ตอนที่ 491 เยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 491 เยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์

ช่วงเที่ยงวันต่อมา

ริมหน้าต่างวางน้ำชาไว้หนึ่งกา เก้าอี้ตั้งอยู่หนึ่งตัว คนผู้หนึ่งนั่งเฉื่อยชาหลับตาอยู่บนเก้าอี้อย่างสงบสุข

บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านข้างมีของกินวางกองอยู่เต็มโต๊ะ อิ๋นเอ๋อร์ครอบครองไว้เพียงผู้เดียว กินอย่างสำราญใจ

ดูเหมือนอาหารจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของนางไปจากตัวหนิวโหย่วเต้าได้ชั่วคราว

ก่วนฟางอี๋เข้าห้องมา เหลือบมองอิ๋นเอ๋อร์ที่กินอาหารไปเรื่อยๆ เล็กน้อย จากนั้นเดินไปที่ริมหน้าต่างหันพลังพิงกรอบหน้าต่าง จ้องมองหนิวโหย่วเต้าที่หลับตาอย่างสงบอยู่ ในใจพลันเกิดความรู้สึกค่อนข้างสงสารบุรุษคนนี้ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

พอได้ติดต่อกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ถึงได้เข้าใจมากขึ้นว่าคนผู้นี้ต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ ได้ทราบมากขึ้นว่ากว่าเขาจะพาพวกพ้องก้าวมาถึงวันนี้ได้ช่างยากลำบากนัก ใจเด็ดใช่ว่าจะไร้ความรู้สึก เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก เขาก็ได้เผยให้เห็นอุปนิสัยดั้งเดิมที่องอาจกล้าหาญ ยอมลำบากแบกรับไว้ลำพัง

เพียงได้กลิ่นหอมก็รู้ว่าเป็นใคร หนิวโหย่วเต้าไม่ต้องลืมตามองก็รู้ว่าผู้ใดมา เขาเอ่ยเนิบช้า “มองอะไร? ข้าน่ามองสู้เจ้าไม่ได้หรอก”

นางรู้ดีว่าคนผู้นี้พูดจารื่นหูเพื่อเอาใจตน แต่เมื่อได้ฟังวาจารื่นหูก็ย่อมมีความสุข ก่วนฟางอี๋พลันยิ้มหวาน เดินยักย้ายอ้อมไปอยู่ด้านหลังเขา โน้มตัวเข้าหาจากทางด้านหลังพนักเก้าอี้ ก้มหน้าลงไปใกล้หูเขา ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบขยับเอื้อนเอ่ยเสียงหวาน “ไปกันแล้ว จัดการตามที่เจ้าสั่งแล้ว จากไปอย่างเงียบเชียบ น่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำหนึ่ง ลืมตาขึ้น ยื่นมือไปยกถ้วยน้ำชาบนโต๊ะน้ำชามาละเลียดดื่มช้าๆ

นางยืนโน้มตัวบิดสะโพก เอวคอดอกนูนทรวงทรงงามเย้ายวนน่ามองพลางเอียงคอมองใบหน้าด้านข้างของเขา “ถังอี๋รูปโฉมงดงามนัก อ่อนเยาว์สวยสะพรั่ง ร้างลากันไปเช่นนี้เจ้าไม่เสียใจหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไยข้าถึงรู้สึกว่าเจ้างามกว่านางเล่า?”

“เรื่องนั้นยังต้องพูดกันอีกหรือ” ก่วนฟางอี๋เอ่ยมีจริตจะก้าน

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดังนั้นข้ามีเจ้าก็เพียงพอแล้ว”

“ฮ่าๆ!” ก่วนฟางอี๋หัวเราะร่า ฟาดไหลเขาเบาๆ อย่างคล้ายจะหยอกเย้าฉอเลาะ “น้อยๆ หน่อยเถิด เจ้าคิดว่าข้ามองไม่ออกหรือ จะหย่าร้างหรือไม่เจ้าก็เสียใจทั้งนั้น อีกอย่างเรื่องของพวกเจ้าเกี่ยวอะไรกับข้า ไยต้องลามมาทำลายชื่อเสียงของข้าไปด้วย?”

หนิวโหย่วเต้าถาม “บุรุษที่เคยทำลายชื่อเสียงของเจ้ามีน้อยเสียเมื่อไร? ชื่อเสียงของเจ้ายังเหลือให้ข้าทำลายอีกหรือ?”

ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ถึงกระนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเพิ่มจุดด่างพร้อยให้กระมัง? ไม่ได้การแล้ว เรื่องนี้เจ้าจะชดเชยอย่างไร?”

“ตัวข้าก็อยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”

“ชิ ผู้ใดอยู่ในกำมือผู้ใดกันแน่ ทุกวันนี้มีแต่ข้าวิ่งตามเจ้าเหมือนสาวใช้ เจ้าเป็นนายท่านของข้ามิใช่หรือ?”

“สองแขนเสื้อข้าว่างเปล่า มองเห็นได้ชัดเจนทะลุปรุโปร่ง เจ้าอยากได้สิ่งใดเพื่อชดเชยก็หยิบเอาเองได้เลย”

“ยาจก เจ้ามันยาจกจริงๆ! เจ้าก็มีแต่ตัวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้แล้วกัน ใช้ตัวเจ้ามาเป็นสิ่งชดเชยดีหรือไม่?”

“เช่นนี้ไม่ดีกระมัง เจ้าค่อนข้างแก่ไปหน่อย…”

“ไปตายซะ!”

ก่วนฟางอี๋ชักสีหน้าทันที พลันยื่นมือไปปัดถ้วยน้ำชาในมือหนิวโหย่วเต้า น้ำชาสาดกระจายใส่หน้าหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้านั่งตะลึงพูดไม่ออก ใบชากระจายอยู่บนหน้า น้ำไหลหยดมาตามใบหน้า

ผู้ใดที่นำอายุของก่วนฟางอี๋มาเอ่ยล้อเล่น นางล้วนจะชักสีหน้าใส่ทั้งสิ้น

บทสนทนาหยอกเอินหวานชื่นปิดฉากลงในชั่วพริบตา

หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลง เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วลุกขึ้นยืน สะบัดอาภรณ์เล็กน้อย ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แดนความฝันยังไม่ปิดตัว ระยะนี้ทางนี้น่าจะมีแขกสูงศักดิ์มาเยือนไม่น้อย เป็นโอกาสเหมาะจะสร้างสัมพันธ์สานไมตรี สวี่เหล่าลิ่วหูตากว้างขวาง ให้เขาออกไปเดินสำรวจให้มากหน่อยเถอะ”

“ข้าอายุมากแล้ว เดินไม่ไหวแล้ว”

“ก็ไม่ได้ให้เจ้าไปเสียหน่อย ให้สวี่เหล่าลิ่วออกไปเดินก็พอ”

“ไม่ไป!”

“ไม่ไปจริงๆ น่ะหรือ?”

“ไม่ไป!” ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่อย่างมีน้ำโห

หนิวโหย่วเต้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก เรื่องโต้เถียงก็ส่วนโต้เถียง เขาไม่เคยชินกับนิสัยเสียของนางเลย ยิ่งนางเจ้าอารมณ์เท่าไรเขาก็ยิ่งต้องหาเหตุผลมาสยบนางเท่านั้น

เขาพยักหน้านิดๆ ยกแขนขึ้นมาเล็กน้อย ตวัดมือดีดนิ้วส่งกระแสปราณออกไปสายหนึ่ง ปะทะเข้ากับผนังห้องด้านข้างเกิดเสียงดัง ‘เปาะ’

พอได้ยินสัญญาณ หยวนกังมาถึงโดยเร็ว เปิดประตูเข้าห้องมา สังเกตเห็นคราบน้ำชาบนตัวหนิวโหย่วเต้า สายตาเหลือบมองไปทางก่วนฟางอี๋อย่างเย็นชา

ก่วนฟางอี๋เบือนหน้าหนีทันที แสดงความไม่พอใจ

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสั่ง “ไปเก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทาง”

หยวนกังถาม “ไปไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “มาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ทั้งที จะผ่านไปโดยไม่แวะทักทายได้อย่างไร ไปเยี่ยมเยือนเจ้าถิ่นกันดีกว่า ข้าเบื่อจะอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้แล้ว ดูสิว่าพอจะเปลี่ยนไปพักในสถานที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่”

หยวนกังพยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไป

ก่วนฟางอี๋ผงะไป หันกลับมาด้วยความมึนงง “ไปสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดจะไปสำนักหมื่นสรรรพสัตว์?”

