ตอนที่ 456 ใช้ลูกอ้อนอะไร เอาให้จริงจังกว่านี้หน่อย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 456 ใช้ลูกอ้อนอะไร เอาให้จริงจังกว่านี้หน่อย

เจียงโม่หานเห็นว่าเด็กน้อยยังเอาแต่เมินเฉยต่อตนจึงพูดต่อ “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ไปที่เมืองจงโจวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตน หลีชิงก็อยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ ? ข้าได้ส่งจดหมายแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้าแล้ว…เจ้าก็รู้ว่าด้วยความสามารถด้านวรยุทธของหลีชิงก็จะต้องคุ้มกันข้าให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอน”

ฮึ ! ในเมื่อหลีชิงอยู่ที่นั่นด้วย เหตุใดไม่พาข้าไปด้วย ? ข้าทำให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดนั้นเชียวหรือ ?

ตอนนี้หลินเว่ยเว่ยทั้งงอนทั้งโมโห แรงสับกระดูกจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ !

เจียงโม่หานเห็นดังนั้นก็คิดในใจว่าหากนางมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจึงรีบให้คำรับประกันแก่นาง “เสี่ยวเว่ย อย่าโกรธข้าเลย ต่อจากนี้ไปข้าสัญญาว่าหากจะเดินทางไปที่ใดก็จะบอกเจ้าเป็นคนแรก ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ในบ้านของเรา ข้าจะมาปรึกษากับเจ้าเสมอ…เสี่ยวเว่ย เจ้าเข้าใจข้าที่สุด ถึงแม้ว่าตัวของข้าจะอยู่ที่เมืองจงโจวหลายวัน แต่ใจของข้าอยู่กับเจ้ามาโดยตลอด เจ้าลองมองข้าให้ดีสิ คนที่เจ้าคิดถึงซูบผอมลงแล้ว…”

เฮอะ ! ขายความน่ารักอย่างหน้าไม่อาย คนไร้ยางอาย ใช้ลูกอ้อนอะไร…เอาให้จริงจังกว่านี้หน่อย ! หลินเว่ยเว่ยเริ่มกำมีดในมือไม่ไหว จึงหันมาตวัดสายตาใส่เขา…บัณฑิตน้อย ความสุขุมเยือกเย็นของเจ้าหายไปไหนหมด ? ความหยิ่งทะนงของเจ้าหายไปไหนเสียแล้ว ?

เดิมทีนางคิดว่าสายตาของตนมีความดุดันมาก แต่พอเจียงโม่หานเห็นเข้าก็มองว่ามันมีความแง่งอนแสนน่ารักอย่างบอกไม่ถูก เจียงโม่หานรู้สึกดีใจมากจึงขายความน่ารักของตนต่อไป “เสี่ยวเว่ย เห็นแก่ที่ข้ายอมรับผิดด้วยความจริงใจขนาดนี้ เจ้าให้อภัยข้าสักครั้งเถิด ได้หรือไม่…”

ในระหว่างที่พูด เขาก็ไม่ลืมที่จะจับมือของนางขึ้นมาแล้วส่ายมันเบา ๆ หลินจื่อเหยียนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงริมประตูหน้าบ้านก็โผล่ศีรษะออกมาเพียงครึ่งเดียวแล้วเห็นท่าทีของทั้งคู่ เขาจึงยกมือลูบแขนอย่างทนไม่ไหว…โอ้ สวรรค์ ข้าขนลุกไปทั้งตัวแล้ว หรือนี่จะเป็นดังคำที่พูดกันว่า ‘ความรักชนะทุกสิ่ง’ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ตนเองรัก ต่อให้เป็นเหล็กที่ผ่านการหลอมนับร้อยครั้งก็ยังแปรเปลี่ยนเป็นเหล็กที่อ่อนนุ่มได้เลย ?

หลินเว่ยเว่ยยกมีดที่ชุ่มไปด้วยเลือดของหมีควายแล้วเดินมาปรากฏตัวตรงเบื้องหน้าของผู้ที่แอบดูอย่าง…หลินจื่อเหยียน เจ้าหนูน้อยและเผิงหยูเหยี่ยน “พวกเจ้าดูพอแล้วหรือยัง ? ”

หลินจื่อเหยียนและเจ้าหนูน้อยรีบวิ่งหนีไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่เผิงหยูเหยี่ยนผู้ซึ่งช้ากว่าใครเพื่อนได้หันมาเกาศีรษะตัวเองแล้วพูดอย่างเก้อเขินว่า “เอ่อ…ข้าแค่ผ่านมา ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จริง ๆ นะ ! ”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็วิ่งหนีหายไปราวกับมีสัตว์ร้ายวิ่งไล่ตามอย่างไรอย่างนั้น !

