บทที่ 483 ออกเดินทางไปทะเลทราย

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 483 ออกเดินทางไปทะเลทราย

พอคิดถึงตรงนี้ สายตาของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขึ้นมา เมื่อคืนหลังจากที่ราชครูเทียนเวิงไป เขาก็อาเจียนตลอดทั้งคืน แต่ก็ยังโดนพิษอยู่

หากอยากมีชีวิตอยู่ต่อ

ก็มีเพียงสองวิธี

อันแรกก็คือ เชื่อฟังราชครูเทียนเวิงดีๆ อันที่สองก็คือ แอบเอาเรื่องที่ตนโดนยาพิษทำให้เทพธิดารู้ แต่ทั้งสองแบบนี้ก็คือการเอาชีวิตของตนเองไปให้ผู้อื่น

เขาไม่ยอม!

แน่นอนว่ายังมีวิธีที่สาม

วิธีนี้ไม่ดีต่อคนอื่นและทำร้ายตัวเอง โอกาสที่จะสำเร็จก็เลือนราง แต่ให้ตายยังไง ก็จะไม่ใช้ชีวิตตัวเองไปเดิมพัน แต่เขากลับชอบวิธีนี้ที่สุด ทำครั้งเดียวแต่ได้ผลถึงสามอย่าง ทำไมจะไม่อยากทำหล่ะ?

ทหารม้ากองใหญ่หยุดอยู่ที่ศาลา เย่หลีเฉินลงม้านำมาก่อน ตอนที่เผชิญหน้ากับหลานเยาเยา สีหน้าของเขาเคอะเขินเล็กน้อย

นางพูดถูก

ในใจของเสด็จพ่อ เขาก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูก และสามารถทิ้งได้ตลอดเวลา

อา!

ไม่เป็นไร ยังไงก็เดาออกแต่แรกแล้ว

เขาอ้าปาก กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ถูกอีกคนกันไว้ เสียงจึงติดอยู่ในลำคอ กลืนไม่ลง พูดออกมาก็ไม่ได้

“เทพธิดา เทพธิดา เป็นท่านจริงๆหรือ? ท่านหายไปทำให้ข้าคิดถึงเหลือเกิน!เห็นท่านปลอดภัย ข้าก็วางใจ”

ฮ่องเต้ที่อยู่ในชุดเหลืองสว่างก็ลงมาจากรถม้า ก้าวเท้ายาวๆสองสามก้าว ก็มาถึงตรงหน้าของหลานเยาเยา พูดเรื่องที่นางหายไปก่อนหน้าประโยคหนึ่ง และก็ไม่ถามสาเหตุอะไร รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูแข็งทื่อขึ้น

หลานเยาเยาเหลือบมองฮ่องเต้ และก็ไม่ได้ตอบ แต่มองไปยังรถม้าด้านหลัง ขมวดคิ้วและถามว่า:

“ในรถม้าคันนั้นเป็นใคร?”

นางมีลางสังหรณ์ว่า คนที่อยู่ในรถม้านั้น นางจะต้องรู้จักแน่ๆ

ฮ่องเต้ก็มองตามสายตานางไป หลังจากที่เห็นรถม้าคันนั้น ก็หัวเราะขึ้นมายกใหญ่ แล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

“จาวหยางนี้นะ! ช่างดื้อเสียจริงๆ ทะเลทรายมันไม่ใช่ที่สนุกเสียหน่อย ขู่ฆ่าตัวตายจะมากับข้า พอไม่ให้ไป ก็ร้องไห้ พอไม่ได้ผลก็โวยวายและขู่จะแขวนคอ ข้าหมดหนทางจริงๆ จึงทำได้เพียงพานางมาด้วย”

โหลวเย่ว?

นางจะมาได้อย่างไร?

คงไม่ใช่เพราะฮ่องเต้อยากจะบีบนาง หรือบีบเย่หลีเฉินไว้ ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งหลอกนางมาใช่ไหม?

ไม่ได้การ!

นางต้องไปดูเสียหน่อย

ขณะกำลังจะยกเท้าเดินไป เสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“เทพธิดาช้าก่อน ช่วงนี้จิตใจของจาวหยางไม่สงบ อารมณ์ไม่ดี เมื่อวานก็ร้องไห้อาละวาดไปจนฟ้าจะสางแล้วก็ยังไม่ยอมนอน ข้าจึงสั่งหลีเฉินเอาชาที่ทำให้จิตใจสงบให้นางดื่ม ตอนนี้ยังคงหลับอยู่!”

