บทที่ 425 ความวุ่นวายในสนามบิน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เห็นได้ชัดว่านัทธีไม่ค่อยพอใจที่เธอหอมเฉพาะแก้มของเขา จึงได้ชี้ไปที่ริมฝีปากเพื่อเตือนเธอ

วารุณีเห็นดังนั้น จะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่เชิง “ไม่เอานะเด็ก ๆ อยู่ที่นี่ ทานเค้กกันเถอะ”

เธอพลางพูดพลางใช้ส้อมตักเค้ก 1 ชิ้นป้อนให้กับเขา

นัทธีไม่ชอบทานของที่หวานเลี่ยนแบบนี้ แต่เมื่อเธอเป็นคนป้อนเองกับมือ เขาก็ได้อ้าปากแล้วทานเข้าไป

“คุณทานเลยนะ ผมไม่ทานแล้ว” นัทธียกมือขึ้นเพื่อสื่อให้รู้ว่าทานชิ้นเดียวพอ

วารุณีเองก็รู้ว่าเขาไม่ชอบทานสิ่งเหล่านี้ จึงไม่ได้ฝืนใจเขาอีก และก็เริ่มการทานเค้กของตัวเอง

นัทธีจึงถือแก้วกาแฟแล้วมองเธอทาน

สำหรับเขา ถึงแม้งานวันเกิดนี้จะดูเรียบง่าย ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับตอนที่มีคุณพ่อคุณแม่และคุณปู่เป็นคนจัดให้

แต่ว่ามีภรรยา มีเด็ก ๆ ทำให้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่เป็นพิเศษ

คืนนี้นัทธีไม่ได้แตะต้องตัวของวารุณี เพราะว่าเธอตั้งครรภ์ ไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า จึงทำเพียงกอดเธอนอนทั้งคืน

ต่อให้เป็นแค่เพียงการกอด เขาก็ไม่กล้าที่จะขยับ แม้แต่การพลิกตัวก็ตาม กลัวว่าจะไปกดทับโดนท้องของเธอ

จนเป็นเหตุให้วันรุ่งที่ตื่นขึ้นมานั้น ร่างของเขาช้าไปครึ่งซีก

วารุณีจึงได้นวดเบา ๆ ให้กับเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้รู้สึกดีขึ้น

“เดี๋ยวบ่ายนี้ผมจะไปส่งคุณไปที่สนามบิน” นัทธีส่งวารุณีถึงด้านล่างตึกของบริษัทเธอ แล้วกล่าวกับเธอ

วารุณีพยักหน้าแล้วตอบรับอืม

นัทธีจึงขับรถจากไป

วารุณีส่งเขาด้วยสายตาจนรถหายลับไป เธอถึงได้หันหลังเข้าไปในตัวอาคารบริษัท

เวลาผ่านไปเร็วมาก เมื่อถึงตอนบ่าย ปาจรีย์ได้ขับรถพาวารุณีและเชอรีนมุ่งหน้าไปที่สนามบิน

เมื่อถึงสนามบิน คนของทางสมาคมก็ได้มาถึงแล้ว

เพราะว่าวารุณีเป็นตัวแทนของประเทศในการเข้าร่วมการแข่งขัน ก็เป็นธรรมดาที่ทางสมาคมจะมาร่วมส่งเธอ

วารุณีได้สนทนากับประธานสาขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นประธานสาขาก็จากไป

เพราะในฐานะประธานสาขาของสมาคมมีเรื่องมากมายที่ต้องให้จัดการ

“วารุณี ประธานนัทธียังไม่มาเหรอ” ปาจรีย์พลางถามพลางมองไปรอบ ๆ ห้องโถงผู้โดยสาร

เชอรีนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้าง ๆ “จะรีบร้อนทำไม ประธานนัทธีจะต้องอยู่ระหว่างทางมาอย่างแน่นอน”

“ฉันก็แค่กลัวว่าเขาจะมาสาย แล้ววารุณีจะไม่ได้เจอเขาแม้แต่หน้าครั้งสุดท้าย” ปาจรีย์ตอบกลับอย่างบึ้งตึง

เชอรีนฉุนเฉียวขึ้นทันที “หน้าครั้งสุดท้าย? ที่เธอกำลังสาปแช่งประธานนัทธีหรือว่าวารุณีอยู่”

ปาจรีย์ตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองได้พูดผิดไป จึงตบเข้าที่หน้าผากของตัวเองไปฉาดหนึ่ง “อุ๊ยวารุณี ขอโทษนะ ปากเร็วไปหน่อย!”

