นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 341 สบประมาท 2

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปที่ไป๋ยี่เซวียน

นี่หรือว่าลูกค้าจะมาก่อกวนอย่างนั้นเหรอ

ไป๋ยี่เซวียนย่นจมูก: “เขาเป็นนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่”

“ฮ่าฮ่า เมิ่งเจียงแห่งสำนักบัณฑิตหนานซานกลับต้องกลายมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมเสียแล้ว!”

“ช่างน่าหัวเราะเสียจริง!”

“ไม่ใช่แค่นั้น พวกเจ้าดูสิ นักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานอยู่ที่นี่ทุกคน ข้าว่า พวกเขาคงจะหิวโซ จึงต้องออกมาทำงานหาเงิน”

นักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่พูดคุยกัน คำพูดทุกคำล้วนแต่เป็นถ้อยคำเยาะเย้ย

ในเวลานี้ลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านถึงได้ฟังออกว่าเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะล้วนแต่เป็นนักเรียน จึงมองมาทางนี้ด้วยความสงสัย

นักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานคนอื่นๆ จึงทยอยเดินมาทางนี้ สักพัก ก็มีนักเรียนสองคนเดินมาหยุดยืนด้านข้างเมิ่งเจียง

และยินเผชิญหน้ากับนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่

“เห้อเฟิง เจ้าคิดจะทำอะไร” โจวเสียนที่รีบเดินมาหยุดด้านข้างเมิ่งเจียงรีบตะโกนถามอย่างโมโห

“ทำอะไรอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าต้องมาดูความอับอายขายหน้าของพวกเจ้าไง!” เห้อเฟิง หัวโจกของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่กล่าวพูด ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง

สีหน้าของกลุ่มเมิ่งเจียงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธทันที และพอกำลังจะเอ่ยพูด เห้อเฟิงก็ผลักแก้วน้ำโค้กบนโต๊ะ แก้วน้ำโค้กล้มคว่ำไป จนโต๊ะเปียกเลอะเทอะ

“เอาสิ เสี่ยวเอ้อร์ รีบมาเช็ดโต๊ะให้สะอาด” เห้อเฟิงชี้ไปที่น้ำโค้กที่หกอยู่บนโต๊ะ แล้วเอ่ยสั่งพวกเมิ่งเจียงด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

สองมือของเมิ่งเจียงกำหมัดแน่น พยายามระงับความโกรธอย่างเต็มที่ แล้วจับผ้าไปเช็ดน้ำโค้กบนโต๊ะ แต่เห้อเฟิงกลับยกชามที่ใส่มันฝรั่งทอดกรอบในชาม แล้วเทใส่มือของเขา

มันฝรั่งทอดกรอบทั้งหมดถูกเทใส่มือของเมิ่งเจียง จนมันกลิ้งลงมาจากมือของเขาจนเกลื่อนกลาดเต็มโต๊ะ

กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ “เห้อเฟิง อย่ารังแกกันเกินไปนะ!”

“ข้าพอใจ! ข้าเสีบเงินมากินข้าวที่นี่ ดังนั้นพวกเจ้าต้องบริการข้าให้ดี!”

กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่รีบพูดสนับสนุน: “ใช่แล้ว พวกข้าเป็นลูกค้า พวกเจ้าก็ควรบริการพวกข้าให้ดี! ยังไม่รีบเช็ดโต๊ะให้สะอาดอีก? ไม่อย่างนั้นพวกข้าจะบอกให้เจ้าของร้านไล่พวกเจ้าออก!”

ทั้งอัปยศอดสู! และโกรธแค้น!

กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เจ้าต้องออกหน้าจัดการเสียแล้ว” โจวกุ้ยหลานหันไปพูดกับไป๋ยี่เซวียน

ไป๋ยี่เซวียนพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นจากจุดคิดเงิน แล้วเดินไปยังจุดเกิดเหตุ

ไป๋ยี่เซวียนยังเดินไปไม่ถึง ก็ได้ยินนักเรียนจากสำนักบัณฑิตไป๋ลู่พูดเยาะเย้ยอีกครั้ง “เสี่ยวเอ้อร์ พวกเจ้ารีบทำความสะอาดสิ ถ้าพวกเจ้าไม่ทำความสะอาด พวกข้าจะทำให้สกปรกอีกได้อย่างไร”

“เห้อเฟิง เจ้าอย่าสบประมาทผู้อื่นแบบนี้!” จ้าวจงตี้ตะโกนตะโกนพูดด้วยความโกรธออกมาอย่างอดไม่ไหว

“ข้าสบประมาทผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?” เห้อเฟิงทำท่าทีไม่เข้าใจ ก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง แล้วถามคนรอบข้าง “ข้าสบประมาทพวกเขาหรือ”

กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่พูดเสียงดัง “สบประมาทตรงไหน? พวกข้ามาที่นี่เพื่อทานอาหาร แล้วพวกข้าก็จ่ายเงินแล้วด้วย!”

“ใช่แล้ว พวกข้าจ่ายเงินแล้ว รับใช้พวกข้าก็เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ?”

เห้อเฟิงเอ่ยถาม ก่อนจะหยิบมันฝรั่งทอดกรอบขึ้นมา แล้วขว้างใส่หน้าเมิ่งเจียงทำให้ใบหน้าของเมิ่งเจียงเจ็บแสบ

กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ทำตาม หยิบมันฝรั่งทอดกรอบที่เลอะน้ำโค้กขึ้นมา แล้วขว้างใส่กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซาน

กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานกัดฟันกรอด อยากจะโต้กลับ แต่ถูกเมิ่งเจียงยื่นแขนออกมา ขวางหน้าพวกเขา เพื่อห้ามพวกเขาไว้

“โอ๊ะ นี่กลัวพวกข้าแล้วหรือไง ฮ่าฮ่าฮ่า! ทำเป็นอวดเก่งดันัก เจ้าพวกคนจน!” กลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ตะโกนด่าว่าอย่างสะใจ เหมือนได้ล้างแค้นแล้ว

ลูกค้ารอบๆ เห็นเหตุการณ์นี้ก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้

คำโบราณบอกไว้ว่า เวลาทะเลาะกับคนอื่น ห้ามพูดแทงใจดำใส่ และคนกลุ่มนี้ยังเป็นนักเรียนอีก เหตุใดถคงดูถูกดูแคลนผู้อื่นแบบนี้ออกมาได้?

มีผู้ใหญ่หลายคนก้มหน้าลงไปสอนลูกหลาน ทำแบบนี้มันผิด ห้ามทำตามเด็ดขาด

“เกิดอะไรขึ้น” เสียงของไป๋ยี่เซวียนแทรกขึ้นมา นำเสียงของเขาราบเรียบ

พอเห็นว่าเป็นเถ้าแก่ของร้านมาแล้ว ผู้คนที่ยืนมุงดูอยู่รอบๆ ก็แยกทางให้ จนเป็นทางเดินให้เขาเดินเข้าไป

หลังจากเดินเข้าไปได้ ไป๋ยี่เซวียนก็เห็นดวงตาสีแดงก่ำของเมิ่งเจียงคู่นั้น รวมถึงคราบน้ำมันและน้ำโค้กบนใบหน้าของเขา ดวงตาของเขาเป็นประกาย มุมปากยกขึ้น และยิ้มอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปมองกลุ่มนักเรียนของสำนักบัณฑิตไป๋ลู่ที่กำลังยืนกอดอก ท่าทางอวดเบ่ง

“เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านท่านนี่ยังไงกัน โต๊ะของพวกข้าสกปรกหมดแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ของร้านท่านยังไม่ทำความสะอาดอีก”

เห้อเฟิงเชิดหน้าขึ้น แล้วมองไปทางไป๋ยี่เซวียน

เจ้าของร้านแบบนี้เขาเห็นมามากแล้ว ขอแค่สามารถทำเงินได้ พวกเขาก็จะเข้าข้างลูกค้าเสมอ

ลูกค้าคือพระเจ้า เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว!

“เห้อเฟิง! อย่าทำให้มันมากเกินไปนัก!” เมิ่งเจียงสีหน้าบึ้งตึง และคำรามออกมาอย่างโกรธเคือง

เขาเมิ่งเจียงผู้นี้ เคยถูกสบประมาทแบบนี้เมื่อไหร่?

