ตอนที่ 488 ฟางเว่ยกั๋วฟ้องหย่า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 488 ฟางเว่ยกั๋วฟ้องหย่า

ไม่นานหลังจากหลินม่ายกลับไปถึงบ้าน สภาพอากาศก็เปลี่ยนไป ตอนแรกมีแค่ลมแรง แต่ต่อมากลับมีฝนตกลงมาห่าใหญ่

มันเป็นฝนแรกของฤดูใบไม้ร่วง

ฝนแรกในช่วงปลายฤดูร้อนเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงพัดพาความร้อนที่ยาวนานกว่าสี่เดือนออกไป ตอนกลางคืนอากาศเย็นลงอย่างชุ่มฉ่ำ เหมาะแก่การนอนหลับเป็นอย่างมาก

คืนนั้นหลินม่ายนอนฟังเสียงฝนตกจนกระทั่งหลับสนิท

เช้าวันต่อมา สายฝนยังคงตกพรำ แต่แทนที่จะเป็นฝนห่าใหญ่เหมือนเมื่อคืน ตอนนี้กลับตกแค่ปรอย ๆ เท่านั้น

หลินม่ายคว้าร่มออกไปซื้อหนังสือพิมพ์รายวัน จากนั้นก็ติดต่อขอรับหนังสือพิมพ์จากคนขายเป็นเวลาหนึ่งปี

แต่เขาไม่จำเป็นต้องมาส่งถึงหน้าประตูบ้าน เพราะเธอสามารถแวะมารับเองทุกวันได้

ถ้าวันไหนเธอไม่ว่างมารับ ก็แค่เก็บหนังสือพิมพ์ฉบับวันนั้นไว้ให้เธอเท่านั้นเอง

คนขายหนังสือพิมพ์ตอบตกลงด้วยความยินดี

ใครบ้างไม่ชอบลูกค้าที่เรียบง่ายแบบนี้!

หลังจากซื้อหนังสือพิมพ์แล้ว หลินม่ายก็เดินไปที่แผงลอยขายอาหารที่อยู่ไม่ไกลเพื่อซื้อนั่วหมี่จีอุ่น ๆ สองห่อ จากนั้นก็กลับบ้าน

ขณะกินอาหารมื้อเช้าก็พลิกหนังสือพิมพ์อ่านไปด้วย

พาดหัวข่าวในหมวดสวัสดิภาพและความเป็นอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์วันนี้ระบุว่า โรงงานตัดเสื้อUniqueสละเงินครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่กวนหย่งหัวจ่ายให้กับUnique เพื่อซื้อข้าวสารอาหารแห้งและของใช้จำเป็นต่าง ๆ ไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

ท้ายบทความยังเขียนไว้ว่า เราหวังว่าผู้ประกอบการรายอื่น ๆ จะมีส่วนร่วมในการดูแลกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมมากขึ้น

หลินม่ายเม้มริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ

การแสดงความมีน้ำใจต่อสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ย่อมทำให้ร้านUniqueได้รับกระแสความนิยมจากผู้คนมากขึ้น ยอดขายจะยิ่งดีอย่างแน่นอน

หลินม่ายอ่านพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์วันนี้แล้ว ทางด้านกวนหย่งหัวก็เห็นเหมือนกัน

หลังอ่านจบใบหน้าของเขาก็ดำคล้ำเหมือนตับหมูเพราะความโกรธ

ตอนแรกเขาหวังจะใช้เรื่องที่หลินม่ายเรียกร้องเงินค่าเสียหายจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนจากเขาเพื่อกระจายข่าวลืออย่างลับ ๆ

ให้คนอื่น ๆ รู้กันว่าหลินม่ายโลภในเงินแค่ไหน ถึงได้ยื่นฟ้องเพื่อเรียกเงินค่าเสียหายจากเขาอย่างโจ๋งครึ่ม

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม สังคมไม่เคยขาดแคลนคนไร้เหตุผล นับประสาอะไรกับคนตาถั่ว

คนตาถั่วที่ว่านี้มักจะมีอคติกับคนรวย ไม่ว่าคนรวยคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเขาจะทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ก็เอาฐานะของพวกเขามาตั้งแง่ตลอด

เช่นเดียวกันกับคนไร้เหตุผล พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองกับอีกฝ่ายจะมีความบาดหมางส่วนตัวต่อกันหรือเปล่า ขอแค่ได้ด่าไว้ก่อน

ถึงคนทั้งสองประเภทนี้จะเป็นแค่คนส่วนน้อยของคนส่วนใหญ่ก็ตาม

แต่คนส่วนน้อยที่ว่ากลับมีความสามารถมากพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งเสื่อมเสียเสียชื่อเสียงได้

ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้น หลินม่ายกลับแบ่งเงินค่าเสียหายห้าพันหยวนจากหนึ่งหมื่นหยวนที่ได้รับจากเขา ไปซื้อข้าวของเครื่องใช้และบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

เป็นแบบนี้แล้วเขาจะปล่อยข่าวลือใส่ร้ายเธอได้อย่างไร!

ในขณะที่กวนหย่งหัวกำลังรู้สึกหดหู่ใจอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าหลินม่ายบริจาคเงินค่าเสียหายไปแค่ครึ่งหนึ่งเองนี่นา แสดงว่าเขายังสามารถทำลายชื่อเสียงของเธอได้

พอนึกมาถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

ฝนหยุดตกก่อนเที่ยง พอหลินม่ายไปถึงวิลล่า ก็เห็นว่าที่นั่นมีทั้งฟางเว่ยตั่ง ฟางเว่ยหมิน พร้อมด้วยลูก ๆ และภรรยาของพวกเขา ยกเว้นก็แต่ฟางเว่ยกั๋วกับหวังเหวินฟาง

หลินม่ายครุ่นคิดกับตัวเอง ไม่บ่อยนักที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะไม่ขับไล่พวกเขาไปอย่างไม่ไยดี

ครอบครัวของฟางเว่ยหมินและฟางเว่ยตั่งไม่ถูกไล่ตะเพิดก็จริง แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวขาเข้าไปในบ้าน คุณปู่ฟางก็ยื่นคำขาดเตือนพวกเขาทันที

ตราบใดที่ใครมาร้องขอให้เขาใช้เส้นสายช่วยกรุยทางอาชีพของตัวเอง ให้พวกเขาหันหลังกลับออกไปจากที่นี่ซะ

แต่ถ้าไม่ได้มีจุดประสงค์ทำนองนั้น อยากจะอยู่ต่อก็อยู่

สองพี่น้องสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพวกเขาจะไม่ร้องขอให้คุณปู่ฟางช่วยกรุยทางในสายอาชีพของตัวเองแน่นอน ทั้งสองครอบครัวจึงสามารถเข้ามาในบ้านได้

ความจริงแล้วสองพี่น้องมีแผนการส่วนตัว

พวกเขาตั้งใจว่าจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพ่อแม่ไปทีละขั้น ไม่แน่ว่าชายชราอาจยอมใจอ่อนให้พวกเขา และยอมช่วยใช้เส้นสายฝากฝังตำแหน่งให้ในที่สุด

ครอบครัวของฟางเว่ยตั่งมีความประทับใจที่ดีต่อหลินม่ายตั้งแต่เรื่องของฟางถิง ทันทีที่พวกเขาเห็นเธอเดินเข้ามา พวกเขาต่างก็เป็นฝ่ายเริ่มทักทายเธอก่อน

พอเห็นแบบนั้น ครอบครัวของฟางเว่ยหมินก็หันไปทักทายหลินม่ายด้วยเช่นเดียวกัน

หลินม่ายตอบกลับอย่างสุภาพ

ฟางถิงเดินไปจูงแขนหลินม่ายมานั่งด้านข้าง “ฉันเห็นว่าเดี๋ยวนี้ร้านเสื้อผ้าUniqueออกมาเปิดกิจการตามตึกแถวริมถนนแล้ว เธอเป็นคนเปิดสาขาเอง หรือว่าคนอื่นมาขอซื้อแฟรนไชส์จากเธอไปดำเนินกิจการ?”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบกลับ “ฉันเป็นคนขยายสาขาร้านเสื้อผ้าพวกนั้นเอง”

ฟางถิงถามอย่างระมัดระวัง “ฉันขอซื้อแฟรนไชส์ของเธอมาเปิดบ้างได้ไหม?”

