ตอนที่ 487 เลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 487 เลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ

เถาจืออวิ๋นหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของฟางจั๋วเยวี่ย

หล่อนไม่ได้เห็นฟางจั๋วเยวี่ยผู้สูงโปร่งและหล่อเหลาแค่คนเดียว แต่ยังเห็นแผ่นหลังของโจรที่เพิ่งจะเดินจากไปไม่นานด้วย ทันใดนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

หล่อนก้มลงมองกระเป๋าของตัวเอง เห็นว่าซิปถูกเปิดโดยโจรล้วงกระเป๋าจริง ๆ ด้วย

ขณะที่รูดซิปกระเป๋าปิดเหมือนเดิม หล่อนก็หันไปยิ้มให้ฟางจั๋วเยวี่ยพลางพูดว่า “โจรพวกนี้มือเบาจริง ๆ ฉันไม่รู้สึกเลย ขอบคุณมากนะคะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยส่ายหน้า “ด้วยความยินดีครับ” แล้วก็ตั้งท่าจะเดินจากไป

พ่อเถาและแม่เถาต่างก็มองไปทางฟางจั๋วเยวี่ยเป็นตาเดียว

แม่เถารีบกระซิบถามเถาจืออวิ๋น “พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครน่ะ?”

เถาจืออวิ๋นจึงแนะนำ “น้องชายแฟนของม่ายจื่อค่ะ”

พอแม่เถาได้ยินแบบนั้น แสงสว่างในดวงตานางพลันมอดดับลงทันที

ครั้งแรกที่นางเห็นฟางจั๋วเยวี่ย สัญชาตญาณแรกบอกว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกับลูกสาว ดังนั้นจึงคิดจะจับคู่เขากับลูกสาวของตัวเอง

แต่พอรู้ว่าเขาเป็นน้องชายแฟนของหลินม่าย นั่นหมายความว่าเขายังไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน

ไม่ว่าลูกสาวของนางจะเก่งหรือสวยแค่ไหนก็ตาม ด้วยสถานะของหล่อนแล้ว หล่อนก็ไม่คู่ควรกับชายหนุ่มสูงโปร่งหน้าตาดีคนนี้อยู่ดี

ทางด้านพ่อเถาไม่ได้มีปฏิกิริยาซับซ้อนเหมือนภรรยา

เมื่อเห็นว่าในมือของฟางจั๋วเยวี่ยเต็มไปด้วยถุงสินค้า จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ออกมาซื้อของสินะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปอีกทางหนึ่ง เห็นว่าหลินม่ายและคนอื่น ๆ หยุดยืนอยู่กับที่ ดูเหมือนกำลังกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาเขา

“ผมพาคุณปู่ คุณย่า แล้วก็พี่สะใภ้มาช้อปปิ้งน่ะครับ”

พ่อเถาหัวเราะร่าทันที “เหมือนฉันเลย อยู่ดี ๆ ก็โดนลากออกมาเป็นกุลีจำเป็น!”

ถึงโต้วโต้วจะยังเด็ก แต่สายตาของหล่อนก็ดีไม่แพ้ใคร จึงเป็นคนแรกที่เห็นฟางจั๋วเยวี่ย

หล่อนยืดนิ้วชี้ไปทางฟางจั๋วเยวี่ยพลางตะโกนด้วยความตื่นเต้น “คุณปู่ คุณย่า แม่จ๋า คุณอาเล็กอยู่ตรงนั้นค่ะ!”

พอมองตามทิศที่นิ้วของหล่อนชี้ไป ทุกคนเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้ยืนอยู่ตามลำพัง เห็นว่าเขากำลังพูดคุยอยู่กับเถาจืออวิ๋น พ่อเถา และแม่เถา

เด็กน้อยสองคนหันมาสบตากันพอดี จากนั้นโต้วโต้วกับฉีฉีก็ร้องเรียกชื่อกันและกันด้วยความดีใจ

คุณย่าฟางบ่นพึมพำ “ทำไมจั๋วเยวี่ยถึงเข้าไปทักทายพวกเขาตามลำพังโดยที่ไม่เรียกพวกเรานะ?”

