ตอนที่ 492 ใช้ไพ่ในมือไปหมดแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 492 ใช้ไพ่ในมือไปหมดแล้ว

พูดคุยยิ้มแย้มกันไปจนมาถึงศาลาบนเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่กลางขุนเขา

มีศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาจากศาลาแล้วคารวะ โฉวซานส่งมอบคณะของหนิวโหย่วเต้าให้ศิษย์ทางนี้พาแขกไปส่งยังเรือนรับรองที่จัดเตรียมไว้ เอ่ยกำชับทำนองว่าต้องรับรองให้ดีอยู่หลายครั้ง จากนั้นถึงได้อ้างว่ามีธุระแล้วขอตัวลาไป

สถานที่แห่งนี้เป็นตัวกำหนดสถานะของแขกผู้ว่าเยือนว่ามีเกียรติมากพอหรือไม่

หากเป็นแขกสำคัญจริงๆ โฉวซานจะพาไปส่งยังที่หมายด้วยตัวเอง หากกลับกันก็จะมอบหมายให้ศิษย์ที่รับผิดชอบดูแลแขกทางนี้เป็นคนมาให้การรับรอง

แต่ก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ อาณาเขตที่ตั้งของสำนักหมื่นสรรพสัตว์กว้างใหญ่ไม่น้อย ระยะทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งมิใช่สั้นๆ เลย หากว่าแขกทุกคนล้วนต้องมีผู้อาวุโสคอยเดินเล่นเป็นเพื่อน อีกทั้งยังเป็นในช่วงเวลาเช่นนี้อีก เกรงว่าถึงส่งผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกมาก็ยังไม่เพียงพอ

สำหรับเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้ารู้แจ้งแก่ใจดี แต่ก็ไม่ได้ถือสาเช่นกัน ตนยังไม่มีคุณสมบัติถึงขั้นนั้น อีกฝ่ายนับว่าไว้หน้ามากพอแล้ว

นับตั้งแต่ตรงนี้ไปก็มีศิษย์คนหนึ่งเดินทางไปเป็นเพื่อนพวกหนิวโหย่วเต้าต่อ หากพวกเขาอยากจะเดินชมไปช้าๆ ก็จะเดินเป็นเพื่อน หากไม่อยากเดินชมแล้ว อยากจะไปถึงที่หมายโดยเร็วก็ไม่มีปัญหา

เดินชมกันอยู่สักพักหนึ่ง เห็นอาคารสิ่งปลูกสร้างทอดเรียงกันอยู่ไกลออกไป จึงทราบว่าอ้อมเลี่ยงส่วนใจกลางหลักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาแล้ว ขุนเขาสายธารรอบข้างก็ไม่มีอันใดน่ามองแล้ว พวกหนิวโหย่วเต้าจึงไม่สนใจจะเดินกันต่ออีก ให้ศิษย์ของสำนักนำทางพวกเขาทะยานมุ่งไปยังเรือนรับรองที่จัดไว้

เรือนรับรองไม่ใหญ่นัก เป็นเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนไหล่เขา มีธารน้ำตกสายหนึ่งอยู่ห่างออกไป ลำธารหลายสายไหลคดเคี้ยวทอดผ่านด้านล่างตีนเขา มีเรือนที่ลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่บนภูเขาสองข้างด้วย

พอเข้าไปชมภายในเรือน กลับพบว่าการตกแต่งจัดวางดูงดงาม บรรยากาศเงียบสงบทีเดียว

ถึงแม้เรือนจะเล็กแต่สะดวกครบครัน ห้องโถงหลักก็มี ห้องพักก็เพียงพอให้ทั้งกลุ่มเข้าพำนัก

ทั้งคณะเดินวนรอบหนึ่ง ยังไม่ทันได้นั่งลงก็มีศิษย์คนหนึ่งนามว่าโจวเถี่ยจื่อยกน้ำชาเข้ามาให้

ศิษย์ที่พาพวกหนิวโหย่วเต้ามาส่งคนนั้นแนะนำโจวเถี่ยจื่อต่อพวกหนิวโหย่วเต้าอย่างเป็นทางการ แจ้งว่าโจวเถี่ยจื่อจะรับผิดชอบดูแลรับรองตลอดระยะเวลาที่พักอาศัยอยู่ มีธุระใดก็เรียกใช้ให้โจวเถี่ยจื่อไปจัดการได้เลย

หลังจากศิษย์คนนั้นจากไป โจวเถี่ยจื่อก็เอ่ยสอบถามพวกหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยว่าแต่ละคนอยากไปดูห้องพักของตนก่อนหรือไม่?