นางตามความคิดของคนผู้นี้ไม่ค่อยทันนัก มาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ก็ไม่เห็นเผยความคิดว่าจะไปเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาเลยสักนิด

เท่าที่นางรู้จักเขามา นิสัยของคนผู้นี้ไม่ได้หุนหันพลันแล่นเหมือนคนหนุ่มทั่วไป ดังนั้นนางจึงไม่เชื่อว่าเขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน คนผู้นี้มิใช่คนที่ชอบเสี่ยงโชค หากใช้คำพูดของคนผู้นี้มากล่าวแล้วล่ะก็ เขาไม่เคยเชื่อถือในโชคชะตาอันใด

“ทางเป่ยโจวยังไม่ยอมถอดใจ จ้องจะหาเรื่องอยู่ตลอด ข้าว่าคงถึงเวลาที่จะคิดบัญชีกันอย่างเป็นทางการแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าว่าพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก น้ำชาบนเสื้อผ้าทำให้แห้งได้ง่าย แต่คราบน้ำชากลับทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนจึงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

ปีก่อนตอนที่ครอบครองอาณาเขตของสองจังหวัดเอาไว้ มีหลายเรื่องที่ถึงแม้จะคิดหาวิธีได้แต่ก็ไม่มีความมั่นใจพอ ตอนนี้ต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว เรื่องที่สมควรจัดการก็ต้องจัดการไปทีละเรื่อง เพื่อที่จะได้รับมือกับรูปการณ์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม การตัดขาดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง 艾琳小說

เหตุผลที่เขาหนีออกมาจากมณฑลหนานโจว ทั้งๆ ที่สถานการณ์เบื้องต้นภายในมณฑลหนานโจวนั้นเรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นเพราะในใจของเขาทราบดีว่าการเก็บตัวฟาดฟันกับสำนักหยกสวรรค์อยู่ในมณฑลหนานโจวนั้นก็ทำได้เพียงแค่เอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เพราะความห่างชั้นระหว่างความแข็งแกร่งได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อันใดอย่างแท้จริงได้

แม้ว่าจะมีชัยเหนือกว่าไประยะหนึ่ง แต่ก็เป็นชัยชนะเพียงชั่วครู่เท่านั้น ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดยังคงเป็นสำนักหยกสวรรค์อยู่ดี เขาไม่กล้าปะทะกับสำนักหยกสวรรค์ซึ่งๆ หน้า

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขารู้ว่าการปะทะกันระหว่างเขาและสำนักหยกสวรรค์เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ยังคงต้องดำเนินต่อไป การปะทะกันครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว

หากหลบอยู่ในมณฑลหนานโจวและงัดข้อกับสำนักหยกสวรรค์ต่อไป มันก็มีแต่จะทำให้เขาสูญเสียข้อได้เปรียบที่มีอยู่ในมือไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้ทุ่มทุนทั้งหมดที่มีอยู่ออกไปก็ไม่อาจทำลายรากฐานของสำนักหยกสวรรค์ได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร เพียงคิดดูก็รู้แล้ว

นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาอยากจะเห็น ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจออกมา ตัดสินใจออกจากมณฑลหนานโจว หนีให้พ้นจากเขตอิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์ เพื่อลดข้อได้เปรียบที่จะเกิดขึ้นจากการปะทะกันของสำนักหยกสวรรค์ลง

เขารู้ซึ้งดีว่าหากอยู่ในมณฑลหนานโจว หากอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์ เขาก็ไม่มีวันแก่งแย่งฉกฉวยทรัพยากรกับสำนักหยกสวรรค์ได้ มีแต่ต้องหลบหนีออกมา ถึงพอจะฉกฉวยต้นทุนกลับไปต่อกรกับสำนักหยกสวรรค์ได้อีกครั้ง

นี่คือการตัดสินใจด้านกลยุทธ์ที่เขาใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีแล้ว!

เพื่อรักษาสมดุลกับสำนักหยกสวรรค์ แม้ว่าจะงัดคานเอาชนะมาได้ เขาก็ตัดสินใจส่งมอบผลประโยชน์จากการค้าสุราจำนวนมหาศาลให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล

ก่วนฟางอี๋หัวเราะหยันดังเฮอะๆ “ดูเหมือนเจ้าจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเซ่าผิงปอคนนั้นเสียจริงนะ”

“หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะไปคนเดียวแล้ว อิ๋นเอ๋อร์ เช็ดมือเช็ดปากเสีย ไปกันได้แล้ว” หนิวโหย่วเต้าไม่เถียงกับนางอีก เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วเดินไปด้านข้าง หยิบกระบี่ออกมาจากชั้นวางกระบี่ ถือต่างไม้เท้าแล้วเดินออกไป…

สุดท้ายก่วนฟางอี๋ก็ไปด้วยอยู่ดี เดินตามไป จะให้ทำตัวเจ้าอารมณ์ไม่ยอมไปหรือ? เช่นนั้นจะอยู่ทำอันใดที่นี่เล่า?