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

นางไม่แน่ใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา

หลานเยาเยาหันไปมองเย่หลีเฉิน พอเห็นเขาก้มหน้าเงียบ จึงกดความสงสัยในใจเอาไว้ ห้ามให้ตนเองไปหาโหลวเย่ว

“เทพธิดา ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว เป็นเวลาที่จะออกเดินทางหรือยัง?”

เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง

ในน้ำเสียงดูมีความกระตุ้นอยู่เล็กน้อย ดูท่าทางเหมือนแทบรอไม่ไหวที่จะไปยังทะเลทรายแล้ว

หลานเยาเยาเงยหน้ามองเมฆที่มีแสงอาทิตย์ส่องผ่านทางทิศตะวันออก เป็นผืนสีแดง พระอาทิตย์โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าอยากจะกระโดดข้ามภูเขา ขึ้นไปยังท้องฟ้าแล้ว

ใช่!

ฟ้าสว่างแล้ว ควรออกเดินทางได้แล้ว

“ข้าได้ทำเครื่องหมายบอกเส้นทางภูมิประเทศภูเขาและน้ำของแผ่นดินใหญ่นี้ไว้แล้ว มีสองฉบับ ฉบับนี้ให้ท่าน” หลานเยาเยาหยิบแผนที่แผ่นนึงออกมาจากหลังมือด้านหลัง

แผนที่เส้นทางนี้ เดิมทีนางไม่ได้คิดว่ามอบให้แก่ฮ่องเต้ จึงมองข้ามมือของฮ่องเต้ที่ยื่นมารับ และส่งให้แก่เย่หลีเฉินที่อยู่ข้างๆ

แน่นอนว่าถ้าตบใครไป ก็ต้องให้ลูกอมกินเป็นการปลอบ

นางจึงพูดกับฮ่องเต้อย่างเอ้อระเหยว่า

“การเดินทางนี้นั้นยาวนาน พระวรกายของฮ่องเต้นั้นล้ำค่า การนั่งในรถม้าให้สะดวกสบายนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่สมควรที่จะไปวิ่งเต้นอยู่บนม้าให้เหนื่อย ผู้ที่ถือแผนที่เส้นทางนี้จะต้องอยู่ขบวนหน้าสุด เพื่อสำรวจบุกเบิกเส้นทาง”

พอคำพูดนี้ออกไป

สีหน้าที่แข็งกร้าวของฮ่องเต้ก็ค่อยๆดีขึ้น ตามคำพูดของนาง จึงตบไหล่เย่หลีเฉิน และพูดอย่างจริงใจ

“หลีเฉิน การเดินทางครั้งนี้ลำบากและอันตราย ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ชีวิตของเสด็จพ่อ ชีวิตของจาวหยาง แล้วก็ชีวิตของทุกๆคน อยู่ในมือเจ้าแล้วนะ เจ้าจะต้องระวังอย่าทำแผนที่เส้นทางนี้หาย……”

จากนั้นก็ยังพูดอีกมากมาย

ต่อหน้าคนนอก สิ่งที่ฮ่องเต้พูดเยอะที่สุดก็คือ ให้เย่หลีเฉินปกป้องตัวเอง ท่าทางของพ่อที่เมตตาและอ่อนโยนเผยออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

สรุปมาประโยคเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือแผนที่เส้นทาง สิ่งอื่นๆก็ไม่ได้ใส่ใจ

ก่อนออกเดินทาง

ฮ่องเต้เชิญหลานเยาเยาให้ไปในรถม้าของเขาด้วยกัน แล้วก็พยายามพูดว่ารถม้าของเขาสะดวกสบายยังไง ไม่สั่นสะเทือน ขนาดเอาถ้วยชาวางไว้บนม้านั่ง น้ำก็ไม่หกออกมา

หลานเยาเยาแอบพูดว่า: โง่เขลา

มีความสามารถไปเปรียบเทียบกับรถม้าของเย่แจ๋หยิ่งได้ไหม? แบบนั้นถึงจะเรียกว่าของระดับสูงจริงๆ

จากนั้นนางก็เป่านกหวีด ตะโกนว่า: “สวนหยู่!”