หนิวโหย่วเต้าอนุญาต ทั้งคณะจึงตามโจวเถี่ยจื่อไปชมดูห้องพักรอบหนึ่ง จัดการกำหนดห้องพักของแต่คนให้เรียบร้อย แน่นอนว่าห้องพักหลักย่อมต้องตกเป็นของหนิวโหย่วเต้า

พอถึงช่วงเย็นก็มีคนนำอาหารมาส่งให้ หลังจากโจวเถี่ยจื่อรับมาก็นำไปจัดขึ้นโต๊ะในห้องโถงหลักอย่างครบครัน เมื่อสอบถามแล้วไม่พบว่ามีเรื่องอื่นใดจะสั่งการอีก เขาจึงถอยออกไป

อาหารที่จัดวางไว้เต็มโต๊ะอุดมสมบูรณ์นัก แต่คนที่ร่วมแบ่งปันมีมากเกินไป อิ๋นเอ๋อร์กินอย่างไม่ใคร่พอใจนัก นางกินจุมาก จึงกินอย่างไม่มีความสุขเท่าไร

หลังกินอาหารเสร็จ แต่ละคนบ้างก็อยู่ในเรือน บ้างก็ออกไปชมแสงตะวันรอนนอกเรือน

หลังจากม่านรัตติกาลเข้าครอบงำ โจวเถี่ยจื่อก็กลับมาเก็บกวาดจานชาม จากนั้นก็สอบถามว่ามีคำสั่งอื่นใดอีกหรือไม่ พอทราบว่าไม่มี เขาก็ถอยออกไป

และในจังหวะนี้เอง มีคนฉวยโอกาสจากความมืด ‘บังเอิญ’ เดินผ่านมายังสถานที่แห่งนี้พอดี บังเอิญพบหนิวโหย่วเต้าที่ยืนเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้ริมขอบเขาพอดี

หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเล็กน้อย อดยิ้มไม่ได้ บังเอิญเสียจริง เป็นคนรู้จักนี่เอง เป็นคนรู้จักที่คิดจะไปหาอยู่พอดี เป็นเฉาเซิ่งไหว!

เฉาเซิ่งไหวกลับยิ้มไม่ออก เขาก็ได้ยินข่าวว่ามีคนชื่อหนิวโหย่วเต้ามาเยือน จึงตั้งใจหาโอกาสมาสอดส่องดู ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าแล้วเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ตนรู้จักจริงๆ คนนั้น

แม้ว่าจะมีความมืดช่วยอำพราง แต่เฉาเซิ่งไหวก็ยังเฝ้าสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวังอยู่ แสร้งทำเป็นเดินผ่านแล้วถือโอกาสประสานมือทักทายแขกอย่างมีมารยาท ทว่าปากกลับเอ่ยไปถึงเรื่องอื่น กดเสียงให้ต่ำลงเอ่ยไปว่า “เจ้ามาทำไม?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ย่อมเป็นเพราะกลัวเฉาซยงจะไม่เชื่อในฐานะข้า จึงมาเพื่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ตรวจสอบโดยเฉพาะ เฉาซยงจะได้วางใจด้วย”

เฉาเซิ่งไหวกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนี้ “เจ้ารีบร้อนอันใด อย่างน้อยข้าก็ต้องสืบดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน ไม่อาจผลีผลามลงมือได้ เจ้าห้ามก่อเรื่องวุ่นวายเด็ดขาด ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้เวลาข้าหน่อย”

เขาเข้าใจผิดว่าหนิวโหย่วเต้าถ่อมาเพราะคิดจะแทรกแซงเรื่องนั้น ดังนั้นพอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ามา เขาจึงสะกดความโมโหไว้ไม่ค่อยอยู่

พอเห็นว่าคนผู้นี้กระวนกระวายขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าจึงไม่หยอกเย้าเขาอีก “ครั้งนี้มาเพราะต้องการให้เฉาซยงช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง”

“ยังมีเรื่องใดอีก?” เฉาเซิ่งไหวค่อนข้างร้อนใจแล้ว “เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรในสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิดไป เป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ ช่วยข้าสืบข่าวของสองสามสำนักมาที ดูว่าได้มาที่นี่หรือเปล่า”