ยามที่ทั้งคณะออกจากเมือง หยวนฟางวิ่งกระวีกระวาดไปที่ประตูเมือง แสดงใบรับรองการเข้าพักที่ทางโรงเตี๊ยมออกให้เพื่อรับเงิน

สำนักหมื่นสรรพสัตว์ประกาศไว้แล้วว่าเพื่อเป็นการขออภัยที่ยกเลิกการจัดงานชุมนุมสัตว์วิเศษ ทุกคนที่เดินทางมาเข้าร่วมงานชุมนุมสัตว์วิเศษจะได้รับเงินคนละร้อยเหรียญทองยามที่ออกจากเมือง

ทางนี้มีกันหลายคน หยวนฟางไหนเลยจะยอมพลาดไปได้ เขาไม่มีความสามารถที่จะหาเงินก้อนใหญ่ได้เหมือนอย่างหนิวโหย่วเต้า แต่โอกาสที่จะหาเงินเงินเล็กๆ น้อยๆ กลับไม่มีทางรอดพ้นสายตาเขาไปได้ กำไรทั้งหมดเข้ากระเป๋าเขาเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ใดคิดจะสนใจเขา เขาลูบคลำเงิน เต็มไปด้วยความพึงพอใจ แม้ว่าเงินจำนวนนี้จะสู้เงินที่ได้มาจากทางหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ก็ตาม…

ขุนเขาทอดยาว ยอดเขางามแปลกตา ธารน้ำตกสวยใส สถานที่ชัยภูมิมงคล บรรยากาศสมเป็นสำนักใหญ่

ด้านนอกประตูสำนัก พวกหนิวโหย่วเต้ากำลังรอให้ศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เข้าไปรายงานอยู่

ทั้งคณะชมทิวทัศน์ขุนเขารอบข้าง หลังรอคอยกันอยู่สักพัก ศิษย์ที่เข้าไปรายงานก็กลับมา มาพร้อมกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย

ผู้อาวุโสท่านนี้นามว่าโฉวซาน ผิวพรรณยังเต่งตึงอยู่ อายุดูเหมือนจะไม่มากนัก

พอเขาแจ้งนามมา พวกหนิวโหย่วเต้าที่ให้ความสนใจสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์

หลังจากพูดคุยซักถามประวัติยืนยันตัวแล้ว โฉวซานก็เอ่ยขออภัยว่า “ขออภัยด้วยจริงๆ เจ้าสำนักกำลังรับรองแขกสำคัญหลายท่านอยู่ ปลีกตัวมาไม่ได้ จึงส่งข้ามารับรองพวกท่าน หากหนิวซยงไม่รังเกียจความเรียบง่ายของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็อยู่พำนักในเรือนรับรองก่อนเถิด หากเจ้าสำนักมีเวลาแล้วจะมาพบหน้าแน่นอน”

ครั้งนี้หนิงโหย่วเต้ามาถึงก็แจ้งฐานะไปทันที แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการมาคารวะซีไห่ถังเจ้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์

ด้วยสถานะตัวตนของเขาในตอนนี้ การจะเข้าพบซีไห่ถังก็ไม่นับว่าเกินเลยไปเลย

แต่แน่นอน หากเปลี่ยนเป็นช่วงที่ยังอยู่ในจังหวัดชิงซาน เกรงว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์อาจจะไม่แยแสเขาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าพบเจ้าสำนักอันใด

ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะให้ซีไห่ถังออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้ แต่การที่ให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งออกมาต้อนรับด้วยตัวเองก็นับว่าทางฝั่งเจ้าบ้านให้เกียรติมากพอแล้ว

หนิวโหย่วเต้ารีบเอ่ยว่า “มิกล้าๆ ไหนเลยจะกล้าลำบากเจ้าสำนักมาพบหน้า หากเจ้าสำนักมีเวลาก็แจ้งมาก็พอ แขกย่อมต้องว่าตามเจ้าบ้าน เช่นนั้นก็เอาตามที่ผู้อาวุโสโฉวว่ามาแล้วกัน”