โจวกุ้ยหลานที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงนี้ จึงรู้ว่าเมิ่งเจียงกำลังโกรธมากจริงๆ

นางขมวดคิ้วและมองไปที่จุดเกิดเหตุ ในเวลานี้มีคนมุงดูจนแน่น ทำให้นางมองไม่เห็นเหตุการณ์ข้างใน แต่นางยังได้ยินเสียง จึงเดาได้ว่ากลุ่มเมิ่งเจียงถูกรังแกอย่างไรบ้าง

แต่ว่า ตอนนี้ไป๋ยี่เซวียนเข้าไปแล้ว นางจึงไม่ต้องกังวลอีกต่อไป

เพิ่งคิดได้แบบนี้ นางก็ได้ยินเสียงที่สุภาพของไป๋ยี่เซวียนดังขึ้นมา “เดี๋ยวข้าช่วยพวกท่านเช็ดโต๊ะเอง”

“ไม่ต้อง! พวกข้าจะให้พวกเมิ่งเจียงเช็ดโต๊ะให้สะอาด!”

โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นตรงจากจุดคิดเงิน และเดินไปข้างใน

“ในเมื่อลูกค้าอยากให้พวกเจ้าเช็ดโต๊ะ พวกเจ้าก็เช็ดเถอะ” ไป๋ยี่เซวียนหันไปมองทางเมิ่งเจียงและคนอื่นๆ

ทุกคนมองไปทางไป๋ยี่เซวียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ หนึ่งในนั้นทนไม่ได้ จึงชี้ไปที่กลุ่มเห้อเฟิง แล้วพูดกับไป๋ยี่เซวียน “พี่ไป๋พวกเขาต่างหากที่ผิด! เป็นพวกเขาที่จงใจจะสบประมาทพวกข้า แต่ท่านยังช่วยพวกเขาอีกหรือ?”

“พวกเราเปิดร้านทำการค้าขาย แน่นอนว่าต้องเคารพลูกค้าเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ลูกค้าจะอายุมากกว่าลูกค้าที่เป็นเด็กๆ ในร้าน พวกเจ้าก็ห้ามดูถูกพวกเขา ที่พวก้ขาซุ่มซ่ามและขว้างปาข้าวของไปทั่วแบบนี้”

ไป๋ยี่เซวียนยังคงมีท่าทีที่อ่อนโยน

ทุกคนขมวดคิ้ว ก่อนจะคิดตาม เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแฝงอยู่ในคำพูดนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เห้อเฟิงขมวดคิ้วแล้วถาม

ไป๋ยี่เซวียนหันกลับมา แล้วพูดอย่างสุภาพ “ข้ากำลังสั่งสอนเด็กในร้านของข้า ให้พวกเขาปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเท่าเทียมกัน”

ท่าทีของเขาดีมาก สุภาพอ่อนโยน และดูเหมือนว่าเขากำลังสั่งสอนพวกเมิ่งเจียงอยู่ แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแฝงอยู่ในคำพูด ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก

พวกเมิ่งเจียงเองก็ฟังออกว่ามีบางอย่างผิดปกติแฝงอยู่ในคำพูดนี้ แต่พวกเขายังคงไม่เข้าใจท่าทีของไป๋ยี่เซวียน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ก้มหน้าลง และนิ่งเงียบไป

พอเห็นว่าพวกเขาฟังไม่เข้าใจ ไป๋ยี่เซวียนจึงหันกลับมาและตำหนิเด็กในร้านของเขาต่อ “ข้าเคยสอนพวกเจ้าไว้อย่างไร? ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ต้องดูแลพวกเขาอย่างดี หรือเพราะว่าเด็กๆ ที่มาทานอาหารร้านเราจะกินข้าวอย่างมีมารยาท และไม่กินเลอะเทอะ พวกเจ้าก็เลยละเลยหน้าที่ไปใช่หรือไม่”

พอรวมคำพูดนี้เข้ากับสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้า ในที่สุดทุกคนก็ฟังออกว่าไป๋ยี่เซวียนท่าทางเหมือนกำลังตำหนิฝ่ายตนเอง แต่แท้จริงแล้วกำลังตำหนิอีกฝ่าย