เจียงโม่หานเดินเข้ามาแล้วจับมีดในมือของนางเพื่อวางลงเบา ๆ “เสี่ยวเว่ย ข้าสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก หากเจ้ายังไม่หายโกรธก็สามารถทุบตีข้าได้…หรือเจ้าจะใช้มีดฟันข้าก็ได้ แต่อย่าเมินเฉยต่อข้าได้หรือไม่ ? ”

แสงจันทร์กระจ่างใสราวกับน้ำค้างสาดส่องมายังเรือนร่างของเขา อาบไล้ลงมายังอาภรณ์สีนวลจันทร์ที่เขาสวมใส่ ทำให้รอบตัวคล้ายเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ใบหน้ารูปงามของเขาปรากฏให้เห็นถึงความเสียใจและสำนึกผิดอย่างน่าสงสาร…พูดกันว่าการได้ยลโฉมบุรุษรูปงามใต้แสงจันทร์นั้นไม่ใช่เรื่องน่าตลก โดยเฉพาะบุรุษรูปงามที่ทำตัวน่ารักขี้อ้อน แล้วผู้ที่ชื่นชอบของสวยงามอย่างหลินเว่ยเว่ยจะทนใจแข็งได้อย่างไร ?

เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด คนที่ให้คำสาบานว่าจะเย็นชาใส่คู่หมั้นหนุ่มสักสองสามวันเพื่อให้เขาได้สำนึกผิด สุดท้ายกลับกลายเป็นฝ่ายเอ่ยปากกับเขาก่อน “บัณฑิตน้อย เจ้าช่างไร้ยางอาย กล้าใช้ลูกอ้อนกับข้าหรือ ! เกียรติของเจ้าหายไปไหนหมด ? ความหยิ่งทะนงของเจ้าอยู่ที่ใด ? ”

“ความมีเกียรติและความหยิ่งทะนงสามารถปลอบใจคู่หมั้นของข้าได้หรือ ? ไม่โกรธกันแล้ว ตกลงหรือเปล่า ? ” เจียงโม่หานถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเด็กน้อยก็ยอมเอ่ยปากพูดกับเขาเสียที ความเสียสละของตนใช้ได้ผลจริง ๆ ด้วย…

หลินเว่ยเว่ยทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ให้อภัยเจ้า ! ข้าจะจำความผิดในวันนี้ของเจ้าไว้ก่อน แต่ครั้งหน้าอย่าให้เกิดขึ้นอีก เข้าใจหรือเปล่า ? เจ้าเป็นคนพูดเองว่ายามนี้ในเมืองจงโจวกำลังวุ่นวาย บัณฑิตที่ไร้กำลังต่อสู้ มิหนำซ้ำยังมีหน้าตางดงามราวกับสวรรค์สรรค์สร้างชวนให้คนอิจฉาเช่นเจ้า หากถูกคนชั่วหมายตาแล้วบังคับจับไปเป็นอนุภรรยาขึ้นมา ข้าจะไปหาคู่หมั้นที่มากพรสวรรค์และหน้าตาดีแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ? ”

“อนุภรรยาอะไรกัน ข้าเป็นบุรุษ ! ” เจียงโม่หานเห็นว่านางเริ่มพูดจาเย้าแหย่เขาแล้วจึงไม่เพียงไม่โกรธเคืองต่อคำพูดของนาง ทว่าในใจรู้สึกโล่งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก…ในเมื่อนางมีอารมณ์มาหยอกเย้าเขาแล้วก็หมายความว่านางหายโกรธไปมากแล้วกระมัง ?

หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก นางเชยคางของเขาขึ้นมาชื่นชมพลางกล่าวว่า “หากข้าเป็นบุรุษแล้วได้ยลใบหน้างดงามขนาดนี้ ทั้งยังมีรูปร่างที่ยอดเยี่ยม จะเป็นสตรีหรือบุรุษ ข้าก็ไม่เกี่ยง ! ”

“เฮอะ ! ความคิดของเจ้าช่างอันตรายยิ่งนัก ! ” เจียงโม่หานมีสีหน้ามืดครึ้ม…โดนนางเย้าหยอกเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ทันทีว่ามีอันตรายซุกซ่อนอยู่มากมายจากตัวนาง เป็นอย่างไร เกือบโชคร้ายเข้าแล้ว !

“ความคิดของข้าไม่ได้อันตราย แต่เป็นเพราะเจ้ามีใบหน้าที่ชวนให้ไม่ปลอดภัยต่างหาก ! ดูข้าสิ หากข้าสวมชุดบุรุษก็ยังจะปลอดภัยกว่าเจ้าอีก ! ”

นี่คือความคิดประเภทใด ? หน้าตาดีสู้คนอื่นไม่ได้ก็ยังจะบอกว่าตนมีเหตุผล ? แล้วสีหน้าท่าทางของเจ้าซึ่งเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้าภูมิใจที่เกิดมามีหน้าตาชวนให้ปลอดภัย’ มันหมายความว่าอย่างไร ?

