นิรุตติ์หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “แต่เมื่อครู่คุณได้บอกว่า นัทธีรู้แล้วว่าคนที่ชนอารองกับอาสะใภ้รองคือคนของพ่อผม และยังส่งคนออกตามหาพินัยกรรมอีก คุณคิดว่าในพินัยกรรมนั้น คุณปู่จะไม่ทิ้งหลักฐานที่คุณหลอกอารองกับอาสะใภ้รองไปที่ข้างถนนตอนนั้นเหรอ”

ปู่บรรพตฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ตรวจสอบจุดนี้ไม่เจอ

เพราะฉะนั้น เขาจึงเชื่อว่าบนพินัยกรรมของปู่บรรพตจะต้องมีหลักฐานที่เกี่ยวกับนวิยาอย่างแน่นอน

และเป็นไปอย่างที่คิด เมื่อนวิยาได้ยินประโยคนี้ ตกใจจนมือไม้เย็นไปหมด “ทำ……ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

“ดังนั้น พวกเราสองคนตอนนี้ตกอยู่บนเรือลำเดียวกัน ถ้าหากว่าคุณไม่อยากให้นัทธีรู้เรื่องในสิ่งที่คุณทำ ทางที่ดีให้ทำตามในสิ่งที่ผมบอก ไม่อย่างนั้น ก่อนที่ผมจะบรรลัยผมจะเปิดโปงคุณก่อน ให้นัทธีค่อย ๆ ทรมานคุณจนตาย” นิรุตติ์กล่าวอย่างเย็นชา

นวิยาเดิมทีก็มีความรู้สึกกลัวเขาอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ถูกเขาข่มขู่อีก จึงไม่กล้าหือไม่กล้าไม่ทำตาม แล้วพยักหน้ารัว ๆ “ได้ ฉันจะทำตามที่คุณบอก”

“อย่างนั้นก็ดี ช่วงระหว่างนี้ คุณยังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น อยู่เงียบ ๆ ไปก่อน จะได้ไม่ทำให้นัทธีเกิดความสงสัย อีกอย่าง ทางที่ดีคุณอย่าได้ไปทำอะไรกับวารุณี ถ้าหากว่าวารุณีได้รับบาดเจ็บ คุณคอยดูก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ นิรุตติ์ก็วางสายลง

นวิยาวางโทรศัพท์ลงด้วยใจที่สั่นกลัว ผ่านไปสักพักก็ลุกยืนขึ้นด้วยใจที่ริษยาและไม่พอใจ

วารุณีอีกแล้ว

พวกผู้ชายเหล่านี้แต่ละคนทำไมถึงรุมรักแต่วารุณี ปกป้องแต่วารุณี ทำไม

เพราะใบหน้าใบนั้นของวารุณีเหรอ

เมื่อนึกถึงใบหน้าที่งดงามดุดันของวารุณี นวิยาที่ไม่อยากจะยอมรับก็ต้องยอมรับ ว่าใบหน้านั้นงดงามจริง ๆ และก็เป็นใบหน้าผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา

ถ้าหาก ถ้าหากว่าวารุณีไม่มีใบหน้าใบนั้น นัทธีจะยังหวั่นไหวกับวารุณีอีกไหม

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นวิยาใจก็เต้นรัวขึ้น แววตาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง

แต่ไม่นาน เธอก็นึกถึงคำเตือนของนิรุตติ์ทันที จากนั้นได้สลัดความคิดนี้ทิ้งออกไป

ปล่อยให้วารุณีมีความสุขไปชั่วคราวก่อน แล้วเธอค่อย ๆ จัดการทุกอย่างทีหลัง

นวิยาทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็จากช่องบันไดที่ปลอดภัยไป

ตอนค่ำ ในที่สุดนัทธีก็ได้เคลียร์เอกสารงานด่วนเสร็จสิ้น แล้วก็ขับรถกลับคฤหาสน์

ในคฤหาสน์แสงไฟสว่างไสว เมื่อเขาเข้าประตูมา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเด็ก ๆ

สีหน้าของนัทธีจึงได้อ่อนโยนลง

เป็นเวลานานสักพักหนึ่งแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงหัวเราะที่มีความสุขเช่นนี้ของเด็ก ๆ

ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้ยิน

ช่วงเวลานั้น เขานอกจากผิดต่อวารุณีแล้ว ยังผิดต่อเด็ก ๆ ทั้งสองคนอีก โชคดีที่วารุณีกับเด็ก ๆ สองคนนี้ไม่ได้ถือโทษโกรธเขา

นัทธีสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องรับแขก

เด็ก ๆ ทั้งสองคนมองเห็นเขา คู่ดวงตาหันมาทางเขา

“คุณอานัทธี” อารัณหยุดหัวเราะ แล้วตะโกนเรียกนัทธีอย่างสุภาพ

นัทธีดวงตาหม่นดำลงครู่หนึ่ง

แต่ยังดีที่ไอริณได้เรียกเขาว่าพ่อต่อจากนั้น ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

“หม่ามี๊ล่ะครับ” นัทธีถามเด็กทั้งสองคน

ไอริณชี้ไปชั้นบนตึก “หม่ามี๊โทรศัพท์อยู่ชั้นบนค่ะ”

นัทธีเงยหน้าขึ้นไปมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนตึก

ในห้อง วารุณียืนอยู่ที่ระเบียง กำลังถือโทรศัพท์คุยสายกับคนอื่น

นัทธีผลักประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นก็คือแผ่นหลังที่งดงามของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงเพลิง

เป็นชุดกระโปรงรัดรูป โชว์ส่วนหลัง ทำให้เห็นถึงส่วนโค้งส่วนเว้าของรูปร่างที่ได้สัดส่วนของหญิงสาว

ดวงตาของนัทธีหม่นลง น้ำเสียงก็แหบแห้งเล็กน้อย

เขากระตุกดึงเนกไทที่คอ แล้วก้าวฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้าไป จากนั้นยื่นแขนออกมากอดเอวของหญิงสาวจากด้านหลัง และกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา

หญิงสาวร้องอุ๊ยด้วยความตกใจ จนโทรศัพท์เกือบจะร่วงตกลงไปจากระเบียง

ทางฝั่งคู่สายโทรศัพท์ ปาจรีย์นึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ จึงรีบถามขึ้นด้วยความลนลาน “วารุณี เธอเป็นอะไร”

หางตาของวารุณีเหลือบไปมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วก็ยิ้มตอบกลับไปว่า:“ไม่เป็นไร พอดีตกใจหนูน่ะ”

“หนู?” ปาจรีย์มึนงง

ใบหน้ารูปงามของนัทธีคล้ำลง

นี่เธอว่าเขาเป็นหนูเหรอ

นัทธีรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ฝ่ามือจึงค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปตามเอวของเธอ แล้วบีบเข้าที่ส่วนที่นูนออกมาของเธอ

วารุณีร้องโอ๊ยขึ้น

ปาจรีย์จึงถามขึ้นอีก “วารุณี หนูมาอีกแล้วเหรอ”

“อืมใช่ ฉันไปจับหนูก่อนนะ แค่นี้ก่อน บาย”

พูดจบ วารุณีก็รีบวางสายโทรศัพท์ลง จากนั้นก้มหน้าแล้วดึงมือที่ทำมิดีมิร้ายนั้นออก แล้วหันหลังมาจ้องชายหนุ่มด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คุณทำอะไร”

นัทธีจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ลุ่มลึก “คุณว่าผมเป็นหนู”

ดังนั้นเขากำลังลงโทษเธอ

วารุณีเม้มปาก “ใครใช้ให้คุณเดินไม่ให้ซุ่มให้เสียง จู่ ๆ มากอดฉัน ตกใจหมดเลย”

“คุณใส่ผ้าน้อยชิ้นเกินไป ผมกลัวว่าคุณจะหนาวก็เลยสวมกอดคุณไง” นัทธีจับแผ่นหลังที่นุ่มนวลของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

วารุณีกลอกตามองบน “คุณคิดว่าฉันจะเชื่อคุณอย่างนั้นเหรอ”

เห็นชัดเจนว่าเขากำลังแต๊ะอั๋งเธออยู่

ให้ตายเถอะ เธอแค่เปรย ๆ ว่าจะให้อภัยเขาในคืนนี้ นี่เขาถึงกับบากหน้ามาหาเลย ไม่กลัวว่าเธอจะปฏิเสธหรืออย่างไร

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ชุดที่คุณใส่ในคืนนี้ ใส่เพื่อผมโดยเฉพาะเลยใช่ไหม” นัทธีมองวารุณีด้วยแววตาคาดหวัง

มีแสงแวววาวแวบเข้ามาในดวงตาวารุณี กปากแข็งไม่ยอมรับ “ป่าว ใส่ไปงั้นๆ”

“ใส่งั้นๆเหรอ” ริมฝีปากบางของนัทธียกขึ้น “แต่ไหนแต่ไรมาคุณไม่เคยใส่ชุดที่เช็กซี่แบบนี้ตอนอยู่บ้าน และก็ยิ่งไม่เคยแต่งหน้าที่ประณีตแบบนี้ ยังจะมาบอกว่าไม่ได้ใส่เพื่อผมอีก”

วารุณีเคอะเขิน “ในเมื่อรู้แล้วยังจะถามอีกทำไม”

“ผมอยากได้ยินคุณพูดออกมาจากปาก” นัทธีเชยคางของเธอขึ้น

วารุณีแมือของเขาออก “เอาล่ะ ลงไปทานอาหารกันเถอะ” วารุณีได้เตรียมอาหารเสร็จไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว

“ไม่รีบ เดี๋ยวค่อยลงไปก็ได้” นัทธีดึงเธอมากอดอีกครั้ง ก้มหน้าแล้วใช้หน้าผากประกบเข้าที่หน้าผากของเธอ “ผมคิดถึงคุณจังเลย”

วารุณีอึ้งไปครู่หนึ่ง “อยู่ดี ๆ ทำไมถึงพูดแบบนี้ขึ้นมา ฉันก็อยู่ตรงหน้าคุณอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“เปล่า ผมหมายถึงช่วงเวลาก่อนหน้านนี้ ขอโทษนะ” นัทธีกอดแน่นขึ้น “เพาะการเสียชีวิตของพ่อแม่ผม ทำให้ผมไม่รู้จะเผชิญหน้ากับคุณยังไง ดังนั้นผมถึงได้อยู่ให้ไกลจากคุณ เย็นชาใส่คุณ แต่ว่าในใจผมนั้นคิดถึงคุณตลอด คิดถึงมาก ๆ ผมใช้ความพยายามอย่างสูง บังคับตัวเองไม่ให้ไปหาคุณ……”

เป็นครั้งแรกที่วารุณีได้ยินชายหนุ่มพูดว่าคิดถึงเธอตรง ๆ แบบนี้ ในใจก็เกิดความแปลบ ๆ จี๊ดเล็กน้อย

เธออดไม่ได้จึงตบที่หลังของเขาเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ช่างเหอะ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ฉันหวังแค่เพียงว่าคุณอย่าทำแบบนั้นกับฉันอีก มีเรื่องอะไรก็ให้พูดออกมา อย่าปิดบังฉัน ให้ฉันได้เผชิญสู้ไปพร้อมกับคุณดีไหม”

นัทธีจูบประทับหน้าผากของเธอ “ครับ”

วารุณีผลักเขาออก ยิ้มแล้วยกโทรศัพท์ขึ้น “นี่คุณให้สัญญากับฉันด้วยตัวเองนะ ฉันได้บันทึกไว้แล้ว ถ้าหากว่าวันหนึ่งเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก แล้วคุณยังจะเลือกไม่พูด ปิดบังฉัน เย็นชาใส่ฉัน ไม่เชื่อใจฉัน ฉันก็จะหย่ากับคุณจริง ๆ และจะไม่ใจอ่อนกลับมาเหมือนครั้งนี้อีก”

“ครับ” นัทธีพยักหน้าอย่างจริงจัง และไม่ได้ถามเธอว่าอัดเสียงตั้งแต่ตอนไหน

จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงได้พูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค “อีกอย่าง ช่วงเวลานั้นผมกับนวิยาไม่ได้มีอะไรกัน ที่ให้เธอเข้าห้องคอนโดฯ ก็เพราะเรื่องงานเลี้ยงฉลองการฟื้นตัว ไม่นานก็ให้เธอออกไปแล้ว”

เมื่อพูดจบ เขาจ้องมองเธอ แววตาลนลาน กลัวว่าเธอจะไม่เชื่อ

วารุณีอดขำไม่ได้ “เอาล่ะ ฉันเชื่อคุณ”

นัทธีจึงเบาใจลง “อย่างนั้นคุณยกโทษให้ผมแล้วใช่ไหม”

“อืม ฉันยกโทษให้คุณแล้ว” วารุณีวางโทรศัพท์ลง

ใบหน้าของนัทธีเห็นได้ชัดเจนว่ามีความดีใจ จึงเชยคางของเธอขึ้นแล้วก็จูบลงไป

วารุณีคล้องคอของเขาไว้ และจูบตอบกลับไป

นึกว่าเขาจะจูบครู่เดียวแล้วก็ปล่อย จากนั้นลงไปทานข้าว

แต่ที่ไหนได้ชายหนุ่มยิ่งจูบยิ่งมีเคลิ้ม

รู้สึกได้ว่ามือของชายหนุ่มได้จับส่วนหลังคอของเธอ วารุณีจึงดึงสติตัวเองกลับมา แล้วรีบผลักชายหนุ่มออกไป “ไม่ได้!”