ตอนที่ 459 เจ้าว่าผู้ใดแก่ตัวไปแล้วไม่มีใครเหลียวแล

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 459 เจ้าว่าผู้ใดแก่ตัวไปแล้วไม่มีใครเหลียวแล?

“หัวล้านเป็นหย่อมคือสิ่งใด?” บัณฑิตหนุ่มถามด้วยความสงสัย

หลินเว่ยเว่ยเริ่มอธิบายหัวข้อทางวิทยาศาสตร์ยอดนิยมทันที “โรคหัวล้านเป็นหย่อมมีอีกชื่อหนึ่งว่าโรคผีโกนผม เป็นโรคผมร่วงที่ไม่ได้เกิดจากบาดแผลหรือเชื้อโรค ส่วนใหญ่เกิดจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง พันธุกรรม ความเครียดทางอารมณ์หรือความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เป็นต้น อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะสอบแล้ว เดิมทีอารมณ์ของเจ้ากำลังอยู่ในช่วงประหม่าและเป็นกังวล ยิ่งมาดึงผมตัวเองเล่นแบบนี้อีก ไม่หัวล้านเป็นหย่อมก็แปลก”

เมื่อนึกถึงใบหน้ารูปงามของบัณฑิตน้อยแต่หัวล้านเป็นหย่อมเหมือนสุนัขติดโรคเรื้อน…ภาพนั้นช่าง…ทำเอาผู้คนไม่กล้ามองตรง ๆ เลยทีเดียว !

“ข้าไม่ประหม่า ! ” ความจริงคือคนในครอบครัวของผู้เข้าสอบนึกว่าผู้สอบประหม่าต่างหาก เจียงโม่หานแสดงท่าทีบ่งบอกว่าการสอบระดับเซียงซื่อไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตนเลย…

หมู่บ้านฉือหลี่โกวตั้งอยู่ไกลจากเมืองเหอโจว รถม้าของพวกนางใช้เวลาวิ่งนานถึงสองวันเต็ม แล้วตลอดช่วงสองวันนี้อาหารกลางวันที่พวกนางกินก็ล้วนเป็นอาหารแห้งทั้งสิ้น โชคดีที่เวลาไปไหนมาไหนหลินเว่ยเว่ยมักจะเตรียมพร้อมอย่างดีทุกครั้ง…

อากาศในช่วงปลายเดือนเจ็ดร้อนจัด ดังนั้นสิ่งที่จัดการได้ยากที่สุดระหว่างเดินทางก็คือเรื่องอาหารการกินนั่นเอง อาหารที่นำมาด้วยในตอนเช้ามักจะเริ่มขึ้นราและส่งกลิ่นเหม็นในตอนกลางวัน

แต่เรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของหลินเว่ยเว่ย นางไม่เพียงให้ผู้เข้าสอบทั้งสามได้กินอิ่มเท่านั้น ยังทำให้พวกเขาได้กินของดีมีประโยชน์อีกด้วย ! ไม่ว่าจะเป็นแผ่นแป้งทอดหรือเนื้อแผ่นล้วนกินได้อย่างสะดวกสบาย ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าอาหารที่บ้าน แต่อย่างน้อยก็ยังอร่อยกว่าที่อื่น…เพราะเราสามารถเชื่อฝีมือการทำอาหารของหลินเว่ยเว่ยได้ !

และอาหารที่ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่ผู้เข้าสอบทั้งสามคนนี้ก็คือผลไม้ที่แช่ในถังน้ำแข็ง ช่วงกลางวัน ภายในรถม้าที่ร้อนอบอ้าว การได้กินแตงโมแช่เย็นสักชิ้นหรือลูกท้อเย็นสักผลก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ช่วยไล่ความร้อนได้อย่างชื่นใจ บอกได้คำเดียวเลยว่า…สุดยอด !

ถังน้ำแข็งนี้ปั้นมาจากดินประสิว ส่วนผลไม้ก็เป็นผลไม้ที่สกุลหลินปลูกเอง เพื่อปกปิดที่มาของผลไม้ในมิติน้ำพุวิญญาณแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงบุกเบิกพื้นที่มุมหนึ่งด้านหลังภูเขาแล้วปลูกต้นบ๊วยสองต้น ต้นท้อสองต้น นอกจากนี้ยังมีแอปเปิล สาลี่ องุ่น เถียนกวา ( แตงไทย ) แตงโมและผลไม้อื่น ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมา บ้านตระกูลหลินไม่เคยขาดแคลนผลไม้อีกเลย

ผลไม้ที่นางนำมาในคราวนี้เป็นผลไม้ที่ปลูกในมิติน้ำพุวิญญาณ ต่อให้กินเยอะเกินพอดีก็ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย นางจึงไม่ต้องกังวลว่าบัณฑิตเหล่านี้จะกินแล้วท้องเสียภายหลัง !

