นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 336

จวนหู้กั๋วกง สวีฉางหลินเรียกพ่อบ้านมา นำไก่ทองสองห่อใหญ่ให้เขาทั้งหมด ให้เขากลับไปเรียกคนในจวนทั้งหมดมา กินของพวกนี้ให้หมด

พ่อบ้านเดาว่าคุณชายที่ปกติไม่ค่อยพูดนี่คือมีเรื่องอะไรที่ไม่ธรรมดา รีบไปรวบรวมคนใช้ทั้งหมดที่บางส่วนกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว ยืนอยู่ในสวน แบ่งของเหล่านี้ให้กับพวกเขาทีละคน ให้พวกเขารีบกิน

สวีฉางหลินยืนมองอยู่ด้านข้าง เมื่อแจกหมดแล้ว เขาถึงหมุนตัวกลับไปห้องนอนตัวเอง

ผู้ดูแลคนหนึ่งถามพ่อบ้านเสียงเบา “นี่คุณชายเป็นอะไรหรือ?”

พูดไปแล้ว คุณชายไม่เคยแบ่งของกินให้พวกเขาเลย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกะทันหัน ในใจของพวกเขารู้สึกสับสน

คนอื่นๆก็กางหูขึ้น อยากให้ช่วยชี้แนะหนทาง

เพียงแค่ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านก็สับสนมึนงง

นี่หากตัวเองบอกว่าไม่รู้ ต่อไปจะดูแลคนเหล่านี้ในบ้านได้อย่างไร

พ่อบ้านจ้องผู้ดูแลไปทีหนึ่ง พูดอย่างโมโห “คุณชายต้องมีเจตนาของเขาแน่นอน พวกเจ้ารีบกิน อย่าทำให้เรื่องของคุณชายล่าช้า!”

ได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็ก้มหน้ารีบกินของในมือของตัวเอง พ่อบ้านก็ก้มหน้า กัดปีกไก่ในมือไปหนึ่งคำ รสชาตินี้ไม่เลวจริงๆ

นี่คุณชายหมายความว่าอะไรกันแน่? ไปซื้อของที่ไม่เคยเห็นนี้มาจากไหนกันแน่?

หรือว่า ของสิ่งนี้ซ่อนความลับอะไรไว้?

หรือว่านี่เป็นของกินของประเทศศัตรู คุณชายให้พวกเขากินของพวกนี้ เพื่อใช้ของกินมาทำความรู้จักกับประเทศศัตรู เพื่อรู้เขารู้เรา?

คนอื่นก็กำลังคาดเดาความหมายต่อการกระทำนี้ของคุณชาย ส่วนเจ้าตัวกลับห้องนอนของตัวเองไปแล้ว เรียกตัวเสี่่ยวอี นั่งอยู่ตรงหน้าเขา กินไก่ทอดที่เหลือพร้อมเขา

ผู้ชายสองคนเงียบไม่พูดอะไร ภายในห้องมีเพียงเสียงขบเคี้ยว ผ่านไปสักครู่ เสี่่ยวอีกลืนเนื้อไก่ในปากลงไป ให้คำประเมินง่ายๆ “อร่อย”

อย่างไรเสียนี่คือนายหญิงเป็นคนทำ แน่นอนว่าไม่สามารถพูดว่าไม่ดี

สวีฉางหลินไม่แม้แต่หันหน้า “ข้ารู้”

ของที่ภรรยาเป็นคนทำ อร่อยแน่นอน

เขาก็ไม่ได้กินอาหารที่ภรรยาทำนานแล้ว และไม่ได้เห็นภรรยา แล้วก็ลูกสองคนนั้น…….

