นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 335 ลูกค้าใหญ่
โจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจ “วันนี้เพิ่งเปิดร้าน ร้านนี้ก็ค่อนข้างไกล มีคนมาไม่มาก พวกเรายังสามารถดูแลได้ รออีกสักพักเถิด หากมีคนเยอะขึ้น ถึงเวลาพวกเราค่อยหาคน”
คิดถึงเงินในมือของตัวเอง ไป๋ยี่เซวียนก็พยักหน้า
ช่วงบ่ายก็มีคนมากินอยู่บ้างเล็กๆน้อยๆ คนหลายคนนี้ก็ยังสามารถดูแลได้
รอจนถึงช่วงหัวค่ำ ส่งเด็กสองคนมาแล้ว เป็นอีกคนที่ชื่อจ้าวจงตี้ เป็นซิ่วฉายที่ความสัมพันธ์ดีกับเมิ่งเจียง
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเปลี่ยนคน นำกับข้าวในห้องครัวที่ทำเสร็จแล้วออกมาให้พวกเขากิน
เห็นกับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างตรงหน้า แล้วก็ข้าวสวย จ้าวจงตี้ร่างไหวไปมา ยังคิดว่าตัวเองตาฝากแล้ว ขยี้ตา ยังคงเห็นกับข้าวบนโต๊ะ ถึงได้ตระหนักถึงสาเหตุที่เมิ่งเจียงต้องให้เขาส่งเด็กสองคนมา
เขายกถ้วยขึ้น ปัดข้าวเข้าปากตัวเอง กินอย่างรีบร้อน ยังถูกสำลัก
รุ่ยอานยื่นน้ำข้างมือไปให้ ส่งสัญญาณให้จ้าวจงตี้ดื่ม
จ้าวจงตี้ส่งสายตาขอบคุณให้เขา ยกแก้วขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ เพียงครู่เดียว ก็เริ่มกินข้าวอย่างรวดเร็ว
ตอนเย็นคนก็ไม่ค่อยเยอะ โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนพวกเขาก็ค่อนข้างว่าง ทั้งสองคนยังพิงที่โต๊ะหน้าร้านคุยกัน
ไป๋ยี่เซวียนยื่นคางไปที่โต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนัก “เจ้าทรมานพวกเขาใช่หรือไม่ ทำให้พวกเขาหิวกันขนาดนี้?”
“นี่ไม่ใช่ความผิดข้าเสียหน่อย ข้าก็แค่กลับไปเหมือนเมื่อก่อน ไม่ทำกับข้าวให้พวกเขาเท่านั้น เมื่อก่อนพวกเขาก็ผ่านมาแบบนี้” โจวกุ้ยหลานไม่มีความรู้สึกอับอายที่รังแกเด็กเลยแม้แต่น้อย
ยังไงก็เป็นเพื่อนกันนาน นางพูดเช่นนี้ ไป๋ยี่เซวียนแค่คิดเพียงครู่เดียว ก็เข้าใจความหมายของนางแล้ว
เขาอดชูนิ้วโป้งขึ้นมาไม่ได้ “ยังคงเป็นเจ้าที่เก่งกาจ”
โจงกุ้ยหลานหัวเราะส่ายหน้า “ความจริงให้พวกเขามา ก็มีข้อดีสำหรับพวกเขา เจ้าดูสภาพผอมแห้งป่วยอ่อนแออย่างพวกเขา ก็เพราะไม่ได้ขยับตัวเป็นเวลานาน และไม่ได้กินอะไรดีๆบำรุงร่างกาย ร่างกายแย่อย่างที่สุด”
ไป๋ยี่เซวียนมองดูใบหน้าที่ตอบลงไปของจ้าวจงตี้ แล้วก็ร่างกายผอมๆบางๆ ก็พยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด ควรจะให้พวกเขาขยับเนื้อขยับตัวหน่อย”
“ใช่แล้ว ไม่ต้องจ้างคนแล้ว พวกเขามาแน่นอน” โจวกุ้ยหลานพูดอย่างยิ้มแย้ม ก็ยืนตัวตรง เดินเข้าไปเก็บโต๊ะที่ลูกค้าที่เพิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋ยี่เซวียนขบคิดคำพูดของนาง ก็พยักหน้า รู้สึกว่าถูกต้อง
หู้กั๋วกง
สวีฉางหลินกินปีกไก่ทอดที่เสี่่ยวอีเพิ่งซื้อกลับมา ความกรอบเมื่อเข้าปาก กับความนุ่มสดในเนื้อ ทำให้เขารู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ
“การค้าของร้านพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
เสี่่ยวอีตอบตามตรง “คนไม่ถือว่าเยอะ”
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว “นี่อร่อย ทำไมไม่มีคนกิน?”
