บทที่ 484 ถูกเหยียดหยาม

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 484 ถูกเหยียดหยาม

ครึ่งเดือนต่อมา ทหารปฏิบัติการแนวหน้าสุดทะเลทราย

เมื่อเข้าใกล้ทะเลทราย มองจากไกลๆ ก็เป็นทะเลทรายร้างผืนใหญ่ นอกจากพืชที่สามารถทนแล้งเติบโตในทะเลทรายได้แล้ว ส่วนที่เหลือก็คือทรายเหลืองๆ

ความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่กับประเทศก่วงส้านั้นต่างกัน มันอยู่ในประเทศเล็กๆ แห้งแล้งมาก พื้นที่กว้างประชากรน้อย บ้านเรือนน้อยมาก

คนทั่วไปก็ไม่อยู่ใกล้กับทะเลทราย ส่วนมากก็จะไปอยู่ในที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์

“พระเจ้า! ดูนี่เร็ว นั่นใช่หมู่บ้านหรือไม่?” มีคนพูดออกมาอย่างสงสัย

ทุกคนมองไปตามสายตาคนพูด แววตาเผยความเหลือเชื่อออกมา

ที่นี่ ที่ใกล้กลับทะเลทรายร้าง แต่กลับมีหมู่บ้านที่เหมือนกับดินแดนในอุดมคติตั้งอยู่ มีภูเขา มีน้ำ มีบ้านเรือน มองไกลๆก็เห็นเกวียนเข้าไปในหมู่บ้าน

ที่ที่พวกเขาอยู่นั้นเป็นมุมสูง สามารถมองเห็นทั่วทุกด้านของหมู่บ้าน

ที่นั่นต่างกับทะเลทรายรอบๆอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่า หมู่บ้านนี้กับหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศก่วงส้านั้นเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะช่วงสองสามวันนี้ ได้เห็นแต่สถานที่ที่ลำบากแห้งแล้ง

ดังนั้น พอจู่ๆก็ได้มาเห็นหมู่บ้านที่เหมือนกับดินแดนในอุดมคติ ถึงได้ตื่นตะลึงเช่นนี้

หลานเยาเยามองไปที่หมู่บ้าน จุดสำคัญก็คือเขตสีทองตรงกลางหมู่บ้าน

เพราะระยะห่างมันไกลเกินไป จึงมองไม่ชัดว่าสีทองพวกนั้นคืออะไร

“เจ้าสำนัก เดินเร็วมาครึ่งค่อนเดือนแล้ว ผู้คนก็เหนื่อยล้าม้าก็อ่อนเพลีย อีกอย่างท้องฟ้าก็เย็นแล้ว กองทัพจะต้องเสริมปรับปรุงเสียหน่อย ถึงจะจัดการออกเดินทางได้”

“อื้ม! เข้าหมู่บ้าน อย่าไว้ชีวิต”

หลังจากที่หลานเยาเยาสั่งคำสั่งเสร็จ ก็สะบัดบังเหียน ส่งเสียง “ไป” หางของสวนหยู่กระดกขึ้น ส่งเสียงฮี้ฮี้ มุ่งลงทางลาดชัน ไปยังทิศทางของหมู่บ้าน ทุกคนของสำนักหงอีก็ตามมาติดๆ

ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ในรถม้า ก็ถูกทางเขาที่ขรุขระนั้นกระแทกจนอ่วม ฟังจากที่ทุกคนปรึกษากัน ในใจก็อยากจะรู้มาก ว่าหมู่บ้านนี้มันจะเป็นอย่างไร?

แต่

เขาเพิ่งจะลงจากรถม้าอย่างยากลำบาก ก็เห็นขบวนของหลานเยาเยานั้นเดินไปแล้ว จึงยกขาขึ้นเตะตาเฒ่าที่ประคองเขาลงจากรถ และตะโกนอย่างรีบร้อนว่า:

“ตามไป ตามไป รีบตามไป”

คนนั้นห้ามพลัดหลงกันเด็ดขาด มาถึงเขตทะเลทรายแล้ว ถ้ามาพลัดหลงตอนนี้ งั้นยาฉางตานที่ได้มาไม่ใช่ว่าจะบินไปแล้วหรอ ยิ่งพอคิดถึงราชครูเทียนเวิง ฮ่องเต้ก็รีบปีนขึ้นรถม้า สั่งให้คนตามไปโดยเร็ว

มององครักษ์วังหลวงที่เดินเท้า และก็มองกลุ่มใต้บัญชาที่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง พวกเขาเคยเดินทางบุกป่าฝ่าดงเป็นเวลานานเช่นนี้เมื่อไหร่กัน?