ในคืนนั้น ชายคนหนึ่งที่เงียบสงบไม่พูดใส่เสื้อบุกรุกยามราตรี เดินขวักไขว่ในเมืองหลวง ไปถึงเรือนของภรรยา แอบเปิดกระเบื้องหลังคาออก มองดูผู้หญิงและลูกที่นอนหลับแล้วอยู่หลายชั่วยาม รู้สึกพอใจ

หลายวันหลังจากนั้น คนที่มากินข้าวในร้านยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ ส่วนคนที่ส่งเด็กๆมากินข้าวก็ไม่เหมือนเดิมเลย กินข้าวเสร็จ ยังช่วยเก็บโต๊ะอยู่สักพัก ไม่แน่นท้องขนาดนั้นแล้ว ค่อยพาเด็กสองคนกลับไป

พอถึงวันที่สี่ ยกเลิกการทดลองกิน คนไม่น้อยที่รู้สึกโกรธมาก

แน่นอน เด็กๆร้องจะกิน พวกเขาก็ทำได้เพียงไปซื้อแล้ว ถึงเวลา พวกเขาถึงพบว่าตอนนี้ก็ไม่แถมโค้กแล้ว นี่ยิ่งทำให้พวกเขาไม่พอใจ

แต่ว่าหลังจากที่จ่ายเงินแล้ว พวกเขากลับได้กระดาษข้อความใบหนึ่ง ด้านบนยังมีรอยฝ่ามือเล็กๆ

ผู้คิดบัญชีบอกพวกเขาว่า มารอบหน้า สามารถใช้ข้อความนี้จ่ายเงินน้อยลงได้

คนเหล่านั้นถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง ซื้อของแล้ว นั่งกินอาหารต่อตรงนั้น

สถานการณ์เช่นนี้เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในวันที่ห้า

เมิ่งเจียงวิ่งเข้ามาในร้าน หาโจวกุ้ยหลานจนเจอแล้วเล่าเรื่องที่อาจารย์เป็นลมอย่างติดๆขัดๆ

โจวกุ้ยหลานรีบตามกลับไปดูเขา ก็เห็นซิ่วฉายเหล่านั้นล้อมอาจารย์ไว้อย่างร้อนรน

พอนางเข้าไป ก็ให้ซิ่งฉายกลุ่มนั้นยืนห่างๆหน่อย จากนั้นก็ให้คนไปเชิญหมอ สุดท้ายหมอคนนั้นบอกว่าสลบไปเพราะหิว

โจวกุ้ยหลานเอือมระอา จ่ายเงินค่ารักษา กลับไปห้องครัว ต้มข้าวต้มหม้อหนึ่ง ยกออกมา ก็จะไปป้อนอาจารย์ จ้าวจงตี้ขวางเขาไว้ พูดว่าชายหญิงไม่สมควร เช่นนี้ไม่เหมาะสม

จ้องมองอาจารย์ที่หนวดเคลาผมเผ้าขาวแล้ว โจวกุ้ยหลานมุมปากกระตุก แต่ว่าพวกเขาอยากดูแลเอง นางก็ไม่ขัดขวาง จึงยื่นข้าวต้มให้กับจ้าวจงตี้ ให้เขาดูแลอาจารย์

จากนั้นก็เรียกตัวเมิ่งเจียงออกมา ยืนอยู่ข้างนอก ถามเขาว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

เมิ่งเจียงรู้สึกเขินอาย “ระยะนี้พวกเราถือว่ายังกินอิ่มเป็นบางครั้ง แต่อาจารย์…….”

พูดถึงตรงนี้ ความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นมาในใจ

เป็นอาจารย์หนึ่งวันคือพ่อตลอดชีวิต พวกเขากลับไปกินของดีเองลับหลังอาจารย์ นี่มันช่างเป็นความผิดอันใหญ่หลวง!

คนเรียบง่ายแบบนี้ โจวกุ้ยหลานแค่มองก็สามารถมองทะลุแล้ว นางกระแอมไปคำหนึ่ง ถามต่อ “พวกเจ้ามีคนออกไปหาเงินซื้อของกินให้พวกเจ้าเองไม่ใช่หรือ?”

พูดถึงตรงนี้ เมิ่งเจียงก็ยิ่งรู้สึกผิดแล้ว “เมื่อก่อนพวกเราเคยชินแล้วแค่กินข้าวต้มเปล่าไม่กี่คำก็ผ่านไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้กินได้ดีเกินไป กระเพาะก็ใหญ่แล้ว ตอนนี้ยังไงก็กินไม่อิ่ม…….”

กลัวโจวกุ้ยหลานเข้าใจผิด เขารีบพูด “พวกเราตักข้าวให้อาจารย์ พวกเรากินน้ำ แต่……แต่อาจารย์ยังคง……”

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว “นั่นก็ไม่ถึงขนาดนี้นี่ พวกเจ้าไม่สามารถกลับบ้านกินข้าว?”