เสี่่ยวอีก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงพูดว่า “ร้านของพวกเขาไกล แล้วยังเป็นอาหารที่ไม่เคยเห็น แน่นอนว่าคนที่กินก็ไม่เยอะ”
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว แล้วกัดเนื้อปีกไก่อีกคำ ประหลาดในใจ
ภรรยาทำได้ทั้งหอมทั้งอร่อย ราคาก็ถูก ทำไมคนพวกนั้นถึงไม่ชอบกิน?
ไม่ได้ จะให้ภรรยาเสียใจไม่ได้!
“เจ้า ให้คนไปซื้อเยอะหน่อย คืนที่พวกเราในจวนหู้กั๋วกงทุกคนต้องกินของพวกนี้”
เสี่่ยวอี “……..”
เขาเป็นองครักษ์ลับ เป็นคนทำเรื่องใหญ่โต! จะไปซื้อของกินบ่อยๆได้อย่างไร?
ทำได้อย่างไร?
คำพูดมาถึงริมฝีปาก แล้วคิดถึงนิสัยคุณชายของตัวเอง คำพูดก็ยังไม่กล้าพูดออกมา จึงทำได้เพียงอดกลั้นตอบรับ หายตัวไปอีกครั้งในความมืด
ในห้อง สวีฉางหลินกินปีกไก่ในมือตัวเองอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกดีใจ รู้สึกเพียงว่าภรรยาถือว่ามั่นคงแล้ว
แต่พอคิดถึงไป๋ยี่เซวียนที่ทำการค้าขายกับภรรยามาตลอด ความดีใจของเขานั้นก็กลายเป็นความหึงหวงอย่างหนัก…….
ตอนที่ฟ้าใกล้มืด ร้านไก่ทอด “ผิ่นเว่ย” มีผู้ชายสภาพวัยกลางคนมาคนหนึ่ง พอเปิดปากก็จะเอาปีกไก่ทอดหนึ่งร้อยชุดและน่องไก่ทอดห้าสิบชุด แล้วก็แฮมเบอร์เกอร์อีกสามสิบชุด
โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนมองหน้ากัน ต่างก็สงสัยหูของตัวเอง
“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไร?” โจวกุ้ยหลานตัดสินใจถามอีกรอบ
ชายวัยกลางคนก็พูดซ้ำอีกรอบ
ครั้งนี้ทั้งสองถือว่ามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดแล้ว พวกเขาก็รีบขยับขึ้นมา โจวกุ้ยหลานกลับไปในครัว ไปช่วยพ่อครัวสองคนนั้นทำของพวกนี้ ส่วนไป๋ยี่เซวียนยืนอยู่ข้างนอกถามผู้ชายคนนั้นว่าที่บ้านมีกิจกรรมอะไรพวกนี้หรือไม่
เพียงแค่ เขาถามไปสองคำ ผู้ชายคนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่คุยด้วย ไป๋ยี่เซวียนเข้าใจว่าคงไม่ใช่คนทั่วไป จึงไม่ได้ถามต่อ แต่เชิญเขาไปนั่งบนที่นั่ง ตัวเองก็ไปดูแลคนอื่น
สำหรับพวกเขาแล้ว คำสั่งซื้อนี้เกือบจะเท่ากับคำสั่งซื้อของวันนี้ทั้งวัน เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเขาก็ยุ่งขึ้นมาจริงๆแล้ว
เพราะว่าโจวกุ้ยหลานไปแล้ว ไป๋ยี่เซวียนไม่ถนัดการเก็บโต๊ะ ทันใดนั้นก็ยุ่งฉุกละหุก
จ้าวจงตี้กินข้าวเสร็จ เห็นเหตุการณ์ ตัวเองก็อดยืนขึ้นมาไม่ได้ ช่วยเขาเก็บโต๊ะ