ตัวหล่อนทำงานเป็นพนักงานขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า ย่อมรู้ดีว่าเสื้อผ้าแบรนด์Uniqueเป็นที่นิยมของลูกค้ามากแค่ไหน เพราะฉะนั้นหล่อนเลยอยากซื้อแฟรนไชส์ร้านUniqueไปเปิดเป็นกิจการของตัวเองบ้าง

หลินม่ายถามหยั่งเชิง “เธอยอมเสียหน้าเพื่อเบนสายงานไปประกอบอาชีพอิสระหรือเปล่าล่ะ?”

ฟางถิงกลอกตาพลางพูดว่า “เสียหน้าแล้วยังไง? เงินต่างหากที่สำคัญ ฉันไม่อยากเสแสร้งทำตัวสูงส่งไปตลอดชีวิตหรอก!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด หลินม่ายก็มองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม

ทุกวันนี้หลายคนต่างประสบกับความยากลำบากในการดำรงชีวิต ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับไม่ยอมออกไปประกอบอาชีพอิสระ เหตุผลหลักก็คือกลัวตัวเองเสียหน้า

ต่างจากฟางถิง ลูกสาวของนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่กล้าประกอบอาชีพอิสระ เป็นอะไรที่น่ายกย่องจริง ๆ

หลินม่ายตัดสินใจว่าจะลองให้โอกาสเธอ “ปกติร้านเสื้อผ้าของฉันไม่ได้ทำธุรกิจแบบแฟรนไชส์หรอก ​​แต่ถ้าเธอมีความตั้งใจจริง ฉันจะให้เธอเป็นข้อยกเว้น”

ฟางถิงคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ จับมือหลินม่ายไว้แล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ”

หลินม่ายบอกเงื่อนไขอย่างจริงจัง “อย่าเพิ่งขอบคุณฉันเร็วเกินไป ถ้าคุณอยากซื้อแฟรนไชส์ร้านเสื้อผ้าก็ต้องทำตามข้อกำหนด ก่อนอื่นเลย การตกแต่งร้านควรไปในทางเดียวกันกับร้านเสื้อผ้าในเครือของฉัน เครื่องแบบพนักงานเองก็ต้องเหมือนกันกับสาขาอื่น ๆ และต้องให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานใหญ่ในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ ด้วย ถ้าภายในสามเดือนผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้า ร้านของเธอจะถูกสั่งปิดกิจการทันที”

ฟางถิงโบกมือ “นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย”

หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

ความจริงแล้วผู้ประกอบการร้านแฟรนไชส์ต้องจ่ายค่าแฟรนไชส์ให้กับบริษัทแม่ด้วยซ้ำ

แต่สำหรับยุคสมัยนี้ คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธุรกิจแบบแฟรนไชส์คืออะไร

ถ้าหลินม่ายเรียกเก็บค่าแฟรนไชส์จากฟางถิง ทุกคนก็จะมองว่าเธอเป็นคนหน้าเงินอีก แม้กระทั่งคนที่อยากจะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังต้องมาจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม

หลินม่ายจึงคิดเสียว่าฟางถิงเป็นนายหน้าคนหนึ่งที่รับซื้อสินค้าจากเธอไปขายต่อ ดังนั้นปล่อยให้หล่อนแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง

ถึงอย่างไรธุรกิจประเภทค้าขายเสื้อผ้าก็เป็นอะไรที่ซื้อง่ายขายคล่องในยุคนี้อยู่แล้ว ขอแค่ฟางถิงทุ่มเททำงานอย่างหนัก กิจการของหล่อนก็ไปได้สวย

เที่ยงวัน คนกลุ่มใหญ่รับประทานอาหารฉลองช่วงเทศกาลกันอย่างสงบสุข

ในขณะที่ทางฝั่งของฟางเว่ยกั๋วและภรรยาของเขาอยู่ในสภาวะอึมครึม บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ตึงเครียดมาก

ตอนนี้ฟางเว่ยกั๋วเพิ่งจะฟ้องหย่ากับหวังเหวินฟาง

เหตุผลเพราะว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของหล่อนก่ออาชญากรรมร้ายแรง คงไม่พ้นถูกตัดสินจำคุกแปดถึงสิบปี

เพื่อไม่ให้ความเสื่อมเสียเหล่านั้นส่งกระทบไปถึงหน้าที่การงานในอนาคตของลูกชายคนเล็ก จึงตัดสินใจว่าจะหย่าขาดจากกัน ถือเป็นหนทางปกป้องเขาที่ดีที่สุด

ตอนนั้นหวังเหวินฟางโกรธมาก

ความผิดของพวกเขายังไม่ถูกศาลตัดสินด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้รีบร้อนนัก?

พี่ชายและพี่สะใภ้ของหล่อนรวมหัวกันก่ออาชญากรรมร้ายแรง มีแนวโน้มสูงมากว่าอาจถูกตัดสินให้รับโทษหนัก

แต่คนอย่างฟางจั๋วเยวี่ยไม่มีทางเข้ารับราชการแน่ เขาพึงพอใจที่จะทำงานเป็นช่างเทคนิคประจำโรงงาน อย่างดีที่สุดในอนาคตก็ขยับไปเป็นวิศวกรเท่านั้น

โทษจำคุกของผู้เป็นลุงแทบไม่ส่งผลกระทบอะไรต่ออาชีพของเขาด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ต่อให้หล่อนกับสามีหย่าขาดจากกันจริง ๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพ่อหรงยังเป็นลุงของเขาได้

เรื่องนี้ถึงจะส่งผลกระทบกับฟางจั๋วเยวี่ยโดยตรงก็ต่อเมื่อเขาไปสมัครสอบราชการนั่นแหละ

ฟางเว่ยกั๋วแค่หาข้ออ้างเพื่อที่จะหย่ากับหล่อนเท่านั้นเอง

เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หล่อนนึกย้อนไปถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งจะแต่งงานกับฟางเว่ยกั๋วใหม่ ๆ

ช่วงสงคราม หล่อนกับแม่ของฟางจั๋วหรานต่างก็เป็นเพื่อนซี้ซึ่งมีมิตรภาพดี ๆ ต่อกัน

ในเวลานั้นพวกเธอทั้งสองต่างก็มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับฟางเว่ยกั๋วที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา

หวังเหวินฟางตกหลุมรักฟางเว่ยกั๋วตั้งแต่แรกพบหน้า

แต่ฟางเว่ยกั๋วกลับให้ความสนใจกับแม่ของฟางจั๋วหรานมากกว่า จากนั้นทั้งสองจึงได้แต่งงานกัน

หวังเหวินฟางทั้งผิดหวังทั้งหดหู่ คิดกับตัวเองว่าชาตินี้หล่อนคงไม่มีวันได้ลงเอยกับฟางเว่ยกั๋วแน่แล้ว

แต่แล้วจุดพลิกผันก็เกิดขึ้นในตอนที่ฟางจั๋วหรานอายุได้สามขวบ

ฟางเว่ยกั๋วบังเอิญจับได้ว่าแม่ของฟางจั๋วหรานแอบส่งจดหมายติดต่อกับเหมยเขียวม้าไม้ไผ่(1)ของหล่อน