สองครอบครัวเดินมาสมทบกัน หลังจากทักทายกันแล้ว คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ฟางจั๋วเยวี่ยแค่มาช่วยเถาจืออวิ๋นขับไล่โจรล้วงกระเป๋าไปนี่เอง

พ่อเถาและแม่เถากำลังจะออกปากเชิญคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ไปทานอาหารที่ร้านเล็ก ๆ ริมทางด้วยกันเพื่อเป็นการขอบคุณน้ำใจของฟางจั๋วเยวี่ย

แต่หลินม่ายปฏิเสธ “คุณปู่คุณย่าเดินซื้อของมาเกือบครึ่งวันแล้วค่ะ แข้งขาแทบไม่มีแรงแล้ว พวกเราคงต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน”

คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาจึงพูดเสริม “แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”

พ่อเถาและแม่เถาจึงยอมแพ้

เถาจืออวิ๋นหันไปพูดกับหลินม่าย “ก่อนหน้านี้ฉันว่าจะเชิญศาสตราจารย์ของเธอกับน้องชายเขาไปทานอาหารมื้อเย็นที่บ้านอยู่พอดี แต่ยังไม่มีโอกาสได้เชิญเลยจนถึงวันนี้ วันนี้เธอไม่ว่างก็ไม่เป็นใคร วันพรุ่งนี้ถ้าว่างเธอช่วยพาแฟนตัวเองกับน้องชายเขามากินข้าวด้วยกันสิ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิ แต่ฉันไม่รับปากนะว่าศาสตราจารย์เขาจะไปตามคำเชิญได้ไหม พี่เองก็รู้ลักษณะงานของเขานี่”

เถาจืออวิ๋นพูดยิ้ม ๆ “แฟนเธอมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่น้องชายแฟนของเธอต้องมาให้ได้ เพราะเขาเป็นตัวตั้งตัวตีของมื้ออาหารยังไงล่ะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยทำหน้างงงวย “ทำไมผมถึงกลายเป็นตัวตั้งตัวตีของมื้ออาหารไปซะได้ แถมยังต้องไปให้ได้ด้วย?”

ความจริงแล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่หม่าเทากับแม่ของเขามาดักรออยู่หน้าประตูโรงงาน แล้วด่าทอและแม้กระทั่งลงมือทำร้ายร่างกายเถาจืออวิ๋น โชคดีที่ฟางจั๋วเยวี่ยมาช่วยไว้

เพราะฟางจั๋วเยวี่ยคอยปกป้องเถาจืออวิ๋นถึงสองครั้ง ทำให้เถาจืออวิ๋นอยากเลี้ยงอาหารเขาเป็นการตอบแทน ส่วนหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเป็นแค่ตัวประกอบ

พ่อเถาและแม่เถาต่างก็อยู่ที่นี่ด้วย ตอนแรกหลินม่ายไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้นเพราะกลัวว่าพวกเขาอาจไม่รู้มาก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเถาจืออวิ๋นแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ขยายความเพิ่ม

เธอมองค้อนไปทางฟางจั๋วเยวี่ย “ไม่ดีใจหรือไงที่มีคนชวนไปทานอาหาร ยังมาถามคำถามอยู่ได้!”

ฟางจั๋วเยวี่ยเกาศีรษะพลางพูดกับหลินม่ายด้วยความลำบากใจ “ถ้าพี่ชายไปไม่ได้ เราสองคนก็ยังต้องไปตามนัดอยู่ดี อาจดูไม่เหมาะเท่าไหร่มั้งครับ”

แม่เถาที่ยืนอยู่ด้านข้างแนะนำ “ถ้าอย่างนั้นก็พาเพื่อนร่วมงานมาด้วยสักคนสองคนสิ”

เถาจืออวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นฉันลองชวนฉายอวิ๋นกับหมิงเฉิงมาด้วยดีกว่า”

คนที่อยู่กับหลินม่ายตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจมีกันอยู่แค่ไม่กี่คน พวกเขาทั้งหมดต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

นอกจากนี้ เถาจืออวิ๋นยังรู้ด้วยว่ามิตรภาพระหว่างหลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงนั้นสนิทสนมแน่นแฟ้นกันมากกว่าเหรินเป่าจูและคนอื่น ๆ จึงเป็นการเหมาะสมที่สุดที่จะเชิญพวกเขามาด้วยกัน

หลินม่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ถึงโจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่ชนบทเพื่อฉลองวันไหว้พระจันทร์ แต่พวกเขาก็ต้องกลับมาภายในบ่ายวันพรุ่งนี้ เพราะวันมะรืนพวกเขาต้องกลับไปทำงานตามปกติ

ทุกคนล้วนเป็นคนสำคัญในบริษัทของเธอ

หลังจากแยกทางกันกับครอบครัวของเถาจืออวิ๋นแล้ว หลินม่ายจึงอธิบายให้ฟางจั๋วเยวี่ยรู้ถึงเหตุผลที่เถาจืออวิ๋นอยากเชิญเขาไปรับประทานอาหารมื้อเย็น

ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท”

กลุ่มคนกลับไปถึงวิลล่าแล้ว แต่ฟางจั๋วหรานก็ยังไม่กลับ

ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ ถึงจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ แต่นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงเต็มที งานควรจะเสร็จตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ

คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วต่างก็เหนื่อยล้าเอามาก ๆ ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าไปนอนในห้องของตัวเองทันทีที่กลับมาถึง

ส่วนฟางจั๋วเยวี่ยที่รับหน้าที่เป็นกุลีจำเป็นมาตลอดทั้งวันกลับอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

พอสวมรองเท้าผ้าใบที่หลินม่ายเพิ่งซื้อให้เรียบร้อยแล้ว เขาก็คว้าลูกบาสเก็ตบอลแสนรัก แล้วออกไปเล่นบาสเกตบอลในสนามของโรงเรียนมัธยมต้นที่อยู่ใกล้เคียง

หลังจากนั้นหลินม่ายก็หยิบตะกร้า แล้วปั่นจักรยานไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหารมื้อเย็น

วันไหว้พระจันทร์แบบนี้ ลูกค้าในตลาดสดฝูตัวตัวมีจำนวนล้นหลามมากว่าเมื่อวานเสียอีก

โดยเฉพาะบริเวณที่มีไวน์และแฮมกระป๋องนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงลูกกวาดและบิสกิตวางขาย หน้าแผงจะเนืองแน่นเป็นพิเศษ

ปัจจุบันนี้ คนทั่วไปไม่สามารถหาซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ง่าย ๆ

ที่สำคัญคือพวกมันมีราคาแพงกว่าร้านเฟรนด์ชิพสโตร์ที่จำหน่ายสินค้าของชาวต่างชาติแค่เล็กน้อยเท่านั้น มีเหตุผลอะไรที่คนซึ่งพอมีฐานะจะไม่รีบซื้อ!

ถ้าครอบครัวของพวกเขาได้รับรองแขกด้วยวัตถุดิบนำเข้าพวกนี้ จะเป็นหน้าเป็นตาขนาดไหน

ไม่ไกลจากฝูงชนเหล่านั้น หวังเหวินฟางจ้องเขม็งไปยังไวน์และแฮมกระป๋องนำเข้าบนแผงขายสินค้าอย่างพิจารณาเป็นเวลานาน

นังหลินม่ายไปรับซื้อของนำเข้าพวกนี้มาจากที่ไหนกัน?

ไม่ว่าเธอจะได้พวกมันมาจากการเก็งกำไร หรือได้มาจากการลักลอบนำเข้าก็ตาม ไม่ว่ายังไงแหล่งที่มาก็ไม่มีทางโปร่งใส

หล่อนขบกรามแน่น

สมาชิกครอบครัวของหล่อนทุกคน เว้นหวังหรงผู้เป็นหลานสาว ต่างก็ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในศูนย์กักกันเพราะหลินม่ายเป็นต้นเหตุ หล่อนยังไม่มีโอกาสได้ชำระแค้นเลย

ตอนนี้หล่อนจับสังเกตได้โดยบังเอิญว่าหลินม่ายมีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดกฎหมาย จึงตั้งใจว่าจะฉวยโอกาสนี้ส่งนังสารเลวไปนอนคุกสักสองสามปีเป็นอย่างต่ำ

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หล่อนก็ไม่ได้ซื้อวัตถุดิบด้วยซ้ำ หันหลังกลับแล้วก้าวฉับ ๆ จากไป

หลินม่ายต้องเบียดเสียดผู้คนจำนวนมากเพื่อเข้าไปซื้อวัตถุดิบและผลไม้ที่ตัวเองต้องการ รวมถึงอาหารทะเลทุกอย่างที่เมื่อวานนี้ไม่ได้ซื้อกลับไป

เธอซื้อกุ้งมังกรประเหลืองตัวโตสามตัวในคราวเดียว

ครั้งล่าสุดหลินม่ายเคยซื้อมันไปปรุงอาหารมื้อกลางวันให้คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ทั้งเขาและโต้วโต้วต่างก็ถูกใจเป็นพิเศษ

จากนั้นหลินม่ายขอให้จ้าวเลี่ยงเตรียมกล่องอาหารไว้ให้เธอสิบสองกล่อง ลูกกวาดกับบิสกิตอย่างละนิดหน่อย พร้อมด้วยไวน์แดงอีกสองสามขวด จากนั้นก็กลับไปที่วิลล่า

ถึงอย่างนั้นฟางจั๋วหรานยังไม่กลับ

จนเวลาผ่านไปถึงสี่โมงเย็น ฟางจั๋วหรานถึงได้กลับมาที่วิลล่าด้วยร่างกายที่อ่อนล้า

เมื่อหลินม่ายถามถึงเหตุผล จึงได้คำตอบว่าฝ่ามือของลูกชายเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ขาดออกจากท่อนแขนเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางท้องถนนนั้นปลูกถ่ายยากเกินไป เนื้อเยื่อและเส้นเลือดฉีกขาดจนเชื่อมกลับคืนได้ยาก ต้องใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงในการผ่าตัดปลูกถ่าย เพื่อให้ฝ่ามือที่ขาดเชื่อมต่อกันดังเดิม

ในขณะที่ฟางจั๋วหรานนึกดีใจว่าตัวเองจะได้กลับบ้านแล้ว ผู้ป่วยอีกรายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนม้ามแตกก็ถูกส่งตัวเข้ามา

ถ้าม้ามแตก จะต้องทำการผ่าตัดโดยทันที ไม่อย่างนั้นผู้บาดเจ็บจะตกอยู่ในภาวะอันตรายถึงแก่ชีวิต

เมื่อเห็นชีวิตคนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ฟางจั๋วหรานจึงต้องช่วยยื้อชีวิตเขา

หลังจากการผ่าตัดอย่างต่อเนื่องสองเคสเสร็จสิ้น เขาจึงกลับมาช้ากว่าที่คาดคิดไว้

หลินม่ายเห็นใจเขามากเมื่อได้ยินแบบนั้น ถามด้วยความห่วงใย “คุณยังไม่ได้กินข้าวมื้อกลางวันใช่ไหม?”

“ผมไม่มีเวลาเลย อย่างมากก็แค่ดื่มน้ำหวานสองขวดประทังไปก่อน”

หลินม่ายรู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อรู้แบบนั้น “คุณเอนหลังนอนที่โซฟาแป๊บหนึ่ง ฉันจะไปทำบะหมี่ทะเลมาให้”

เธอวิ่งเข้าไปในห้องครัว จัดการปรุงบะหมี่ทะเลชามหนึ่งจนเสร็จในเวลาไม่นาน

ฟางจั๋วหรานเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร จากนั้นก็ลงมือกินบะหมี่ตรงหน้าจนหมดชามอย่างรวดเร็วราวพายุ

พอกินบะหมี่หมดเกลี้ยง เขาก็เงยหน้ามองหลินม่ายอย่างตั้งใจ

หลินม่ายเข้าใจว่าเขายังไม่อิ่ม จึงพูดว่า “อีกเดี๋ยวฉันก็จะทำอาหารมื้อเย็นแล้ว อดทนรอหน่อยนะคะ จะได้กินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน คืนนี้ฉันตั้งใจว่าจะทำกับข้าวอร่อย ๆ หลายอย่างเลย ถ้าคุณกินอิ่มเกินไป ระวังจะอดกินของอร่อยพวกนั้นทีหลัง…”

ยังไม่ทันพูดจบ ฟางจั๋วหรานก็รั้งร่างเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนโดยให้เธอนั่งตัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงกระซิบ “ผมทนไม่ไหวหรอก…”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็จูบริมฝีปากเธออย่างรวดเร็ว

โทษเขาไม่ได้ ใครบอกให้เธอทำตัวน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ กันล่ะ

ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน เขาอยากกอดและจูบคลอเคลียเธอไม่ยอมห่าง

แน่นอนว่าคงดีมากถ้าทุกอย่างพัฒนาไปมากกว่านี้

แต่… ในความเป็นจริงเขาใจร้อนแบบนั้นไม่ได้…

เฮ้อ! คงต้องอดทนเข้าไว้สินะ… ทรมานเหลือเกิน…

มื้อเย็นวันนี้ หลินม่ายเข้าครัวทำเมนูพิเศษหลากหลาย คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรวมถึงคนอื่น ๆ ที่เหนื่อยล้าจากการช้อปปิ้งต่างเจริญอาหารกันถ้วนหน้า

ตอนแรกหลินม่ายตั้งใจว่าจะอยู่ที่วิลล่าต่อไปสักพัก เล่นเกมกับโต้วโต้ว สนทนากับคุณปู่ฟางและภรรยาของเขาต่ออีกสักหน่อย

ถึงแม้ชาติที่แล้วเธอจะเคยมีทั้งสามีและครอบครัว แต่นั่นก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ลวง

บ้านไร้ซึ่งความอบอุ่น สามีหรือก็เลวทรามต่ำช้า

เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด แม้ครอบครัวก็ให้ความอบอุ่นกับเธอไม่ได้

ดังนั้นทุกครั้งที่เธอมาวิลล่า ใจจริงเธออยากอยู่ต่อให้นานกว่านี้ เพื่อที่จะรับความรักความอบอุ่นจากคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ เป็นพลังใจ

แต่วันนี้เธออยู่นานมากไม่ได้ หลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จก็ขอตัวกลับบ้านทันที

เหตุผลไม่ซับซ้อนเลย เพราะสภาพอากาศแปรปรวน ท้องฟ้ามีเมฆหนาทึบ ดูเหมือนคืนนี้จะมีฝนตกหนัก

เสื้อผ้าของเธอกับเถาจืออวิ๋นยังแขวนตากไว้บนเสาไม้ไผ่ด้านนอกหน้าต่าง ถ้าเธอไม่รีบกลับไปเก็บเสื้อผ้า เกิดฝนตกขึ้นมาคงเปียกโชกจนต้องซักใหม่

ฟางจั๋วหรานเมินเฉยต่อคำคัดค้านของหลินม่าย ยืนกรานว่าจะไปส่งเธอกลับบ้าน

หลินม่ายนั่งซ้อนบนเบาะหลังของจักรยาน โอบแขนข้างหนึ่งไว้รอบเอวฟางจั๋วหราน เอนศีรษะแนบไปกับแผ่นหลังของเขา

“คุณไม่เห็นต้องรบเร้ามาส่งฉันเลย วันนี้คุณต้องผ่าตัดใหญ่ถึงสองเคส เวลาพักผ่อนคุณไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ยังยืนกรานจะมาส่งฉันถึงที่อีก ฉันค่อย ๆ ปั่นกลับบ้านในระยะทางสั้น ๆ ยังไงก็ไม่เกิดอันตรายแน่”

ฟางจั๋วหรานลองพูดหยั่งเชิง “ถ้าคุณกลัวว่าผมจะเหนื่อยจากงานเกินไป งั้นก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยสิ ผมจะได้ไม่ต้องมาส่งคุณกลับบ้าน”

หลินม่ายรีบปฏิเสธทันที

ถึงเธอจะไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ชายหญิงไม่ควรย้ายมาอยู่ร่วมชายคนเดียวกันก่อนจะแต่งงาน หลินม่ายกลัวว่าคนอื่นอาจมองไม่ดี

พอผ่านร้านเปาห่าวซือ หลินม่ายก็ต้องประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าหน้าประตูร้านมีลูกค้าจำนวนมากมาต่อแถวซื้ออะไรบางอย่างยาวเหยียด

ถึงช่วงวันหยุดร้านค้าจะขายดีเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ควรได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่ถึงขนาดนี้

เธอกระโดดลงจากจักรยาน เดินเข้าไปหาลูกค้าคนหนึ่งที่กำลังต่อแถวแล้วถามว่า “พวกคุณกำลังต่อแถวรอซื้ออาหารกันอยู่เหรอคะ?”

ลูกค้าเหล่านั้นส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง “เปล่าค่ะ เมื่อเช้าเราอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ เห็นว่าขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ของร้านนี้รสชาติอร่อย แถมยังราคาไม่แพง และไม่ต้องใช้คูปองในการซื้อด้วย พวกเราก็เลยมาที่นี่เพื่อซื้อกลับไปลองสักกล่อง นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีคนมาต่อแถวซื้อขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้กันมากมายขนาดนี้

ทันใดนั้นหลินม่ายก็เข้าใจทันที มิน่าล่ะ บรรดาลูกค้าที่ซื้อเสื้อผ้าจากร้าน Unique ในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวถึงได้ดูมีความสุขมาก เมื่อได้รับกล่องขนมไหว้พระจันทร์จากร้านเปาห่าวซือเป็นของขวัญ ที่แท้ก็มีคนช่วยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์นี่เอง

แทบไม่ต้องเดาเลย เจ้าของบทความต้องเป็นหนิวลี่ลี่แน่

ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์แค่หนึ่งวัน เธอพลาดข่าวสารไปมากมายขนาดนี้ ดูเหมือนเธอต้องซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านทุกวันเสียแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

จะเอาอีกแล้วเหรอป้า ครอบครัวป้าโดนโทษไปขนาดนั้นยังไม่เข็ดเหรอคะ

ใจเย็นพี่หมอ รองานหมั้นกับม่ายจื่อบรรลุนิติภาวะก่อน

ไหหม่า(海馬)