เจียงโม่หานคิดว่าไม่อาจปล่อยให้นางพูดมากกว่านี้ได้แล้ว เขาจึงชี้ไปยังเนื้อหมีควายที่ถูกหั่นเอาไว้เสร็จสรรพ “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน รีบไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเอาเนื้อหมีไปเก็บให้…”

หลินเว่ยเว่ยที่ถนัดเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงโบกมือปฏิเสธ “ข้าทำเองดีกว่า เจ้าช่วยนำหนังหมีผืนนี้ไปส่งที่บ้านพรานหวังให้ที ให้เขาช่วยทำความสะอาดหนังหมี เพราะร่างกายของน้าเฝิงอ่อนแอ เราจะได้นำมาปูเตียงให้น้าเฝิงนอนหลับในช่วงฤดูหนาว นางจะได้นอนบนเตียงอุ่น ! ”

เจียงโม่หานส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ร่างกายของแม่เจ้าก็ไม่แข็งแรงเช่นกัน ให้นางใช้ดีกว่า ? ”

“แต่ท่านแม่มีหนังเสือผืนหนึ่งแล้ว ! ข้าอยากทำที่นอนขนสัตว์ให้น้าเฝิงตั้งแต่ปีก่อน แต่พวกเจ้าชอบห้ามไม่ให้ข้าขึ้นเขาอยู่เรื่อย ในที่สุดข้าก็ได้ตัดความกังวลในเรื่องนี้ออกเสียที ! ”

หลินเว่ยเว่ยสัมผัสหนังหมีผืนหนาแล้วรู้สึกเสียใจเล็กน้อย…คงจะดีกว่านี้ถ้าล่าหมีควายได้ในฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว เพราะตอนนั้นขนของพวกมันจะหนาขึ้นอีก ถ้ามีโอกาสก็ค่อยล่ามาเปลี่ยนให้น้าเฝิง !

เจียงโม่หานมองไปยังเนื้อหมีที่อยู่บนพื้น หมีควายตัวนี้น่าจะหนักอย่างน้อยสองสามร้อยชั่ง หมีโตเต็มวัยแบบนี้ต่อให้เจอเสือดุก็ยังสู้ไหว จากนั้นเขาก็หันไปมองรูปร่างของเด็กน้อยที่บัดนี้ทั้งอ้อนแอ้นและบอบบาง ทันใดนั้นเขาก็เกิดความกังวลขึ้นมาทันที “ต่อไปนี้เวลาเจ้าขึ้นเขาแล้วเจอสัตว์ร้าย ทางที่ดีก็ควรหลีกเลี่ยงไปให้ไกล หากเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ก็เลี่ยงเถิด เพราะความปลอดภัยของเจ้าสำคัญที่สุด ! ”

แม้หลินเว่ยเว่ยจะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่นางก็ไม่ได้ขัดหรือโต้แย้งเพราะถึงอย่างไรเขาก็พูดด้วยความเป็นห่วงนาง คนเราควรรู้จักทะนุถนอมความห่วงใยของผู้อื่น !

หมู่บ้านฉือหลี่โกวไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากนัก มีประชากรแค่สามสิบกว่าครัวเรือน ในไม่ช้าเรื่องที่หลินเว่ยเว่ยล่าหมีควายได้ก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน หลายคนยังรวมกลุ่มกันไปที่บ้านของพรานหวังเพื่อดูเขาช่วยนางทำความสะอาดหนังหมี

มีคนเห็นเจียงโม่หานจึงอดพูดหยอกไม่ได้ “เจียงอั้นโฉ่ว ช่วงที่เจ้าเดินทางไปนอกหมู่บ้านก็ถือเป็นความโชคร้ายของบรรดาสัตว์ป่าจริง ๆ หากเจ้ากลับมาช้ากว่านี้ เกรงว่าสัตว์ป่าบนภูเขาของพวกเราคงโดนนางหนูรองล่าจนหมด ! ”

“ได้ยินว่านางล่าหมีควายตัวนี้ได้จากบนภูเขาที่อยู่ใกล้หมู่บ้านของเรา นับได้ว่านางหนูรองช่วยขจัดภัยร้ายให้แก่หมู่บ้านไปอีกหนึ่งเรื่อง ! เจ้าลองคิดดูสิ ในแต่ละวันมีชาวบ้านตั้งกี่คนขึ้นไปขุดหาผักป่าบนเขา หากพบเจออันตรายขึ้นมา ข้าไม่อยากนึกถึงผลที่ตามมาเลย ! และผู้ที่สามารถใช้มือเปล่าสังหารหมีควายหรือเสือได้ก็มีแค่นางคนเดียว ! ”

“ไม่ใช่แค่นั้นเสียหน่อย ! ข้ายังได้ยินว่านางล่าเสือดาวหิมะได้อีกตัว สัตว์ชนิดนั้นทั้งตัวใหญ่และดุร้ายมาก ! เมื่อก่อนผู้เฒ่าผู้แก่มักจะบอกว่าในป่าลึกมีสัตว์ดุร้ายมากมาย ตอนนั้นข้ายังไม่เชื่อคำพูดของพวกเขาเลย แต่ตอนนี้ข้าเชื่อหมดใจ ! ”