ตามหลักแล้ว ครอบครัวที่สามารถเรียนหนังสือได้ก็ไม่ถึงขั้นเปิดหม้อไม่ได้

“ข้า……พวกข้าล้วนมาเรียนจากนอกเมือง ไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว มิหนำซ้ำ……มิหนำซ้ำ พ่อแม่ที่บ้านก็ไม่มีแล้ว เหลือเพียงพี่ชายพี่สะใภ้……”

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว “พวกเจ้าล้วนเป็นเช่นนี้? แล้วอาจารย์ล่ะ?”

“พวกเราล้วนเป็นนักเรียนยากจน อาจารย์รับนักเรียน ดูเพียงคุณสมบัติและประสบการณ์ หากคุณสมบัติไม่ได้ ถึงแม้บ้านจะมีเงินแค่ไหน ท่านก็ไม่เต็มใจรับ สำหรับที่บ้านรวยและคุณสมบัติดี ก็ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนเรา…….อาจารย์ก็ไม่มีคนในครอบครัวแล้ว เมื่อก่อนพวกเราก็หิวจนเป็นลมบ่อยๆ”

พูดจนท้ายสุด เมิ่งเจียงยังเพิ่มน้ำหนักเสียง

โจวกุ้ยหลาน “…….”

นางยังพูดอะไรได้อีก? นี่ก็คือคนกลุ่มหนึ่งที่ดิ้นรนอยู่ขอบเขตแห่งการหิวตาย

ถึงแม้ก่อนหน้านี้นางอยากให้พวกเขาทดลองลิ้มรสแห่งความหิว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาหิวจนสลบจริงๆแล้ว อย่างไรเสียเมื่อก่อนที่ไม่ได้มาอยู่กับนาง พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่เป็นอย่างดี แน่นอน ถ้าหากไม่รวมร่างกายที่ใกล้จะล้มของพวกเขา

“คือข้าที่คิดมากไป ดูแลอาจารย์ของเจ้าดีๆเถิด” โจวกุ้ยหลานสั่งเสียเมิ่งเจียง เอาเงินก็ไปซื้อกับข้าวแล้ว

ช่วงนี้นางอยู่ในร้านตลอด ในบ้านนี้ก็ไม่มีเสบียงอาหารและผักแล้ว

ซื้อผักและแป้งแล้ว เมื่อให้คนส่งกลับมาแล้ว โจวกุ้ยหลานก็แสดงฝีมือในห้องครัว ทำกับข้าวอร่อยทั้งโต๊ะ ยังเชือดไก่ไปหนึ่งตัว ให้พวกเขาต้มน้ำแกง

กลิ่นหอมนี้โชยเข้าไปในห้อง นักเรียนเหล่านั้นยิ่งหิวจนตาลาย

ถึงจะเวียนกันหนึ่งรอบทุกคน พวกเขาก็ต้องหิวสองวัน ถึงจะได้กินอิ่มหนึ่งมื้อ เวลาแบบนี้ใครจะไปทนได้?

แม้แต่อาจารย์ที่สลบไปก็ยังขยับจมูก ค่อยๆตื่นขึ้นมา

นักเรียนหลายคนล้อมอาจารย์ไว้ถามความรู้สึกของเขาว่าเป็นอย่างไร อาจารย์ตอบไปทีละคนว่าตัวเองไม่เป็นไร

จากนั้นคนทั้งห้องก็เงียบลง สูดดมกลิ่นหอมที่ลอยเข้ามาเต็มห้อง พวกเขาหิวจนท้องร้อง “โครกคราก”

รุ่ยอานและรุ่ยหนิงมองดูพวกเขาก้มหน้า สบตากันไปทีหนึ่ง

เสี่ยวรุ่ยหนิงถามพวกเขาด้วยเสียงเด็กน้อย “พวกเขาหิวแล้วหรือ?”

“ไม่…….” เมิ่งเจียงพูดไม่จบประโยค ท้องก็ดัง “โครกคราก” คำพูดของเขาติดอยู่ที่ริมปาก แล้วกลืนมันลงไป

เสี่ยวรุ่ยอานตะโกนอย่างดีใจไปหนึ่งประโยค “หอมจังเลย!”