เมื่อห้องครัวทำใบสั่งซื้อนี้เสร็จแล้ว ก็ใช้กระดาษซับน้ำมันห่อไว้ทั้งหมด ยังใส่พวกน้ำจิ้มเหล่านั้นเข้าไปไม่น้อย แล้วใช้ด้ายมัดของเหล่านั้นไว้ ถึงแม้เช่นนี้ มันก็เป็นห่อใหญ่หลายห่อ
โจวกุ้ยหลานเขียนข้อความหนึ่งใบ ขณะที่นำของพวกนั้นยื่นให้กับชายวัยกลางคน ก็นำข้อความนั้นยื่นให้เขา จากนั้นก็พูดอย่างยิ้มแย้ม “ขอบคุณที่มาใช้บริการ ครั้งต่อไปมาซื้อของก็นำใบส่วนลดมาลดราคาได้”
ชายวัยกลางคนก้มหน้า พยักหน้าต่อนาง พูดไปคำหนึ่งด้วยเสียงทุ้ม “ขอบคุณ”
ถือของสองห่อใหญ่นั้น เก็บกระดาษข้อความนั้นอย่างระมัดระวัง ออกไปจากร้านอาหาร
สายตาของไป๋ยี่เซวียนที่เก็บโต๊ะอยู่ด้านข้างมองดูชายวัยกลางคนนั้น ถามโจวกุ้ยหลานอย่างสงสัย “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเขาเกรงใจต่อเจ้ามาก?”
โจวกุ้ยหลาน “ใช่หรือ?”
“เขาไม่รับคำพูดของข้า แต่กับเจ้า…….” ไป๋ยี่เซวียนพูดไป ก็คิดถึงภาพเมื่อครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ข้าอาจจะคิดมากไปก็ได้”
“แน่นอนว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว ยังมีลูกค้าอยู่เลย รีบดูแล!” โจวกุ้ยหลานพูดไป เดินออกมาจากโต๊ะหน้าร้าน ไปดูแลพวกเขาอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลาปิดร้านตอนกลางคืน โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนยืนคิดบัญชีอย่างละเอียดที่โต๊ะหน้าร้าน พบว่าวันนี้ทั้งวัน กลับได้เงินกำไรถึงสี่ตำลึง แน่นอน นี่ก็หักต้นทุนของแถมและทดลองกินฟรี
“ไม่เลว” ไป๋ยี่เซวียนพูดจากใจมาหนึ่งประโยค
โจวกุ้ยหลานพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม “วันแรกในสถานที่ห่างไกลแบบนี้สามารถได้กำไร ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ขอเพียงสามวันนี้ทดลองกินสามารถรักษาความครึกครื้นเหมือนวันนี้ ต่อไปกำไรของพวกเราก็ไม่น้อยแล้ว”
หลายคนเก็บกวาดกัน กินอาหารเย็น ปิดประตู โจวกุ้ยหลานพาจ้าวจงตี้และเด็กสองคนเดินกลับบ้าน
เสี่ยวรุ่ยอานและเสี่ยวรุ่ยหนิงท่องการบ้านที่พวกเขาเพิ่งเรียนในวันนี้ โจวกุ้ยหลานให้กำลังใจอย่างเหมาะสม
จ้าวจงตี้ที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็รู้สึกตะลึง โดยเฉพาะสิ่งที่รุ่ยอานได้เรียนในหนึ่งวัน กลับเยอะกว่าเขาไปไม่น้อย!
เทียบร่างของเสี่ยวรุ่ยอานกับเขา เขาแอบน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวดใจ