บทที่ 339 ร่วงลงสู่โลกมนุษย์ 3

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 339 ร่วงลงสู่โลกมนุษย์ 3

อาจารย์ยังคงไม่พอใจที่นักเรียนตัวเองไปเป็นเด็กบริการคนอื่นในร้าน ในใจคิดแค่อยากได้เงินรางวัล เช่นนี้ก็สามารถชดใช้เงินทั้งหมดให้โจวกุ้ยหลาน และคืนห้องเรียนอันสะอาดให้กับเขาได้แล้ว

สำหรับสิ่งนี้ โจวกุ้ยหลานทำได้เพียงส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก

ทุกคนกลับไปห้องของตัวเอง เพียงแค่ต่างมีความในใจ

โจวกุ้ยหลานพาลูกทั้งสองคนไปอาบน้ำกลับไปนอนที่เตียง พลิกไปพลิกไปยังไงก็นอนไม่หลับ

มาเมืองหลวงก็หลายเดือนแล้ว แต่นางไม่ได้เจอสวีฉางหลินสักเท่าไหร่เลย

นางพลิกตัว มองไปที่หน้าต่าง แสงส่องเข้ามาจากช่องระหว่างหน้าต่างสาดส่องห้องจนสว่างทั้งห้อง

เที่ยงคืน ระหว่างสะลึมสะลือนางได้ยินเสียงเบาๆดังมาจากหลังคา นางตกใจ ลืมตาลุกขึ้นยื่นหัวมองออกไป ก็เห็นบนหลังคาของตัวเองมีกระเบื้องถูกเปิดออกหนึ่งแผ่น

ดึกๆดื่นๆ เป็นใครกันแน่?

ใจของนางบีบแน่น นั่งลงบนเตียงเบาๆ จากนั้นก็เห็นกระเบื้องไม่ขยับแล้ว ส่วนรูที่ถูกเปิดออกก็มีตาคู่หนึ่งโผล่มา

หลังจากตาคู่นั้นสบตากับนางแล้ว ก็หดกลับไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระเบื้อง นางก็มองดูรูเล็กๆนั่นถูกกระเบื้องปิดไว้แล้ว

โจวกุ้ยหลาน “…….”

หากนี่ไม่ใช่สวีฉางหลิน ให้ตายนางก็ไม่เชื่อ

นางรีบหยิบเสื้อกันหนาวคลุมไว้บนตัวอย่างรวดเร็ว สวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว วิ่งไปในสวน เงยหน้ามองไปข้างบน ก็เห็นเงาร่างหนึ่งยังนั่งอยู่บนกระเบื้องนั้น

“สวีฉางหลิน!” โจวกุ้ยหลินกดเสียงต่ำตะโกนไปคำหนึ่ง

ตะโกนเสร็จ นางก็เห็นร่างนั้นสั่นไหวไปทีหนึ่ง จากนั้นก็หันร่างมา มองมาที่นาง

เขาทั้งคนแอบอยู่ท่ามกลางความมืด นางมองไม่เห็นสักนิด ล้วนใช้ความรู้สึก นางรู้สึกว่าคนนี้ก็คือสวีฉางหลิน

“เจ้าลงมา!”

โจวกุ้ยหลานจงใจกดเสียงต่ำ กลัวว่าจะปลูกคนอื่นตื่น

สวีฉางหลินทางด้านหลังคานั้นได้ยินเสียงเรียกของนาง กลับเหมือนหวาดผวา ลุกขึ้นยืน กระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็วิ่งไปไกลแล้ว

โจวกุ้ยหลานหมุนตัวเปิดกลอนประตู วิ่งไปตามทิศทางของสวีฉางหลิน

ถนนตอนกลางคืนมืดสนิท ไร้คน โจวกุ้ยหลานได้ยินเพียงเสียงลมข้างหู และเสียงหัวใจเต้นของนาง

ไม่รู้วิ่งไปนานแค่ไหน นางมองไม่เห็นร่างของสวีฉางหลินแล้ว ส่วนนางก็หอบจนหายใจไม่ออกแล้ว หัวใจก็จะเต้นออกมาแล้ว

นางปล่อยฝีเท้าช้าลง เดินไปข้างหน้าทีละก้าว ให้หัวใจของตัวเองผ่อนคลายเต้นช้าลง

อากาศเย็นลอดเข้าไปในคอของนาง ทำให้นางทั้งคอแหบคอแห้ง

ไอไปสองครั้ง อดบ่นพึมพำเสียงเบาไม่ได้ “ทำไมเจ้าถึงได้ใจดำเช่นนี้? ลูกทั้งสองคนยังไม่เคยเห็นพ่อของพวกเขา! หลบพวกเราทั้งวันทำไม? กลัวพวกเราถ่วงขาเจ้าหรือ?”

พูดไปพูดมา นางก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ

คิดถึงเรื่องต่างๆนานาในเมืองหลวงระยะเวลานี้ นางรู้สึกอยากร้องไห้ ขอบตาก็ร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้าอาศัยความสามารถตัวเองใช่หรือไม่ คิดถึงพวกเราก็มาดูพวกเรา เจ้าเคยเห็นแก่พวกเราหรือไม่? ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาสามปีแล้ว เจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่ ไม่สามารถบอกข้าสักคำหรือ?”

โจวกุ้ยหลานทั้งๆรู้ว่าตัวเองพูดเสียงเบาขนาดนี้ หวีฉางหลินต้องไม่ได้ยินแน่นอน แต่ว่านางไม่สามารถหยุดได้

ทำไมถึงไม่ยุติธรรมแบบนี้? เขาสามารถมาดูนางและลูกได้ ลูกและนางไม่ได้เห็นเขา?

มีวิชาการต่อสู้วิเศษนักหรือ? มีความสามารถขนาดนี้ทำไมไม่รับพวกนางสามแม่ลูกไปอยู่ข้างกาย?

ตอนแรกโจวกุ้ยหลานยังควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง พอสุดท้าย น้ำเสียงยิ่งอยู่ยิ่งดัง “เจ้ามันผู้ชายหลอกลวง! ก็รู้ว่าพวกเราหญิงม่ายเด็กกำพร้า! ขอบอกเจ้า ให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งปี ถึงเวลาหากท่านยังเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

เพิ่งพูดจบ ก็มองเห็นบ้านข้างๆจุดไฟ

นางตกใจ ใส่รองเท้าแตะหมุนตัวก็วิ่งเลย

คนบ้านนั้นเปิดประตู พอเดินออกมาดู บนถนนไม่มีใครสักคน พวกเขาคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง ก็ตกใจ รีบปิดประตูบ้าน แอบกลับเข้าห้องของตัวเอง

โจวกุ้ยหลานหลบอยู่ตรงมุมโค้ง รอจนคนบ้านนั้นเข้าไปแล้ว ถึงโล่งอก หมุนตัวเดินกลับไป

เดินไปด้วย ยังด่าทอความใจดำของสวีฉางหลินไปด้วย

แน่นอน ว่าคราวนี้น้ำเสียงก็เบาลงเยอะมาก เพียงแค่ให้ตัวเองได้ระบายสักครั้ง

ท่ามกลางความมืด สวีฉางหลินยืนอยู่บนหลังคา เดินไปพร้อมนางทีละก้าวทีละก้าว ฟังเสียงบ่นของนาง สายตามีความลังเลเลื่อนผ่าน แต่แค่ชั่วขณะ อารมณ์นี้ก็ถูกเขาโยนทิ้งด้านหลังแล้ว

“แค่ปีเดียวนะ! เจ้าฟังให้ดี แค่ปีเดียว!” โจวกุ้ยหลานบ่นพึมพำไป

ริมฝีปากโจวกุ้ยหลานค่อยๆโก่งขึ้น เขาจำได้ว่าภรรยาเมื่อสามปีก่อนพูดว่ารอเขาแค่สามปี ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้ว ภรรยาบอกว่ารอเขาอีกหนึ่งปี

ในใจของภรรยามีเขาอยู่จริง!

ไป๋ยี่เซวียน? เฮ้อ!

