนาดผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือกว่าเขาอย่างเจียงอี้ยังมาเข้าสำนักซ่อนเร้น ทำให้เขารู้สึกสงสัยในตัวตนของหานเจวี๋ยอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าซักถามมากนัก

ผ่านไปไม่นาน เกาะสำนักซ่อนเร้นก็หวนคืนสู่ความสงบสุข เหล่าศิษย์ต่างก็แยกย้ายกันไปฝึกบำเพ็ญ

หานเจวี๋ยเองก็เช่นกัน

มุ่งสู่การทะลวงระยะปลายของเซียนทองต้าหลัว!

แม้จะยังห่างไกลจากการทะลวงระดับอยู่ไม่น้อย แต่หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่าการไปถึงระดับครึ่งอริยะก่อนสิ้นสุดมหาเคราะห์อาจจะยังไม่หมดหวังไปเสียทีเดียว

ดูจากแนวโน้มของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้ ใครเล่าจะรู้ว่าต้องรอคอยไปอีกนานเท่าใด

สี่สิบปีต่อมา

เกาะสำนักซ่อนเร้นถูกสิ่งอัปมงคลโจมตีอีกครั้ง แต่เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามมันก็ล่าถอยไปเอง

จ้าวเซวียนหยวนอดรู้สึกสงสัยในเกาะสำนักซ่อนเร้นไม่ได้ ที่นี่จะมีของวิเศษใดหรือไม่

อยู่มาวันหนึ่ง

หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญถูกขัดจังหวะด้วยการแจ้งเตือนที่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าของเขา

[ตรวจสอบพบว่าแดนเซียนเต็มไปด้วยแรงกรรม อริยะบีบบังคับให้เข้าสู่เคราะห์ สรรพชีวิตถูกนำทางไปสู่หายนะ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง เข้าสู่เคราะห์กรรมทันที ท้าทายอริยะ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]

[สอง ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบต่อไป จะได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]

‘อริยะบีบบังคับให้เข้าสู่เคราะห์? ใช้วิธีนี้เลยอย่างนั้นหรือ’

หานเจวี๋ยอดรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้ โชคดีที่ตัวเขาไม่ได้อยู่ในแดนเซียน

แต่น่าเสียดายที่ตัวเลือกที่สองไม่มีชิ้นส่วนมหามรรคเป็นรางวัล

[ท่านเลือกที่จะฝึกบำเพ็ญอย่างสงบต่อไป ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับพลังวิเศษทลายมรรคา–สรรพชีวันเท่าเทียม]

[สรรพชีวันเท่าเทียม: พลังวิเศษทลายมรรคา พลังวิเศษโชคชะตา สละตบะและดวงชะตาของตนเพื่อแลกมาด้วยความตายของสรรพชีวิต สรรพชีวิตในที่นี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่มีตบะต่ำกว่าผู้สำแดงพลัง สามารถสำแดงพลังได้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในมรรคาสวรรค์ ในระหว่างมหาเคราะห์เท่านั้น มีสิ่งแลกเปลี่ยนคือตบะที่จะทำให้สูญเสียขอบเขตพลังขนาดใหญ่]

หา? โหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ สูญเสียขอบเขตพลังขนาดใหญ่ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง

ซ้ำคนที่ใช้พลังวิเศษนี้ยังต้องผลาญดวงชะตาของตัวเองอีก ไม่พอยังสามารถทำลายได้แต่สิ่งมีชีวิตที่ตบะต่ำกว่าตัวเองเท่านั้น ได้ไม่คุ้มเสียเหมือนแทะซี่โครงไก่

ช่างเถอะ เรียนรู้ไปก่อน รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

หานเจวี๋ยเริ่มรับสืบทอดพลังวิเศษทลายมรรคา

ตู้ม!

ลำแสงสีดำน่าสยดสยองสาดส่องมาจากฟากฟ้า ตกลงสู่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่หันไปมองที่ถ้ำเทวาฟ้าประทานเป็นตาเดียว

จ้าวเซวียนหยวนเบิกตาโพลง ตกใจจนขวัญหาย

นี่มันอะไรกัน

ลำแสงสีดำทำให้บุคคลระดับเทพอย่างเขาต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว

ไก่คุกรัตติกาลมองไปยังฉู่ซื่อเหรินและเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลยล่ะ แนะนำให้เหล่าสหายได้รู้บ้างสิ!”

ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบอะไร

เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ทราบเช่นกัน

ภายในพระราชวังโอ่โถงอันมืดมนแห่งหนึ่ง หลี่มู่อีที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้นมากะทันหัน

“ทลายมรรคา…”

“ใครทำ”

หลี่มู่อีขมวดคิ้วมุ่น และเริ่มนับนิ้วคำนวณ

ในตอนนี้เอง ร่างที่เปล่งรัศมีเรืองรองสองร่างก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเขา ได้แก่เทพสูงสุดหนานจี๋ และเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยกล่าว “ศิษย์พี่ สัมผัสได้หรือไม่ มีคนหยั่งรู้พลังวิเศษทลายมรรคา ทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้อีก”

เทพสูงสุดหนานจี๋แค่นเสียงกล่าว “ต้องเป็นฝูซีเทียนแน่ๆ คนผู้นี้บีบบังคับให้เข้าสู่เคราะห์ ใช้ตบะของอริยะสะกดวังสวรรค์ ช่างไร้ยางอายเหลือทน หากเขาสำแดงพลังวิเศษทลายมรรคา มันจะทำลายล้างโลกภายในคราเดียว ถึงคราวสิ้นสุดของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต”

สีหน้าของหลี่มู่อีพลันมืดมนลง

คำสอนของสามสำนักเต๋าคือการเข้าสู่เคราะห์ หากฝูซีเทียนทำลายล้างโลก ดวงชะตาของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกทำลายจนสิ้น ในฐานะอริยะอริยะมรรคาสวรรค์ ดวงชะตาของพวกเขาย่อมกระทบต่อพลังมรรคของตน

แม้ว่าหลี่มู่อีจะไม่ใช่อริยะอริยะมรรคาสวรรค์ แต่ศิษยานุศิษย์ของเขายังตกอยู่ในเคราะห์

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็จงเข้าสู่เคราะห์เถิด” หลี่มู่อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ได้ยินดังนั้น เทพสูงสุดหนานจี๋ และเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยพลันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ทันทีที่เข้าสู่เคราะห์ จิตสังหารจะลุกโชน อริยะอริยะมรรคาสวรรค์จะสังหารเจ้าจนตายกันไปข้างหนึ่ง”

หลี่มู่อีกล่าว “หากไม่เข้าสู่เคราะห์ จะรอให้ฝูซีเทียนกลืนกินดวงชะตาของข้าอย่างนั้นหรือ”

เทพสูงสุดหนานจี๋กล่าว “บางทีอาจจะไม่ใช่ฝูซีเทียน เขาไม่จำเป็นต้องหยั่งรู้พลังวิเศษที่มีเดิมพันสูงเช่นนี้หลังจากเข้าสู่เคราะห์ ฝูซีเทียนก็ไร้คนหนุนหลัง”

หลี่มู่อีและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเห็นว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าคล้อยตาม

“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร คนผู้นั้นย่อมสามารถกำหนดทิศทางของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตได้ ข้าต้องไปด้วยตัวเอง มีอริยะอริยะมรรคาสวรรค์สองคนที่ควบคุมพลังวิเศษทลายมรรคาได้ ข้าจะไปลองถามพวกเขาดู” หลี่มู่อีลุกขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แดนเซียน เผ่าพันธุ์มนุษย์

บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังนั่งสมาธิเป็นแถวอยู่รอบแท่นบูชา

ผู้บำเพ็ญมากมายกำลังนั่งสมาธิอย่างสงบนิ่งอยู่เหนือแท่นบูชาทั้งแปดทิศ สายตาของทุกคนจดจ้องไปยังหมู่เมฆเหนือแท่นบูชา

เหนือหมู่เมฆปรากฏร่างหนึ่งกำลังนั่งแสดงธรรมท่ามกลางแสงทองอันเรืองรอง เสียงธรรมก้องกังวานไปทั่วทั้งโลกาสวรรค์

คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำขาว สีหน้าเคร่งขรึม เขาคือฝูซีเทียน อริยะเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง

ฝูซีเทียนลืมตาขึ้น คิ้วของเขาขมวดแน่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปริปากเอ่ยคำหากแต่เสียงธรรมก็ยังคงกึกก้องไปทั่ว

“พลังวิเศษทลายมรรคา…ใครกัน…”

ฝูซีเทียนนับนิ้วคำนวณ แต่ก็ไม่อาจสาวถึงตัวผู้ทรงพลังลึกลับผู้นั้นได้เช่นเดียวกับหลี่มู่อี

อารมณ์ของเขาพลันจมดิ่ง

พลังวิเศษทลายมรรคาสามารถทำลายคนธรรมดาได้ แม้แต่อริยะก็ไม่อาจจะหยุดยั้ง

หากอีกฝ่ายคืออริยะ ย่อมสามารถทำลายล้างสรรพชีวิตในมรรคาสวรรค์ รวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์จนสิ้นได้เพียงชั่วความคิดเดียว เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า แม้แต่ตัวตนในฐานะอริยะของเขาก็จะสั่นคลอน

“ให้ตายเถอะ ข้าเพิ่งจะเข้าสู่เคราะห์แท้ๆ แต่กลับมีคนหยั่งรู้พลังวิเศษทลายมรรคาเสียได้…หรือสองคนนั้นจะเป็นคนถ่ายทอดให้กันแน่นะ?”