“ก๊อบ ก๊อบ ก๊อบ……”

ม้าแข็งแรงสวยงามตัวหนึ่งวิ่งมาอย่างสง่างาม และถูๆอยู่ตรงแขนนางอย่างอบอุ่น ดูแสนรู้มาก

อา!

สวนหยู่นี่นับวันยิ่งชอบอ้อนขึ้นเรื่อยๆ

หลานเยาเยาพลิกตัวขึ้นมา ถีบสองเท้า สวนหยู่ก็ส่งเสียงฮี้ ทันใดนั้นก็ควบม้าออกไปราวกับยิงธนู คนหนึ่งคน ม้าหนึ่งตัวจากไปด้วยความเร็ว ทุกคนเพิ่งดึงสติกลับมาได้ คนของสำนักหงอี ที่นำโดยยู่หลิวซูก็รีบขึ้นม้าและตามไป

ตาเฒ่าเย่นที่ช้าไปก้าว มองไปรอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง

ม้าหล่ะ?

ทำไมพวกเขาถึงมีม้ากันทุกคน แต่เขาไม่มีหล่ะ?

ที่จริงไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะมา จะเตรียมให้ใครหล่ะ! ให้อากาศนั่ง?

ไม่มีวิธีแล้ว

ร่างกายของตาเฒ่าเย่นกะพริบ กลายเป็นภาพเบลอ บินออกจากศาลาไปแล้ว วิชาตัวเบาก็สูงส่ง ความเร็วก็ไวมาก รีบไล่ตามคนที่ขี่ม้ารั้งท้ายสุดคนนั้น ทันใดนั้นก็มานั่งอยู่หลังสุด

จู่ๆก็มาเพิ่มน้ำหนักคนคนนึง ทำให้ขาของม้าเร็วที่ห้อตะบึงมานั้นอ่อนจนแทบจะพลิก ดีที่ควบคุมไว้ได้ทัน และรักษาความเร็วได้

เย่หลีเฉินเห็นสถานการณ์นั้นตาก็เป็นประกาย

ลูกน้องของนาง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาจริงๆ แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดา

เขาเองก็ไม่น้อยหน้า แตะปลายเท้าเบาๆ บินไปยังม้าที่นั่งก่อนหน้า และควบม้าออกไปด้วยความเร็ว

เขาคิดว่า:

บางทีการมาทะเลทราย สำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

จากนั้นก็ยกมุมปาก คิดอยากจะไล่ตามคนที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วนั้น จนลืมไปหมดว่า ด้านหลังยังมีกองทหารม้ากองใหญ่ ที่กำลังเริ่มเดินทางอย่างตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก

……

ในห้องพัก สำนักหงอี

ผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงหน้าซีดไร้เลือด แต่ดูจากหน้าตาของเขาแล้ว ก็สามารถเห็นความชั่วร้ายเล็กๆ

ทั่วทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าขาว ราวกับหุ่นกระบอก กลิ่นยาฉุนตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง รอบๆนั้นเงียบสงัด

ขณะนั้น!

ขนตายาวของชายชั่วร้ายขยับเบาๆ เปลือกตาเปิดขึ้นนิดๆ นิ้วมือเรียวขาวซีดก็ขยับเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

ชายชราเคราขาวคนหนึ่ง ถือถ้วยดำทะมึนที่ส่งกลิ่นเหม็นของยาออกมา ด้วยใบหน้าที่เคารพ สำหรับการต้มยาชนิดนี้เขานั้นช่ำชองมาก จากนั้นเปิดประตูห้องเบาๆและเข้าไป

ยังไม่ทันเดินถึงเตียง ก็ได้ยินเสียงวางถ้วยหนักๆ รูปร่างที่ชัดเจนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าประตูห้อง

“มานี่!”

ทันทีที่สิ้นเสียง คนที่แต่งตัวเหมือนผู้คุ้มกันก็รีบมา

“ส่งนกพิราบไปบอกเจ้าสำนักว่า ท่านชายหยิ่งไปแล้ว”

“ขอรับ!”

ผู้คุ้มกันรับคำสั่งและจากไป ชายชราผู้นั้นลูบเคราขาวของตนเอง ก็อดส่ายหัวไม่ได้

ที่แท้ก็เป็นคนโหดเหี้ยม……