นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 340 ความอับอาย 1

ไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้าต่อเนื่อง พูดอย่างเอือมระอา “เมื่อคืนครอบครัวของข้าคำนวณรายได้ของข้าและพี่ชาย”

พูดถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา “เป็นอย่างไร?”

ไป๋ยี่เซวียนยื่นนิ้วออกไปสองนิ้ว ชูอยู่ตรงหน้าของโจวกุ้ยหลาน “พวกเราได้เงินมาหนึ่งพันตำลึงในหนึ่งเดือน”

“พี่ชายเจ้าล่ะ?”

“ยี่สิบหมื่นตำลึง” ไป๋ยี่เซวียนพูดไป ก็แบมือออกอย่างระอา

โจวกุ้ยหลานกัดฟันเงียบๆ นี่มันไม่ใช่ระดับเดียวกันเลย ไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย!

“เจ้าก็อย่าคิดมากเลย พวกเราเดือนแรกก็ได้กำไรมาหนึ่งพันตำลึง ก็ถือว่าดีมากแล้ว” ไป๋ยี่เซวียนพูดอย่างยิ้มแย้ม

สำหรับสิ่งนี้เขาถือว่าพอใจ อย่างไรเสียเปิดร้านอาหาร เดือนแรกล้วนขาดทุนทั้งนั้น

โจวกุ้ยหลานกัดฟัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เพิ่มกิจการเสริม!”

“กิจการเสริมอะไร?” ไป๋ยี่เซวียนมีชีวิตชีวาขึ้นมา

ขอเพียงสิ่งที่โจวกุ้ยหลานพูด นั่นต้องมีวิธีแปลกใหม่แน่นอน

“ขายโค้ก” โจวกุ้ยหลานพูด

ไป๋ยี่เซวียนคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยาก

“เจ้าจะทำอย่างไร?”

โจวกุ้ยหลานพูดความคิดของตัวเองออกมา ไป๋ยี่เซวียนฟังแล้วก็พยักหน้า ตัดสินใจไปทำตามคำพูดของโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานนวดขมับของตัวเอง โยนเรื่องของสวีฉางหลินไปด้านหนึ่ง คิดเรื่องแผนการทั้งหมดที่ตามมา

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในละแวกนี้คุ้นเคยกับการกินไก่ทอดแล้ว แต่ว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็ห่างไกลจากสถานที่เจริญรุ่งเรือง ราคาของพวกเขาก็ไม่แพง กำไรมีจำกัด

อีกอย่างไก่ทอดเย็นแล้วก็ไม่อร่อย และในเวลานี้ ก็ทำได้เพียงห่อโค้กใส่กระป๋องขายแล้ว

ทางด้านนี้พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับร้าน ส่วนเพื่อนบ้านรอบด้านพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว

“ต้องเป็นผีผู้หญิงแน่! ดึกๆดื่นๆแล้ว หญิงสาวบ้านใครจะไปเดินบนถนน?”

“ตอนที่พวกเราเปิดประตูก็ไม่เห็นคน ต้องไม่ใช่คนแน่นอน”

“โอ้โห เช่นนั้นพวกเรารีบหาคนมาทำพิธีเถิด?”

“ใช่ใช่ใช่ รีบไปทำพิธี ผีผู้หญิงคนนี้ต้องถูกผู้ชายทิ้งแน่นอน ตายโหง เพราะฉะนั้น ความอาฆาตรุนแรง พวกเราต้องรีบแล้ว!”

ดังนั้นคนละแวกใกล้เคียงต่างก็ยุ่งกันขึ้นมา จนทำให้ร้านของโจวกุ้ยหลานไม่ค่อยมีคนอะไรเข้ามาเลยทั้งวัน

เมื่อตอนเที่ยงพวกซิ่วฉายมาช่วย พบว่าในร้านไม่มีคนอะไร คิดถึงสิ่งที่พวกเขาเดาตอนเช้า ต่างก็ตัวสั่น ตอนเที่ยงกินข้าวก็กล้ากินแค่พออิ่ม

โจวกุ้ยหลานรู้สึกแปลกใจ ทำไมพวกเขาถึงกินได้น้อยขนาดนี้อย่างกะทันหัน

ไป๋ยี่เซวียนรวดเร็วมาก ไม่นานก็เอากระป๋องหลายใบมาให้โจวกุ้ยหลานดู โจวกุ้ยหลานก็เสนอความคิดเห็นบ้าง เอาไปปรับปรุงสองครั้ง กระป๋องนี้ก็ใช้ได้พอประมาณแล้ว

พวกเขาเข้าไปทำโค้กในห้องครัวใส่เข้าไปในกระป๋อง ปิดฝาให้แน่น เขย่าไปหลายครั้ง ไม่ได้รั่วออกมา พวกเขาก็วางใจแล้ว

กระป๋องนี้ก็เหมือนกับกระป๋องในยุคปัจจุบันมาก ด้านบนเรียบไม่น่าดู โจวกุ้ยหลานคิดไปคิดมา ไปร้านทำกล่องแห่งหนึ่งกับไป๋ยี่เซวียน ให้พวกเขาใช้กระดาษห่อภายนอกกระป๋องทั้งใบคนสวยงาม

มองดูกระป๋องอันประณีตตรงหน้า ความมืดมนในใจโจวกุ้ยหลานถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น

คราวนี้ โจวกุ้ยหลานและไป๋ยี่เซวียนเอาเงินมาคนละหนึ่งพันตำลึงมาทำกระดาษห่อ จากนั้นก็เอาเงินที่ได้กำไรจากร้านออกมา ไปซื้อวัตถุดิบในการทำโค้ก

เมื่อพวกเขาทำโค้กออกมาแล้ว ก็ใช้กระป๋องบรรจุ ไป๋ยี่เซวียนใช้ความสัมพันธ์ของตัวเอง นำโค้กนี้เข้าไปวางขายในร้านขายขนมต่างๆ

ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ไป๋ยี่เซวียนก็เอาโค้กออกมา ไปเยี่ยมในบ้านตระกูลใหญ่ต่างๆ สำหรับเครื่องดื่มกรดแบบนี้ เด็กๆเหล่านั้นกินครั้งเดียวก็ไม่มีทางปฏิเสธได้แล้ว

บังเอิญ นายพลสวีแห่งจวนหู้กั๋วกงชอบดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้มาก มิหนำซ้ำผิดปกติไม่เหมือนเดิม ที่มีคนไปเยี่ยมเขา เขากลับออกมารับแขกด้วยตัวเอง

มิหนำซ้ำยังนำโค้กที่การห่ออันสวยประณีตออกมาต้อนรับแขกเหล่านั้นอีก เหล่าผู้ดีในเมืองหลวงถึงพบว่ายังมีเครื่องดื่ม “เร้าใจ” เช่นนี้อยู่ ต่างก็พากันเลื่องลือขึ้นมา เพียงเวลาไม่กี่วัน โค้กรอบแรกของพวกเขาก็ขายหมดแล้ว

ตอนที่โค้กขายดี ก็ทำให้ร้านไก่ทอดของพวกโจวกุ้ยหลานค่อยๆโด่งดังขึ้นมา การค้าขายก็ดีทุกวัน

แน่นอน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องการค้าขาย

โจวกุ้ยหลานอ่านจดหมายจากบ้าน สีหน้าเคร่งเครียด

ไป๋ยี่เซวียนถามนางว่าเป็นอะไร โจวกุ้ยหลานยื่นจดหมายให้เขา เขาดูแล้ว สีหน้าก็เคร่งเครียดแล้ว

“อันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราก้าวก่ายได้”

ในใจของโจวกุ้ยหลานเสมือนถูกก้อนหินใหญ่กดทับ “แต่เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเรามณฑลหยวนเหอนี้ยังเหลือคนอีกเท่าไหร่? คนตายไปเท่าไหร่แล้ว? ราชสำนักรู้หรือไม่?”

ถึงแม้ว่านางเป็นคนรู้จักมองการณ์ไกล แต่ว่าเห็นในจดหมายบอกว่าคนอดตายไปไม่น้อยแล้ว หมู่บ้านของพวกเขายังดี แต่ก็ถูกคนหมู่บ้านอื่นเข้ามายืม แย่งเสบียงอาหารตลอด ก็มีคนตายไปไม่น้อยแล้ว

ไป๋ยี่เซวียนวางจดหมายในมือลง ถอนหายใจ “ราชสำนักก็แบ่งเสบียงช่วยเหลือแล้ว เกรงว่าคงไม่แจกรอบที่สองแล้ว”

“นั่นสามารถไปถึงมือประชาชนเท่าไหร่กัน?” โจวกุ้ยหลานหัวเราะเย็นชา

ไป๋ยี่เซวียนไม่ตอบ เรื่องแบบนี้ คนอย่างเขาก็ไร้ปัญญา

“หากเกิดความวุ่นวายขึ้นจริง……” โจวกุ้ยหลานพูดไปครึ่งหนึ่ง ก็เห็นไป๋ยี่เซวียนส่ายหน้าให้นาง

นางหุบปาก ไม่ได้พูดอีก

เพียงแค่เป็นแบบนี้ต่อไป เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นสักวัน ถึงเวลาสวีฉางหลินก็พาทหารไปปราบปราม?

โจวกุ้ยหลานพับจดหมายไว้อย่างดี เข้าไปในโต๊ะเก็บเงิน หยิบกระดาษพู่กันตอบจดหมาย

ถึงแม้ว่านางเก็บเสบียงอาหารไว้ให้ที่บ้านแล้ว หากทุกคนหิวจนไม่ไหวแล้ว ถึงเวลาจะไปแย่งเสบียงอาหารที่บ้านของนางหรือไม่? ไม่ว่าอย่างไร ก็ให้พวกเขามาที่เมืองหลวงก่อน ค่อยคิดหาวิธี

เขียนจดหมายจนเสร็จ นางให้เด็กในร้านช่วยนางส่งออกไป

ไม่ได้ พวกเขาออกมาแบบนี้ตลอดทางผู้ลี้ภัยเยอะเกินไป ระหว่างทางอันตรายมากมาย…….

เดือนที่สองไป๋ยี่เซวียนนำเงินที่ได้มากลับบ้าน ได้กำไรมาห้าพันตำลึงแล้ว เพียงแค่การค้าขายของพวกเขากับพี่ชายคนนั้นของเขายังต่างกันอย่างมาก

“พวกเราเทียบกับเดือนที่แล้ว มากขึ้นถึงห้าเท่า ก็ไม่น้อยแล้ว” ไป๋ยี่เซวียวกลับปลอบใจโจวกุ้ยหลานขึ้นมาแล้ว

โจวกุ้ยหลานเอือมระอา “ตอนนี้เหลือเพียงแปดเดือนแล้ว พวกเราเร็วแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว”

“หากเพิ่มขึ้นห้าเท่าทุกเดือน นั่นก็สามารถเกินพี่ชายของข้าได้” ไป๋ยี่เซวียนยิ้มแย้ม

โจวกุ้ยหลานเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง “เจ้านี่ช่างมองโลกในแง่ดีนัก”

“ข้าเชื่อเจ้า” ไป๋ยี่เซวียนพูด

โจวกุ้ยหลานโล่งใจ ในเมื่อเขายังมองโลกในแง่ดีขนาดนี้ เช่นนี้พวกเขาก็พยายามหาเงินก็พอแล้ว

เมื่อคนที่ร้านยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ พวกเขาสองคนก็จ้างคนเพิ่มหลายคนมาช่วยเก็บโต๊ะ แต่ว่าลูกค้าเหล่านั้นไปสั่งอาหารที่โต๊ะหน้าร้านเองก็ประหยัดคนงานไปไม่น้อย

บางครั้ง ของแปลกใหม่แบบนี้ก็ถูกชื่นชอบ เหมือนดั่งวินาทีนี้ ที่นี่ของพวกเขายังมีผู้ดีมีความรู้ไม่น้อย

กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนพูดโมโห “ข้าให้เจ้าขอโทษ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง?”

พวกเขาหันไปดู เห็นผู้ชายในชุดนักเรียนห้าหกคนกำลังตะโกนด่าเมิ่งเจียง