โจวกุ้ยหลานเดินไปตลอดทาง ก็บ่นไปตลอดทาง กลับถึงบ้าน ปิดประตูสวนบ้าน เดินเข้าไปในห้องตัวเอง ตอนนี้ลูกทั้งสองยังคงกลับสนิทเหมือนตอนที่นางออกไป

นางปิดประตู เงยหน้ามองรูก่อนหน้านั้น ถอนหายใจ กลับไปนอนลงที่เตียง

อย่างน้อย เขาก็ยังมาดูนางและลูกทั้งสองคน นี่อธิบายว่าเขามีความลำบากจริง ใช่ไหม?

นางปลอบใจตัวเองในใจ หลับตา ยังคงนอนไม่หลับเสียที

ตื่นมาเช้าวันที่สอง สีหน้าของโจวกุ้ยหลานซีดเหลือง สอบตาดำทั้งสองข้างมองเห็นอย่างชัดเจน คนทั้งคนดูอ่อนเพลียอย่างมาก

สภาพของนางแบบนี้ทำให้ซิ่วฉายพวกนั้นตกใจ แต่ละคนทำงานอย่างขยัน กลัวจะทำให้นางโกรธ

เมื่อนางไปที่ร้านแล้ว พวกเมิ่งเจียงหลายคนล้อมตัวกันคุยกันว่านางเป็นอะไร

“ไม่ใช่หรอก……นางเสียดายพู่กันเมื่อคืนนั้น? อย่างไรเสียก็เป็นหลิวห้าวหรานเคยเขียนหนังสือ!”

“พูดไปเรื่อย นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหลิวห้าวหรานคือใคร? ข้าว่านางเสียดายเงินที่ซื้อพู่กันนั่น พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”

“นางไม่ใช่คนแบบนี้ ถ้าเสียดายของไม่เอาออกมาแล้ว ข้าว่าคือพวกเรากินจนนางจนแล้วใช่หรือไม่?”

คำพูดนี้ออกไป คนอื่นล้วนไม่ออกเสียงแล้ว

เพราะว่าพวกเขายิ่งอยู่ยิ่งกินเก่ง มิหนำซ้ำกับข้าวทุกวันมีทั้งเนื้อทั้งผัก บ้านคนธรรมดาคงกินจนล้มละลายแล้ว

“เช่นนั้น……ต้องทำอย่างไรดีล่ะ?”

“หรือไม่……ต่อไปพวกเรากินน้อยหน่อย?”

คนอื่นก็พยักหน้า ตัดสินใจกันใจต่อไปจะควบคุมหน่อย

รุ่ยอานกินข้าวเสร็จก็อ่านหนังสือ สำหรับคนอื่นรวมหัวคุยกันเขาไม่ใส่ใจเลยสักนิด

ส่วนเสี่ยวรุ่ยหนิง ถึงแม้จะไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่เห็นพี่ชายตัวเองกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ เขาก็ทำได้แค่ฝืนท่องหนังสือ

โจวกุ้ยหลานมาถึงที่ร้าน ไป๋ยี่เซวียนก็มาถึงแล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ก็กวาดร้านพร้อมกับคนอื่นๆหลายคนเรียบร้อยแล้ว

มองเห็นสภาพนางเช่นนี้ ไป๋ยี่เซวียนใบหน้ากระตุก ถามนางเสียงเบาว่าเป็นอะไร

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า บอกว่าตัวเองไม่เป็นไร

ไป๋ยี่เซวียนไม่ฝืนนาง ปลอบใจนาง “มีเรื่องอะไรก็อย่าคิดมาก เจ้าดูข้า เป็นถึงคุณชายตระกูลไป๋ ตอนนี้เป็นได้เพียงคนงานคนหนึ่งแล้ว

พูดไป ยังยกมือสองข้างของตัวเองขึ้นมา ให้โจวกุ้ยหลานดู

เมื่อก่อนเขาสวมชุดขาวตลอด ตอนนี้ต้องทำงาน เสื้อสีขาวไม่สะดวก เขาก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อดำทั้งตัว

ดูแล้ว ก็มีรสชาติอีกแบบหนึ่ง

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว “เจ้าก็ต้อนรับลูกค้าเถิด ตอนนี้คนก็พอแล้ว”