“พอกันได้แล้ว” วารุณีหลุดยิ้มแล้วส่ายหน้า “เงียบ ๆ หน่อย เชอรีนพูดถูก บางทีเขาอาจจะอยู่ระหว่างทาง”

ปาจรีย์ ยักไหล่หมดคำจะพูด

ทันใดนั้น มีเสียงแหลมที่น่ารำคาญดังลอยขึ้นมา “อ้าว นี่ไม่ใช่วารุณีกับเชอรีนเหรอ ช่างบังเอิญจัง พวกเธอก็อยู่สนามบินด้วย นี่กำลังจะไปไหนกัน”

สุชาดาที่สวมแว่นดำ ใส่รองเท้าส้นสูง เดินบิดเอวเข้ามา

วารุณีขมวดคิ้ว ไม่อยากไปสนใจ

เชอรีนลุกยืนขึ้น “พวกเราจะไปที่ไหนมันเกี่ยวอะไรกับเธอมิทราบ”

“ฉันก็แค่สงสัยเลยถามขึ้นแค่นั้น แต่ว่าฉันเดานะพวกคุณคงไม่ได้ไปในสถานที่ดี ๆ หรอก ไม่เหมือนกับฉันที่ได้ไปเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ นี่เป็นหนึ่งในงานแข่งขันอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่นเสื้อผ้าเลยนะ พวกคุณคงอิจฉามากเลยสิ คริ ๆ ……” สุชาดาเอามือปิดปากหัวเราะอย่างได้ใจ

จากนั้นเธอก็แกล้งเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ แล้วปรบมือไปหนึ่งที “อุ๊ยดูสิ ฉันเกือบลืมไปเลย พวกเธอคนหนึ่งเป็นแค่ดีไซเนอร์กระจอกที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก อีกคนหนึ่งก็แค่นางแบบเกรดต่ำ เกรงกว่าคงไม่เคยได้ยินการแข่งขันแบบนี้สินะ ฉันพูดสิ่งนี้กับพวกเธอ พวกเธอก็คงจะฟังไม่เข้าใจ”

วารุณีและพวกอีกสองคนมุมปากกระตุก

โดยเฉพาะปาจรีย์กับเชอรีนที่มองท่าทางของสุชาดาราวกับคนปัญญาอ่อน

“ผู้หญิงคนนี้เป็นนางแบบรุ่นเดียวกับเธอ สมองของเธอมีป่วยหรือเปล่า” ปาจรีย์ชี้ไปที่ขมับแล้วกล่าว

เชอรีนพยักหน้า “แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถพูดคำปัญญาอ่อนเหล่านั้นออกมาหรอก”

“อ้าว น่าสงสาร สมองป่วยทำไมไม่รู้จักไปหาหมอล่ะ ทำไมถึงมาทำเรื่องอับอายอยู่ข้างนอกแบบนี้” ปาจรีย์เหลือบมองสุชาดาอย่างดูถูกครู่หนึ่ง

วารุณีถึงแม้ไม่ได้ร่วมวงสนทนา แต่มุมปากก็ยกยิ้มขึ้น

สุชาดามองดูการยิ้มเยาะของเธอ แล้วรู้สึกแต่เพียงว่าถูกดูหมิ่นดูแคลน จึงรีบถอดแว่นตาดำออกทันที ปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าที่บึ้งตึง “นี่พวกเธอกล้ามาบอกว่าฉันป่วยเหรอ”

“เธอไม่ได้ป่วยหรอกเหรอ” ปาจรีย์แบมือทั้งสองข้างออกจากตัวแล้วทำท่างุนงง “เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรากำลังจะไปไหน ก็มายืนพูดฉอด ๆ อยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ได้ป่วยแล้วคืออะไร”

“ใช่” เชอรีนหัวเราะอย่างเย็นชา “สุชาดาฉันจะบอกเธอให้นะ บังเอิญจัง ที่พวกเราไม่เพียงแต่รู้การแข่งขันที่เธอพูดถึง พวกเรายังไปเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย ฉันก็เหมือนกับเธอที่ถูกเชิญไปเป็นนางแบบ ส่วนวารุณีคือตัวแทนดีไซเนอร์ของประเทศที่ไปเข้าร่วมการแข่งขัน”

เชอรีนโอบเข้าที่ไหล่ของวารุณี แล้วส่งรอยยิ้มยั่วให้กับสุชาดา

สุชาดาถอยหลังไปสองก้าวแล้วมองด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แหลมปรี๊ด “มันจะเป็นไปได้ยังไง พวกเธอ……พวกเธอจะไปเข้าร่วมการแข่งขันได้ยังไง” เธอชี้ไปที่วารุณีกับเชอรีน

เชอรีนหรี่ตาลง ตบที่มือของเธอเบาๆ “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เธอบอกกับฉันหน่อยสิ ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ ให้เธอไปได้เพียงคนเดียว พวกเราไปไม่ได้อย่างนั้นเหรอ!”