พวกเขานั่งกินมื้อเที่ยงของวันแรกบริเวณใต้ร่มไม้ริมทาง หลินจื่อเหยียนถกแขนเสื้อขึ้นพลางหายใจหอบเหมือนลูกหมาตัวน้อย “พี่รอง เอาน้ำแข็งใสผลไม้มาสักชามเถิด ! อากาศร้อนอย่างนี้ ข้ากินอะไรไม่ลงเลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยขูดน้ำแข็งในถังให้เป็นเกล็ดเล็ก ๆ จากนั้นใส่ลูกท้อปอกเปลือกและผลไม้อบน้ำผึ้ง จากนั้นก็ปอกเปลือกองุ่นแล้ววางแตงโมกับเถียนกวาหั่นชิ้นลงไป ก่อนจะราดด้วยแยมสตรอเบอร์รี่ป่าแล้วแบ่งให้บัณฑิตทั้งสามกิน

แน่นอนว่านางต้องยื่นชามให้คู่หมั้นของตนเป็นคนแรก เจียงโม่หานรับชามน้ำแข็งใสมาแล้วใช้ช้อนตักเข้าปากชิมรส น้ำแข็งเย็น ๆ และผลไม้อมเปรี้ยวอมหวานช่วยขจัดความร้อนและความเหนื่อยล้าในการเดินทางได้อย่างหมดสิ้น

หลินจื่อเหยียนเห็นแบบนั้นก็บ่นอุบขึ้นมาทันที “ให้ความสำคัญต่อบุรุษจนลืมน้องชายตัวเองเสียแล้ว ! ” ดังนั้นเขาจึงตักขึ้นมาเองแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย

เผิงหยูเหยี่ยนก็เริ่มตักกินเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นหลินจื่อเหยียนกินอย่างมูมมามราวกับหมู ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ผุดประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘ตัวกินล้างกินผลาญ’ !

เมื่อได้กินน้ำแข็งใสผลไม้และนั่งรับลมเย็นใต้ร่มไม้แล้ว ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเกิดความอยากอาหารเสียที หลินจื่อเหยียนกัดบะหมี่กรอบหนึ่งคำและกินเนื้อแผ่นหนึ่งคำ ปากก็กล่าวขึ้นว่า “นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งวันเอง ข้าก็เริ่มคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว โดยเฉพาะอุ้งตีนหมีตุ๋นที่ทำให้ข้าไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิต ! เฮ้อ ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อใดกว่าจะได้กินอุ้งตีนหมีในครั้งหน้า…”

หลินเว่ยเว่ยหันไปถลึงตาใส่เขาทันที “พอเถิด กินอุ้งตีนเจ้าแทนแล้วกัน ! คนอื่นเวลาเดินทางได้กินแค่แผ่นแป้งทอดแห้ง ๆ ธรรมดา เจ้าอย่าได้เมินเฉยต่อความสุขที่ตนได้รับเลย ! ”

เจียงโม่หานกินเนื้อแผ่นช้า ๆ ทันใดนั้นเขาก็หวนนึกถึงวันที่รีบมาสอบเมื่อชาติที่แล้ว ยามที่แสงแดดแผดเผาอยู่กลางศีรษะ เขาเดินเท้าเข้าสู่เมืองจงโจวเพียงลำพัง เวลาท้องหิวจนทนไม่ไหว เขาก็นั่งทรุดตัวอยู่ที่ริมทางแล้วหยิบเอาแผ่นแป้งทอดเนื้อหยาบที่เริ่มเน่าเสียออกมากิน มันเป็นแป้งเนื้อหยาบที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมา ทั้งยังบาดคอราวกับมีดคมกริบ

ในขณะที่เขากำลังกินแป้งทอดเนื้อหยาบอยู่นั้น ทันใดนั้นตรงหน้าก็มีแป้งทอดเนื้อสีขาวปรากฏขึ้น เป็นแป้งทอดจากบัณฑิตคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักซึ่งกำลังเร่งไปสอบเช่นเดียวกัน อีกฝ่ายลงจากรถม้าแล้วยื่นมาให้ แต่เป็นเพราะเขาหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเกินไป จะรับของกินจากคนอื่นง่าย ๆ ได้อย่างไร ? เขาจึงฝืนใจปฏิเสธ ! ในตอนนั้นนอกจากความหยิ่งทะนงแล้วก็เรียกว่าเขาไม่เหลืออะไรอีกเลย ?