คิ้วของฝูซีเทียนขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม รู้สึกรำคาญใจถึงที่สุด

จิตของอริยะสงบนิ่งดั่งสายน้ำ แต่เมื่อเป็นเรื่องพลังมรรคของตน ก็ยากที่จะข่มใจให้สงบลงได้

ถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยใช้เวลานานกว่าเจ็ดวันกว่าที่ควบคุมพลังวิเศษทลายมรรคาได้ ลำแสงสีดำที่ปกคลุมเขาเพียรบำเพ็ญเซียนสลายหายไปทันใด

“ช่างยุ่งยาก ซับซ้อน แถมยังไร้ประโยชน์อีก”

หานเจวี๋ยบ่นอุบอิบตามลำพัง ในใจรู้สึกเฉยชา

สรรพชีวันเท่าเทียมดูเหมือนจะน่ากลัว แต่เมื่อหานเจวี๋ยลองสำแดงออกมา ก็ทำได้เพียงทำลายสิ่งมีชีวิตในระดับต่ำกว่าเซียนทองต้าหลัวเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก

หลังจากใช้แล้วขอบเขตพลังของเขาอาจจะร่วงไปสู่ระดับเทพได้

หานเจวี๋ยไม่ต้องการให้ขอบเขตพลังที่ตนอุตส่าห์ตรากตรำฝึกบำเพ็ญมาของตนต้องตกต่ำลง

หากว่าเขาสำแดงสรรพชีวันเท่าเทียมหลังจากพิสูจน์มรรคกลายเป็นอริยะ และต้องร่วงหล่นลงสู่ระดับครึ่งอริยะ เช่นนั้นมรรคจิตของเขาคงต้องมอดไหม้

หากไม่ถึงคราวจวนตัวจริงๆ อย่าได้ใช้พลังวิเศษนี่เด็ดขาด!

หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อไป

อย่างที่ทุกคนทราบ เหล่าอริยะอริยะมรรคาสวรรค์กำลังเผชิญกับความโกลาหลครั้งใหญ่

ท่ามกลางแสงเจิดจ้า

ร่างทั้งเก้านั่งล้อมวงกัน แต่ละคนล้วนอยู่ในใจกลางลำแสงเจิดจ้า ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจน

ฝูซีเทียนเกริ่นขึ้นมา “พลังวิเศษทลายมรรคาที่ผ่านมา เป็นฝีมือการหยั่งรู้ของสหายเต๋าท่านใด แม้ข้าและอริยะอริยะมรรคาสวรรค์จะต่อสู้กัน แต่ก็เป็นเพียงการสู้รบผ่านการคำนวณเท่านั้น “

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยแค่นเสียงกล่าว “ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พวกข้าทั้งเก้า แต่น่าจะเป็นหุ่นเชิดที่สหายเต๋าหนุนหลังอยู่มากกว่า อย่างไรเสียพลังวิเศษระดับนี้ย่อมสามารถสั่นคลอนสถานะของอริยะได้”

เหล่าอริยะต่างออกความเห็นกันไปต่างๆ นานา

“บรรพชนเต๋าเคยถ่ายทอดพลังวิเศษทลายมรรคาให้แก่สหายเต๋าฉิวซีไหล และสหายเต๋ามิ่งจีเท่านั้น มีเพียงเจ้าสองคนเท่านั้นที่จะวางแผนนี้ออกมาได้”

“สำนักพุทธของเราเผยแผ่เต๋าแก่ปวงสวรรค์ อาตมาจะใช้พลังวิเศษทลายมรรคาทำร้ายระบบของสำนักพุทธได้อย่างไร”

“ข้าก็เช่นกัน ระบบเต๋าของข้าถอนตัวจากแดนเซียนมานานแล้ว เหตุใดข้าต้องเกี่ยวพันกับการล้างบางเหล่าอริยะด้วยเล่า”

“ตั้งแต่บรรพชนเต๋าจากไป ก็เกิดมหาเคราะห์ขึ้นหลายครา หากแต่ยังไม่เคยปรากฏพลังวิเศษทลายมรรคาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ ข้าต้องระวังตัว”

………………………………………………..