ฟางเว่ยกั๋วโกรธจัดจนทะเลาะกับภรรยาของเขาเพราะเรื่องนี้

ถึงอย่างนั้นแม่ของฟางจั๋วหรานกลับไม่เคยยอมรับเลยสักครั้งว่าตัวเองแอบติดต่อกับเพื่อนคนดังกล่าว

คุณเฉียนจิน แม่ของฟางจั๋วหรานมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น หล่อนติดตามกองทัพขึ้นไปบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ลัดเลาะข้ามทุ่งหญ้า จนกระทั่งประเทศได้รับอิสรภาพ ร่างกายของหล่อนก็ยิ่งทรุดโทรมลง

ฟางเว่ยกั๋วลงมือทำร้ายร่างกายและชวนทะเลาะไม่เว้นวัน ไม่นานหล่อนก็ล้มป่วยด้วยความตรอมใจ

ตั้งแต่นั้นมา หล่อนได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงราวคนป่วย

ในเวลานั้นหวังเหวินฟางก็ก้าวเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ ฉวยโอกาสใช้ความอ่อนหวานและเข้าอกเข้าใจในฐานะผู้หญิงจับหัวใจของฟางเว่ยกั๋วไว้ได้อย่างอยู่หมัด

พอมีหวังเหวินฟางเข้ามาในชีวิต ทัศนคติของฟางเว่ยกั๋วที่มีต่อภรรยาก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

เขาตั้งใจว่าจะบีบบังคับให้หล่อนหย่าขาดจากเขาซะ เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันกับหวังเหวินฟางอย่างเปิดเผย

แต่ฟางจั๋วหรานอยู่ในช่วงกำลังโต การหย่าร้างจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แถมพ่อแม่ของเขายังค้านหัวชนฝาไม่อนุญาตให้ลูกชายหย่าเด็ดขาด

ไม่อย่างนั้น ฟางเว่ยกั๋วคงใช้ข้ออ้างที่หล่อนแอบติดต่อกับเหมยเขียวม้าไม้ไผ่คนนั้นมาเป็นเหตุผลในการฟ้องหย่าไปนานแล้ว

เหตุการณ์ในช่วงเริ่มต้นช่างคล้ายคลึงกับฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าในเวลานี้เหลือเกิน

พอผู้ชายหมดรักคุณ พวกเขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคุณออกไปจากชีวิต

หวังเหวินฟางตกตะลึงขึ้นมาทันใด หรือว่าคนแซ่ฟางจะมีผู้หญิงคนอื่นแอบซ่อนอยู่?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หล่อนก็แค่นเสียงตะคอกอย่างเย็นชา “หยุดหาข้ออ้างมาหย่ากับฉันโดยเอาอนาคตของจั๋วเยวี่ยมาอ้างซะที คิดว่าฉันโง่จนไม่รู้ว่าคุณไปมีผู้หญิงนอกบ้านเหรอ? ฉันขอบอกไว้ก่อน อย่าพยายามกดดันฉันซะให้ยาก ไม่งั้นฉันจะฟ้องเรื่องที่คุณมีชู้ให้เจ้านายของคุณรับรู้พฤติกรรมซะ!”

สีหน้าของฟางเว่ยกั๋วเปลี่ยนไปจากเดิม “พูดบ้าอะไรของคุณ อย่ามาพ่นเลือดใส่กันนะ!” หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็เหวี่ยงบานประตูเปิดออกแล้วเดินกระแทกเท้าออกไป

หวังเหวินฟางมองตามแผ่นหลังของเขาขณะที่เขาเดินจากไปอย่างเร่งรีบ สังหรณ์ใจว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้อง

……………………………………………………………………………………………………………

เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง ชายหญิงที่เป็นเพื่อนเล่นสนิทสนมกันมาแต่เด็ก หรือโตมาด้วยกัน

สารจากผู้แปล

กรรมตามสนองแล้วยัยป้า ไปแย่งสามีเขา สุดท้ายเขาก็ขอหย่ากับตัวเอง

ไหหม่า(海馬)