ในยามที่กำลังหวนนึกถึงความทรงจำแสนเจ็บปวดในอดีต จู่ ๆ ก็มีกระบอกไม้ไผ่ยื่นมาตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นดวงตารูปเสี้ยวพระจันทร์กำลังมองมาที่ตน “ดื่มน้ำสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ! ”

เจียงโม่หานรับกระบอกไม้ไผ่มา…ชาตินี้เขาไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว ข้างกายมีคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใย และนางก็เป็นคนที่เขาห่วงใย เขาต้องมีความพยายามมากกว่าชาติที่แล้ว เพราะไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไป !

จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำลงไปสองอึก…หืม ? หวานชื่นใจมาก !

หลินเว่ยเว่ยจึงหันไปยิ้มตาหยีให้เขา “ข้าใส่น้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย ! ดื่มไปก่อนเพื่อความชื่นใจ ประเดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะคั้นน้ำผลไม้ให้กิน ! ”

“โอ้ ! ข้าได้ยินนะ ! พี่รอง ท่านอย่าลำเอียงสิ ต้องแบ่งน้ำผลไม้ให้ข้าและพี่เขยใหญ่ด้วย ! ” หลินจื่อเหยียนยื่นหน้าเข้ามา เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เพราะถึงอย่างไรพี่รองก็ต้องคิดหาวิธีทำของอร่อยให้คู่หมั้นของตนอยู่แล้ว แน่นอนว่าปกติเขาก็ได้กินด้วย

หลินเว่ยเว่ยแบ่งกระบอกน้ำออกเป็นสองกระบอก กระบอกหนึ่งยื่นให้น้องชายผู้โง่เขลาของตน “เจ้าไม่รู้หรือว่าเดิมทีจิตใจของมนุษย์นั้นเอนเอียงอยู่แล้ว ? ข้ายังไม่เคยเห็นหัวใจของใครอยู่ตรงกลางอกมาก่อน ! ”

“พี่รอง ข้าคือน้องชายของท่าน ! ต่อให้ใจของท่านลำเอียงก็ต้องลำเอียงมาทางข้าสิ ! ” หลินจื่อเหยียนหยิบเอาก้อนน้ำแข็งออกมาจากถังน้ำแข็งแล้วกัดกินอย่างทื่อ ๆ…เย็นดีจัง สบายสุด ๆ อากาศร้อนขนาดนี้หากได้กินน้ำแข็งใสผลไม้อีกสักชามก็คงดี

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองแรงใส่น้องชาย “ไม่ได้ ไม่ได้ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือไรว่าพ่อแม่แก่เฒ่าลงทุกวัน เมื่อบุตรเติบโตขึ้นก็ต้องโบยบินด้วยตนเอง พี่น้องย่อมแยกย้ายไปมีครอบครัวเป็นของตนเช่นเดียวกัน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะอยู่กับเจ้าไปจนแก่เฒ่า…นั่นก็คือภรรยาของเจ้า…ไหนเจ้าบอกข้าสิ หากไม่ให้ข้าลำเอียงมาทางคู่หมั้น แล้วจะให้ข้าลำเอียงไปหาใคร ? ”

เจียงโม่หานมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง…ราวกับเห็นภาพของตนและนางร่วมเรียงเคียงหมอน ใช้ชีวิตด้วยกันจนแก่เฒ่า อืม ความรู้สึกแบบนี้ไม่เลวเลย !

หลินจื่อเหยียนได้ยินแบบนั้นก็ตระหนักได้ว่าพี่รองพูดมีเหตุผล เขาจึงเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน “แต่มีคำกล่าวที่ว่าชีวิตคนเราแสนสั้น บุตรไม่ควรดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าหรอกหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าบุตรชายของเจ้าสอบได้จิ้นซื่อแล้วถูกส่งไปเป็นขุนนางในดินแดนห่างไกล เจ้ายังจะบอกกับเขาว่า ลูกไปไม่ได้ ลูกต้องอยู่เลี้ยงพ่อไปจนแก่…”

“ข้าก็พาพ่อแม่ไปอยู่ที่นั่นด้วยเลย ! ” หลินจื่อเหยียนคิดว่าหากมีใจเสียอย่างก็ย่อมสามารถทำทั้งสองสิ่งพร้อมกันได้

เผิงหยูเหยี่ยนขมวดคิ้วแล้วกล่าวกับเขาว่า “หากเจ้าถูกส่งไปยังสถานที่ยากลำบากและทุรกันดาร เจ้าจะยอมให้พ่อแม่ที่อายุมากของตนไปลำบากด้วยหรือ ? ”

หลินจื่อเหยียนคิดแล้วจึงกล่าวอย่างไม่ยอม “พี่รอง ข้าคิดว่าท่านพูดไม่ถูกเสียทีเดียว กว่าพี่เขยรองจะสอบได้ขุนนางขั้นหนึ่ง ท่านคงเริ่มแก่ตัวแบบไม่มีใครเหลียวแลแล้ว ส่วนเขาก็คงรับอนุภรรยาสาวสวยเข้าจวน…”

[i]