“เชิญ!” โฉวซานผายมือเชิญเข้าสู่สำนัก

ทั้งคณะเข้าสู่หุบเขา โฉวซานพูดคุยด้วยรอยยิ้มไปตลอดทาง เอ่ยแนะนำทัศนียภาพแวดล้อมที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างง่ายๆ

ด้วยตำแหน่งของโฉวซานแล้ว เขาไม่แน่ว่าจะเห็นหนิวโหย่วเต้าอยู่ในสายตา เหตุผลที่ให้เกียรติถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นเพราะอิทธิพลที่หนิวโหย่วเต้ามีต่อมณฑลหนานโจว

แม้นเจ้าจะกล้าบอกว่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่ต้องเดินทางผ่านจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้ก็ได้ แต่กล้ารับประกันหรือว่าศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะไม่เดินทางผ่านมณฑลหนานโจวเลย? พื้นที่กว้างใหญ่ถึงขนาดนั้น ยากจะหลบเลี่ยงได้ ดั่งคำกล่าวที่ว่ามังกรแกร่งกล้าก็ยังสู้งูเจ้าถิ่นไม่ได้ สำนักใหญ่โตขนาดนี้มีศิษย์มากมายต้องเดินทางไปทั่วสารทิศ การรับรองอย่างให้เกียรติในตอนนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าศิษย์ระดับล่างที่ต้องเดินทางไปทำภารกิจ

ด้วยทุนทรัพย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ การรับรองคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้สิ้นเปลืองอันใดนักเลย

กล่าวได้ว่าความมานะทุ่มเทในช่วงเวลาหลายปีมานี้ของหนิวโหย่วเต้า ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว ได้รับสิทธิ์ออกเสียงในมณฑลหนานโจว เมื่อมีคุณค่าให้ใช้ผลประโยชน์ คนนอกก็ย่อมให้เกียรติมากขึ้น โลกความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ ในทางกลับกันก็มิใช่เพียงกลุ่มอิทธิพลอย่างสำนักหมื่นสรรพสัตว์เท่านั้น ใต้หล้ามีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายปานนี้ หากต้องให้การต้อนรับคนทุกประเภท สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็คงรับมือไม่ไหวเช่นกัน

ระหว่างที่สนทนายิ้มแย้มอยู่ โฉวซานลองถามหยั่งเชิงว่า “หนิวซยงมาคารวะเจ้าสำนักด้วยธุระใดหรือ?”

เขาก็ต้องช่วยหยั่งเชิงสถานการณ์ให้เจ้าสำนักเช่นกัน หากมีธุระใดก็อยากจะทราบเอาไว้ก่อน เจ้าสำนักจะได้ตัดสินใจถูกว่าจะพบหรือไม่พบ

นี่เป็นคำสั่งของซีไห่ถัง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักถึงให้ความสนใจคนผู้นี้เป็นพิเศษ แค่ออกมาต้อนรับสักหน่อยก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก? อย่าให้มากเกินไปนักเลย

เรื่องที่เฉาจิ้งเกือบจะล่วงเกินถังอี๋ ซีไห่ถังไม่ได้บอกให้ผู้อื่นทราบ เพียงดุด่าเฉาจิ้งเป็นการส่วนตัวไปยกหนึ่ง เนื่องจากเขาและเฉาจิ้งเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กันและนับว่าเป็นลูกน้องคนสนิท จากข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต้าและถังอี๋ ทำให้ซีไห่ถังสงสัยเล็กน้อยว่าหรือคนผู้นี้จะใจกล้าถึงขั้นที่ถ่อมาโวยวายถึงสำนักหมื่นสรรพสัตว์?

หนิวโหย่วเต้าที่ชมทิวทัศน์งดงามรอบข้างอยู่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เพียงเลื่อมใสในความสง่างามของเจ้าสำนักมานานแล้ว จึงตั้งใจมาเยี่ยมคารวะ หามีธุระใดไม่ นับว่าหุนหันพลันแล่นไปจริงๆ”

โฉวซานร้องโอ้ ตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรๆ หนิวซยงเป็นคนหนุ่มมีความสามารถในโลกบำเพ็ญเพียร เจ้าสำนักก็อยากพบมานานแล้วเช่นกัน” ล้วนแต่เป็นการตอบกลับไปตามมารยาทเท่านั้น

……………………………………………………….