ในใจของสุชาดาปั่นป่วนแปรปรวนอย่างรุนแรง “ วารุณีไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอะไร จะเป็นตัวแทนประเทศไปเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างไร อีกอย่างเธอก็แค่คนที่เคยผ่านการเดินแคทวอล์คไม่กี่ครั้งในงานโชว์ที่ไม่ค่อยจะโด่งดัง ทำไมถึงมีสิทธิ์ได้ไปเข้าร่วม มีสิทธิ์อะไร”

“สิทธิ์ที่ฉันเป็นคนดีไง อีกอย่างเธอบอกว่าฉันเคยผ่านการเดินแคทวอล์คเพียงไม่กี่ครั้งในงานโชว์ที่ไม่ค่อยจะโด่งดัง แล้วเธอล่ะ ตั้งแต่ที่จบจากการฝึกอบรมมา เธอยังไม่เคยผ่านการเดินแบบอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง เธอมีตรงไหนที่สู้ฉันได้ แต่ก็ยังถูกรับเชิญไปไม่ใช่เหรอ ฉันยังไม่ไปสงสัยเธอ เธอกลับมีหน้ามาสงสัยฉัน”

เชอรีนกลอกตามองบน จากนั้นกล่าวต่อ :“อีกอย่าง ใครบอกว่าวารุณีไม่มีชื่อเสียง เธอเป็นหัวหน้าดีไซเนอร์ของ Bath fire rebirth กับ Glory of the sun and the moon นะ และก็เป็นแชมป์ของการแข่งขันแย่งโควตาด้วย เธอนี่ไม่รู้เรื่องแล้วยังมายืนพูดปาว ๆ อยู่ตรงนี้ โดยที่ไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ”

“ใช่” ปาจรีย์พยักหน้า

วารุณีลูบผม ยังคงเงียบไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ

สุชาดามองวารุณีด้วยใบหน้าที่ขาวซีด “นี่เธอเป็นดีไซเนอร์ของ Bath fire rebirth เหรอ”

เธอรู้จักBath fire rebirth และก็เคยเห็น จึงทำให้เธอช็อกตะลึงอย่างมาก

แต่ที่คิดไม่ถึง วารุณีก็คือดีไซเนอร์ที่ออกแบบเสื้อผ้าเหล่านั้น

ฉับพลัน ใบหน้าของสุชาดาทั้งแดงทั้งซีด ทั้งโมโห ทั้งอับอาย

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่นี่ไม่มีหลุมดินให้แทรก ไม่อย่างนั้นเธอก็เข้าไปหลบอย่างแน่นอน

ก็คงจะไม่ต้องหน้าแตกยับเยินมากขนาดนี้

“ในเมื่อเธอเป็นดีไซเนอร์ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ อย่างนั้นทำไมถึงไม่พูดออกมาตรง ๆ นี่จงใจจะแกล้งฉันให้อับอายใช่ไหม” สุชาดาชี้ไปทางวารุณีแล้วตะคอกใส่ด้วยความโกรธ

วารุณีที่ใบหน้าเต็มไปด้วยมึนงง มองเธออย่างกับมองเหี้ยก็ไม่ปาน

ปาจรีย์เห็นแล้วก็ยิ่งขำ “ที่เธอเป็นประสาทเหรอ ไม่ยอมรับผิดแล้วยังจะมาโทษคนอื่นอีก เห็นชัดว่าตัวเองไม่ทำความเข้าใจก่อน ยังจะมาตำหนิวารุณีว่าไม่บอกเธออีก คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีค่าพอจะให้วารุณีไปให้ความสำคัญ”

“ใช่ วารุณีไม่บอกก็เป็นสิทธิ์ของเธอ ยังจะมาโทษว่าเป็นความผิดของวารุณีอีก สุชาดาฉันไม่เคยเห็นคนที่หน้าด้านขนาดนี้มาก่อน” เชอรีนก็ตอบกลับเช่นกัน

“พวก……พวกเธอ……” สุชาดาเถียงสู้สองคนไม่ได้ จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ

และในเวลานี้ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งถือกระเป๋าเดินเข้ามา “สุชาดา เธอกำลังทำอะไร”

“ดีไซเนอร์โสรยา คุณมาได้เสียที พวกเขารวมหัวกันกลั่นแกล้งฉัน” สุชาดาเห็นโสรยาเดินเข้ามา ราวกับเห็นดาวแห่งความหวัง จึงรีบฟ้องขึ้นทันที

วารุณีและพวกอีกสองคนกลอกตามองบนพร้อมกัน

พวกเขาประเมินความหน้าด้านของสุชาดาน้อยเกินไป

กล่าวหาว่าพวกเขากลั่นแกล้งเธอ ไม่ใช่ตัวเองหรอกเหรอที่เข้ามาหาเรื่องเอง

เมื่อโสรยาได้ยินว่ามีคนกลั่นแกล้งคนของตัวเอง สีหน้าจึงเคร่งขรึมลง แล้วเดินตรงมาหาวารุณีด้วยใบหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้ม จากนั้นกล่าวขึ้น :“คุณวารุณี พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”

“ค่ะ” วารุณีเองก็ตอบกลับหนึ่งคำด้วยใบหน้าที่เย็นชา

โสรยาหรี่ตาลง “คุณวารุณี ถึงแม้ว่าพวกเราจะคนประเทศเดียวกัน แต่ว่าตอนนี้พวกเราเป็นตัวแทนของประเทศที่ต่างกัน คุณมากลั่นแกล้งนักแข่งขันของต่างชาติแบบนี้ เกรงว่าจะไม่ดีมั้งคะ”