พวกเขาไม่มีรถม้า ไม่มีม้าให้นั่ง ตลอดทางอาศัยเพียงแค่สองเท้า ขณะนี้ก็อิดโรยมากแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้ยังสั่งให้พวกเขาวิ่งตามไปด้วยความเร็วอีก จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

ตอนนี้สีหน้าของเสด็จพ่อแย่ลงเรื่อยๆ ไม่เหมือนถูกกระแทกตลอดทางสักเท่าไหร่……

ดังนั้น!

เย่หลีเฉินที่อยู่หลังสุด ก็มองสองสามคนที่ติดตามเขามา และขี่ม้าลงทางลาดช้าๆ

มาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน

หลานเยาเยาก็เงยหน้ามองป้ายที่ทำจากไม้แห้ง และฟางแห้ง ลายมือบนนั้นดูแข็งแรงทรงพลัง ราวกับมังกรว่ายน้ำ

หมู่บ้านฝันฮั๋ว?

การตั้งชื่อหมู่บ้านดูค่อนข้างมีระดับ เพียงแต่ไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานที่นี้

หลานเยาเยายทนอยู่ตรงปากทางหมู่บ้าน พลิกตัวลงจากม้าและมองไปรอบๆ รู้สึกว่าสิ่งก่อสร้างที่นี่ทำมาจากไม้เกือบทั้งหมด อีกทั้งยังดูโบราณ ดูแล้วค่อนข้างคล้ายกับหมู่บ้านที่ถูกลืมไปตามกาลเวลา

ไม่นาน ในหมู่บ้านก็มีคนจูงผู้เฒ่าท่านนึงออกมาช้าๆ อีกทั้งยังรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนต่างดูสงสัย บางพวกก็ยังแอบปรึกษากันอยู่

“ช่วงนี้นี่มีอะไร? ทำไมกลุ่มคนนอกถึงได้เข้ามาในหมู่บ้านของพวกเรา เพราะมีแผนร้ายต่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้านงั้นหรือ?”

“พูดไร้สาระอะไร? หมู่บ้านของพวกเรามีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน! ไม่ได้ยินที่ผู้ใหญ่บ้านบอกหรือไง? พวกเขานั้นไปทะเลทรายเพื่อรนหาที่ตาย และก่อนตาย สามารถให้เงินแก่หมู่บ้านได้ นี่ก็เป็นเรื่องดี”

“ใช่ๆๆ ในหมู่บ้านของพวกเราไม่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ พูดไร้สาระอะไร! หมู่บ้านบอกแล้วว่านี่ต้องเป็นความลับ จะได้ไม่เป็นการเรียกหายนะมา

ผ่านช่วงนี้ไปก่อน รอจนไม่มีคนมาที่ทะเลทรายอีก เขาค่อยจัดตั้งชายหนุ่มแข็งแรงไปทะเลทรายเพื่อรีดเงินอีก ดูสิ คนกลุ่มใหญ่นี้ แค่มองเสื้อผ้าก็ดูมีราคา ครั้งนี้จะต้องทำเงินได้ไม่น้อยแน่

ในใจเมื่อเห็นคนนอกมา คนในหมู่บ้านก็ดีใจ

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่เพิ่งเริ่มมีคนมา ทุกคนนั้นต่างวิตกกังวล อย่างไรเสีย คนที่มานั้นถือมีดพกกระบี่ โหดร้าย ติดอาวุธครบครัน จึงคิดว่าจะมาแย่งชิงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แหล่งพึ่งพิงของพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้จึงขจัดออกไป

ต่อมา ได้รู้ว่าพวกเขานั้นไม่สนใจต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่อยากไปยังส่วนลึกของทะเลทราย เพียงแค่อยากหยุดพักเหนื่อยในหมู่บ้าน ซ้ำยังให้เงินจำนวนนึงแทนค่าพักอาศัย เหล่าคนในหมู่บ้านจึงรีบปรนนิบัติอย่างดี

ก่อนหน้านี้ พวกเขาเจอคนกลุ่มนึง เสื้อผ้าดูธรรมดา เหมือนจอมยุทธ์ในยุทธภพ

แต่ผู้ที่มาวันนี้นั้นต่างไป คนที่เดินเท้ามีเสื้อผ้าเหมือนกัน คนที่ขี่ม้าแต่ละคนก็ดูไม่ธรรมดา แค่มองก็ไม่ใช่คนในยุทธภพ อีกทั้งยังร่ำรวย

นี่ต้องปรนนิบัติพวกเขาให้ดี แล้วพวกเขาจะให้โชคลาภ

“วันนี้อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ ปักษาต่างปีติยินดี ข้านั้นรู้ มีสหายมาจากแดนไกล ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ ท่านทั้งหลาย ข้ามาช้าไป หวังว่าจะให้อภัย”

ผู้เฒ่าที่ถูกประคอง มีรอยยิ้มเต็มหน้า พูดขึ้นมาดูสง่างาม ท่าทางถ่อมตน ต่างจากชาวบ้านที่เรียบๆนั้นอย่างสิ้นเชิง

ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นนักปราชญ์ที่มีประสบการณ์……

ตอนกำลังคิด หลานเยาเยาก็เห็นดวงตาของผู้เฒ่านั้นหลุบลง มองไปที่มือ เมื่อเห็นพวกหลานเยาเยาไม่พูดจา ก็หยุดไปครู่ และพูดต่อว่า:

“อนิจจา ยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง!”