เฉาเซิ่งไหวผงะไปเล็กน้อย เห็นทีว่าจะเข้าใจผิดไปแล้วจริงๆ เรื่องสืบข่าวนี้ ด้วยภูมิหลังของเขาในสำนักหมื่นสรรพสัตว์นับว่าเป็นเรื่องเล็กจริงๆ เขาโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าไม่สะดวกจะรั้งอยู่นาน มีสำนักใดบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณแห่งแคว้นเยี่ยน สำนักร้อยชลา วังเลิศหล้า สำนักเทพนารีแห่งแคว้นหาน”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยด้วยความสงสัย “สามสำนักหลักแห่งแคว้นเยี่ยนกับสามสำนักหลักแห่งแคว้นหานอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง”

“เจ้าสืบเขาพวกเขาไปเพื่ออะไร?”

“วางใจเถอะ ไม่กระทบต้องเรื่องของเจ้าแน่นอน แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย”

“มาแล้ว มากันหมดแล้ว ซ้ำยังเป็นหกเจ้าสำนักมาเยือนด้วยตัวเองด้วย คนที่มีตำแหน่งในหอเลือนสลัวเกินครึ่งล้วนมาเพราะเรื่องของแดนความฝัน ได้ยินว่ามีคนบางส่วนเดินทางเข้าไปในแดนความฝันด้วยตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง”

“ยอดคนทั้งเก้ามาหรือยัง?”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน คนใหญ่คนโตระดับนี้ดั่งมังกรเห็นหัวไม่โผล่หาง ไปมาไร้ร่องรอย หากไม่ได้รับอนุญาตจากคนเหล่านั้นก็ไม่อาจป่าวประกาศได้ อีกทั้งไม่ใช่ข่าวที่ข้าจะสอบถามได้เช่นกัน”

“ดูเหมือนระยะนี้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะยุ่งมาก นับว่าเป็นประโยชน์ต่อเจ้า” หนิวโหย่วเต้าขยิบตาข้างหนึ่งให้เขา ส่งสายตาให้อย่างรู้แก่ใจกันดี

ขณะที่เฉาเซิ่งไหวขมวดคิ้วกำลังจะเอ่ยอันใด ก่วนฟางอี๋ดันเดินออกมาจากประตูเรือนพอดี เฉาเซิ่งไหวเหลือบมองเล็กน้อย กระซิบไปว่า “ข้าไปก่อน”

“อืม!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ ประสานมือคำนับส่ง

เฉาเซิ่งไหวทะยานออกไป หายลับไปในความมืด

ก่วนฟางอี๋เดินมาหยุดข้างกายเขา สายตามองตามทิศทางที่เฉาเซิ่งไหวหายตัวไป เอ่ยด้วยความสงสัย “เฉาเซิ่งไหวหรือ?”

“สายตาดีนี่” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยหยอกเย้า

“ไยเจ้ามักจะทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกด่าอยู่เรื่อยกัน?” ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ จากนั้นก็ถามขึ้นมาอีก “เจ้าบอกความจริงมาซะ พวกเจ้าสองคนวางแผนลับๆ ล่อๆ อันใดอยู่กันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ลับๆ ล่อๆ ที่ไหนกัน ก็พบหน้ากันอย่างเปิดเผยมิใช่หรือ? บังเอิญเจอพอดี ก็เลยทักทายกันไม่ได้หรือไง?”

ก่วนฟางอี๋ไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลนี้เลย “นี่เต้าเหยี่ย ที่นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาวุ่นวายได้นะ หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็หนีไม่รอดแล้ว หากเจ้ามาหาเรื่องเฉาจิ้งจริงๆ รบกวนเจ้าช่วยเตือนล่วงหน้าด้วย ให้พวกเราจะได้จากไปก่อน เจ้าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร แต่ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี”

นี่คือเรื่องที่นางรู้สึกกลัวที่สุดในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นหนิวโหย่วเต้าปลิดชีพสองพี่น้องสกุลเหอแล้วเก็บหลานชายของเฉาจิ้งไว้ ไหนจะมาสมคบรวมหัวกับหลานชายเฉาจิ้งอีก เป้าหมายเด่นชัดเกินไปแล้ว จะไม่ให้นางคิดสงสัยก็ยากแล้ว 艾琳小說

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “คิดเหลวไหลไปเรื่อย”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ามายังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วยจุดประสงค์ใด แล้วก็อย่านึกนะว่าเจ้าพา ‘ตัวตะกละ’ ผู้นั้นมาแล้วจะป้องกันเหตุผิดพลาดได้ หากว่าปล่อยให้ ‘ตัวตะกละ’ ผู้นั้นคืนร่างเดิมขึ้นมาจริงๆ หรือปล่อยให้คนรู้เข้าว่าเป็นพวกเดียวกับเรา ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่านั่นคือหายนะร้ายแรง”

“ข้าใช่คนโง่เขลาอย่างที่เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองแสงดาวบนนภาราตรี “บรรยากาศดีเช่นนี้ สนใจจะไปเดินเล่นใต้แสงจันทร์กับข้าเพื่อเยี่ยมเยือนผู้สูงศักดิ์บางส่วนหรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ถาม “เยี่ยมผู้ใด?”

……

ณ มณฑลเป่ยโจวในเวลาเดียวกัน ฟ้ายังไม่ทันมืด ดวงตะวันลอยเฉียงลงไปทางยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป

บนกำแพงเมือง เซ่าผิงปอที่ตรวจสอบการป้องกันของเมืองอยู่พลันหยุดเท้าลงภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น

เขาสวมเสื้อคลุมกันลม ยืนอยู่บนปราการกำแพง ยืนอยู่ท่ามกลางสายลม ทอดสายตามองไกลออกไป เสื้อคลุมปลิวสะบัด สองจอนขาวหงอกยากจะซ่อนเร้นไว้ได้

เซ่าซานเสิ่งเดินเข้ามา ส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามเหล่านั้นถอยออกไป จากนั้นเดินเข้าไปหาเซ่าผิงปอ ยืนเงียบอยู่ข้างๆ พักหนึ่ง

เป็นเซ่าผิงปอที่เอ่ยทำลายความเงียบ “มีเรื่องใด?”

เซ่าซานเสิ่งตอบว่า “ไม่มีเรื่องใดขอรับ เพียงแต่ยังไม่มีข่าวมาจากทางลู่เซิ่งจงเลย ผ่านไปหลายวันแล้ว ยังอยู่ระหว่างซุ่มกบดานอีกหรือ?”

หลังจากลู่เซิ่งจงวางแผนเตรียมการอยู่ที่เมืองวั่นเซี่ยง เขาก็ส่งข่าวมาให้ทางนี้ทันที บอกว่าเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกจับได้ เขาจะต้องซ่อนตัวกบดานไปสักระยะ จะไม่ติดต่อมาหาทางนี้ชั่วคราว ทางนี้จึงยังไม่ทราบว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นกับลู่เซิ่งจงแล้ว

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ไม่มีข่าวก็นับเป็นข่าวดี”

เซ่าซานเสิ่งแปลกใจ “บ่าวเฒ่าไม่เข้าใจขอรับ”

เซ่าผิงปอยิ้มบางๆ “ไม่มีข่าวก็มีความเป็นไปได้สองกรณี หนึ่งคือยังไม่ได้ลง ยังอยู่ระหว่างซุ่มกบดาน พอจะมีโอกาสอยู่ สองคือถูกจับได้แล้ว ตกไปอยู่ในกำมือหนิวโหย่วเต้าและถูกหนิวโหย่วเต้าจัดการไปแล้ว หากนี่มิใช่ข่าวดีแล้วจะเป็นอันใดได้?”

เซ่าซานเสิ่งถามด้วยความฉงน “ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จแล้วส่งข่าวดีกลับมาหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หนิวโหย่วเต้าเป็นคนเช่นใดเล่า หลายปีมานี้เขาประสบการโจมตีทั้งในทางลับทางแจ้งมาน้อยหรือ? คลื่นมรสุมโหมกระหน่ำหนักหนาเพียงใดก็เล่นงานเขาไม่ได้ ความเป็นไปได้ที่จะพลาดท่าตกม้าตายมีไม่มาก กลัวก็แต่พอลู่เซิ่งจงตกไปอยู่ในมือของหนิวโหย่วเต้า เจ้าคนผู้นั้นจะทนความลำบากไม่ไหว หากเชื่อฟังหนิวโหย่วเต้าแล้วส่ง ‘ข่าวดี’ กลับมาให้ข้าจริงๆ ก็ไม่รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะสร้างความแปลกใจแบบใดให้ข้ากัน”