ทุกคน: “……”

แต่คนที่เคยอ่านหนังสือมาสักน้อยก็ต่างรู้ว่า อนิจจามันไม่ใช่ว่าใช้กับการไว้ทุกข์หรือ?

มีชาวบ้านคนนึงเตือนขึ้นมาเบาๆว่า: “ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านประโยคนั้นไม่ใช่ว่าต้องรอให้คนอะไรตายก่อน ถึงจะพูดไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงพูดขึ้นมาก่อน?”

ได้ยินดังนั้น!

ผู้เฒ่าที่ถูกเรียกว่าผู้ใหญ่บ้านก็จ้องชาวบ้านคนนั้นที่เตือนด้วยท่าทางไม่พอใจ “ไปไปไป หลบไปข้างๆ”

อย่างไรก็ไม่ได้รู้ความหมาย ท่องพูดให้คล่องไปก็พอ จะได้ดูเหมือนผู้มีความรู้ดูสง่างาม มีความหมายแฝง

มองแววตาประกายที่ดูเลียนแบบแปะกันมาของพวกเขาแต่ละคน คิ้วของหลานเยาเยาเลิกขึ้นเล็กน้อย นี่มันสายตาแบบที่เจอเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งนี่ นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี

ดังนั้น!

มุมปากยกขึ้น พูดเรียบๆไม่เหน็บแนมว่า:

“ขอถามผู้ใหญ่บ้านว่า ในหมู่บ้านของพวกท่าน มีค่าใช้จ่ายอย่างไร?”

วิ่งเต้นบากบั่นมาเป็นเวลานาน คนของนางก็เหนื่อยม้าก็อ่อนเพลียมานานแล้ว ตอนนี้แค่อยากพักผ่อนดีๆ นางเองก็ขี้เกียจอ้อมค้อม จึงพูดไปตรงๆ

“แค่กแค่กแค่ก……”

พูดตรงเกินไป ทำให้สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านเก้ๆกังๆ และหน้าแดง

จะบอกว่าอย่างไร ว่าเขาผู้ใหญ่บ้านคนนี้ ก็เป็นคนซ่อนความรู้สึกและมีมารยาท เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านพวกเขาหยาบคาย

ไม่ได้!

ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน เขาจะต้องพูดอะไรสักหน่อย

คำพูดของแม่นางนั้นกำลังเหยียดหยามข้า ขณะเดียวกันก็เหยียดหยามหมู่บ้านของพวกเรา ที่รุ่งเรืองมาหลายชั่วอายุคน พวกเราจะเป็นคนหยาบคายเช่นนั้นได้อย่างไร?

เอาอย่างนี้! คนละสองร้อยตำลึง ห้ามขาดแม้แต่น้อย”

เหล่าชาวบ้านตกตะลึง!

พูดซะดีว่าไม่ใช่คนหยาบคาย?

ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านก็พูดมาแล้ว พวกเขาเองก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดได้แล้ว แต่ว่า……คนละสองร้อยตำลึง พวกเขาอย่างน้อยก็มี เจ็ดแปดสิบคน อาจจะไม่โลภมากไป?

ส่วนด้านคนของหลานเยาเยาและฮ่องเต้ ก็ตะลึงเช่นกัน

ยังคิดว่าพวกเขาจะเสนอรอคาที่สูงๆ คิดไม่ถึงว่าจะเพียงสองร้อยตำลึง น้อยไปรึเปล่า!

ฮ่องเต้รู้สึกว่านี่เป็นการเหยียดหยามเขา

เขาเป็นเจ้าของประเทศผู้สง่างาม ผลาญเงินเหมือนใช้ดิน สถานที่ที่เอาไว้ให้ยืมพักอาศัย ยังไงก็ต้องมอบหนึ่งพันตำลึงให้พวกเขารู้สึกทึ่ง

เมื่อเห็นหลานเยาเยาไม่พูดอะไร

ผู้ใหญ่บ้านก็คิดๆ หรือต้องการสูงไปจริงๆ?

“แม่นางคิดว่าอย่างไร?”

“ไม่อย่างไร ให้พวกเจ้าแสนตำลึง อาศัยสามคืน ต้องมีอาหารดีๆเครื่องดื่มดีๆมาต้อนรับ หากดูแลไม่ครบครัน จะไม่จ่ายสักบาท”

ทันทีที่สิ้นเสียง!

ก็ได้ยินแต่เสียง “ปึก” ผู้ใหญ่บ้านเป็นลมไปแล้ว……

แสนตำลึง……