เซ่าซานเสิ่งถาม “คุณชายใหญ่ไม่ได้ตั้งความหวังกับเขาไว้แต่แรกแล้วหรือขอรับ?”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “จะว่าเช่นนี้ก็ไม่ได้ หากไม่ตั้งความหวังก็คงไม่สั่งให้เขาลงมือ ต่อให้เป็นมือดีแค่ไหนก็ยังมีโอกาสพลาดกันได้ ยังคงฝากความหวังเอาไว้กับเขาอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุด หากสร้างปัญหาให้หนิวโหย่วเต้าได้บ้างก็นับเป็นเรื่องดี เพียงแต่ตั้งความหวังไว้น้อยนัก ดังนั้นถึงให้เจ้าติดต่อไปหาสำนักหยกสวรรค์อย่างไรเล่า”

เซ่าซานเสิ่งเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยตอบไปว่า “ส่งจดหมายไปถึงมือทางสำนักหยกสวรรค์แล้วขอรับ หากว่าคนของสำนักหยกสวรรค์ตามไปจริงๆ คำนวณจากเวลาแล้ว หากเร่งเดินทางไปตลอดโดยไม่ชักช้าระหว่างทางเลย คนน่าจะเข้าเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้วขอรับ”

“เรื่องการแย่งชิงในมณฑลหนานโจว หนิวโหย่วเต้าสร้างเรื่องพลิกสถานการณ์ได้ เอาชนะสำนักหยกสวรรค์ได้ด้วยกำลังอันน้อยนิด สำนักหยกสวรรค์เรียกได้ว่าประสบความสูญเสียอย่างเงียบๆ ถึงแม้ข้าจะมองกลยุทธ์ของหนิวโหย่วเต้าออก แต่กลับหวาดระแวงทางภูเขาหิมะ ถูกหลุมพรางของเขาเล่นงาน เลยไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ได้แต่ปล่อยให้เจ้านี่มันผู้นี้ทำตัวกำเริบเสิบสาด แย่งเนื้อที่กำลังจะถึงปากไปได้สำเร็จ ทำให้เขาได้โอกาสแก่งแย่งผลประโยชน์กับสำนักหยกสวรรค์ในหนานโจว เรื่องนี้ทำให้แซ่เซ่าชิงชังยิ่งนัก”

“ไอ้สาวเลวผู้นี้ได้โอกาสแก่งแย่งผลประโยชน์กับสำนักหยกสวรรค์ทั้งที แต่กลับซ่อนตัวกบดาน ต่อมาก็ไม่เห็นเขาจะเผยหน้าออกมาในหนานโจวอีก แรกเริ่มข้ายังนึกว่าเขาเพียงแค่กริ่งเกรงสำนักหยกสวรรค์ จนกระทั่งเขาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองวั่นเซี่ยง ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ซางเฉาจงขึ้นกุมอำนาจของหนานโจวไว้พอดี ข้าถึงได้ฉุกคิดขึ้นมาได้ เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”

“การกบดานไม่เผยตัวก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วเป็นการแสร้งทำตัวลึกลับ เพื่อยื้อเวลาปกป้องตัวเองให้ซางเฉาจงแย่งชิงอำนาจมาอยู่ในมือได้อย่างสมบูรณ์! และในระหว่างนี้ ท่าทีที่จินโจวยืนหยัดสนับสนุนซางเฉาจงมันก็ดูเด่นชัดเกินไป อีกทั้งไม่มีทางปล่อยให้สำนักหยกสวรรค์ทราบเรื่องผลตะวันชาดแน่ ด้วยเหตุนี้สำนักหยกสวรรค์จึงไม่กล้าหุนหันพลันแล่น จนกระทั่งไอ้สารเลวคนนี้ไปปรากฏตัวที่เมืองวั่นเซี่ยง ข้าถึงได้เข้าใจ ข้าคงไม่ได้เห็นภาพเหตุกาณ์ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างไอ้สารเลวคนนี้กับสำนักหยกสวรรค์เพื่อแย่งชิงหนานโจวอย่างที่อยากจะเห็นแล้ว ไอ้สาวเลวคนนี้ใช้ไพ่ในมือไปหมดแล้ว เขาคิดจะออกไปจากหนานโจวเพื่อสะสมกำลัง เตรียมจะกลับมาอีกครั้ง!”

…………………………………………………….