บทที่ 441 ภัยคุกคามของพลังวิเศษทลายมรรคา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 441 ภัยคุกคามของพลังวิเศษทลายมรรคา

เกาะสำนักซ่อนเร้นพุ่งออกไปจากสมรภูมิของเหล่าอริยะ หานเจวี๋ยคัดลอกตบะฝูซีเทียนและเทพสูงสุดหนานจี๋ได้สำเร็จลุล่วง เตรียมตัวไว้สำหรับไปท้าทายอริยะในภายหน้า

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงแข็งแกร่งเกินไป หานเจวี๋ยไม่เคยประมือกับเขา จึงต้องการอริยะคนอื่นมาช่วยเป็นตัวกลางในการเปลี่ยนผ่าน

ไม่นานเกาะสำนักซ่อนเร้นก็หยุดสั่นไหว และเคลื่อนออกมาจากสมรภูมิของอริยะได้สำเร็จ

ทีแรกหานเจวี๋ยกลัวว่าอริยะจะบุกเข้ามาหาเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

‘ทำไมฝูซีเทียนถึงต่อสู้กับเทพสูงสุดหนานจี๋’

หานเจวี๋ยถามในใจ เขาก็กลัวว่าอริยะทั้งสองจะจัดฉากแสดงละคร

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[เพื่อช่วงชิงดวงชะตาอันยิ่งใหญ่ ทั้งสองต่างมีจิตสังหารอันแน่วแน่]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น หมายความว่าอริยะทั้งสองไม่ได้แสดงละคร พวกเขาต่อสู้กันอยู่จริงๆ

เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ขอแค่ไม่พุ่งเป้ามาที่เขาก็ดีแล้ว

เกาะสำนักซ่อนเร้นเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลายเดือนผ่านไป หานเจวี๋ยจึงหยุดมือ

เท่านี้น่าจะห่างจากอริยะทั้งสองมาไกลพอสมควรแล้ว

‘ข้าอยากรู้ว่าเกาะสำนักซ่อนเร้นถูกสิ่งมีชีวิตนอกเกาะค้นพบหรือไม่’ หานเจวี๋ยถามคำถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[เบื้องต้นยังไม่มี]

หานเจวี๋ยโล่งใจอย่างถึงที่สุด รอยยิ้มที่หายไปนานปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

ดวงจิตประหลาดโน้มตัวลงมา และเริ่มถูไถตัวเขา

หานเจวี๋ยสั่งให้ดวงจิตประหลาดนวดให้กับตนเอง

หลังจากผ่านมานาน ดวงจิตประหลาดก็เคยชินกับเรื่องนี้ มันถึงขั้นคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ

หานเจวี๋ยหลับตาลงและพึมพำกับตัวเอง “เจ้านี่นะ เมื่อจะรู้จักโตขึ้นเสียที”

ดวงจิตประหลาดไม่ตอบรับ สติปัญญาของมันไม่ได้ไม่พัฒนาขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว มันพอจะเข้าใจคำพูดของหานเจวี๋ยอยู่บ้าง แต่มันไม่สามารถโต้ตอบได้

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เกรงว่าถ้าโตเต็มที่ มีสติปัญญาเป็นของตนเองแล้วจะคิดกำจัดหานเจวี๋ยทิ้ง

จากนั้น หานเจวี๋ยก็ตรวจสอบบริเวณโดยรอบเป็นครั้งคราว ด้วยกลัวว่าอริยะจะตามมาอีก

เวลาผ่านไปอีกห้าสิบปี

อริยะไม่ปรากฏตัวบริเวณรอบอาณาเขตเต๋าอีก

หานเจวี๋ยผ่านการทะลวงระดับครั้งล่าสุดมาห้าร้อยปีแล้ว

แต่เขาก็ยังห่างไกลจากระดับเซียนทองต้าหลัวระยะปลายอยู่พอสมควร

สมแล้วที่เป็นต้าหลัว ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จภายในสองพันปีน่าจะเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ

ไม่นานมานี้ งานประลองประจำศตวรรษของสำนักซ่อนเร้นเพิ่งจะสิ้นสุดลง เนื่องจากจ้าวเซวียนหยวนเป็นระดับเทพเพียงคนเดียว ดังนั้นหานเจวี๋ยจึงจัดให้เขาสู้กับหลี่ว์ปู้และหม่าเชา

ผลลัพธ์น่ะหรือ…

จ้าวเซวียนหยวนถึงกับเซื่องซึมไปเลย

เขาเอาชนะองครักษ์ทั้งสองไม่ได้ เพราะสองคนนี้ต่างก็เป็นลูกน้องของหานเจวี๋ย

ดังนั้นจ้าวเซวียนหยวนจึงฝึกบำเพ็ญและทำแบบจำลองการทดสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย

เขาไม่ได้บอกว่าเผชิญกับอะไรมา แต่คนอื่นๆ ก็ถูกเขากระตุ้นไปด้วย แม้แต่บุตรแห่งสวรรค์ระดับเทพยังขยันขันแข็งขนาดนี้ แล้วพวกเขาจะปล่อยให้ตนเองหย่อนยานได้อย่างไร

ในช่วงเวลาหนึ่ง บรรยากาศการแข่งขันในเกาะสำนักซ่อนเร้นก็พลันร้อนแรงขึ้นมา

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยกำลังอ่านจดหมายอยู่

อัตราการปรากฏตัวของอริยะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ฉิวซีไหลสหายคนสนิทของเขาก็ยังถูกอริยะโจมตี

วุ่นวายไปหมด ปวงสวรรค์หมื่นโลกาเละเทะไปหมดแล้ว

ในตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงเสียงเรียกขานมาจากอาณาเขตฟ้าบุพกาลอย่างกะทันหัน

เดาว่าน่าจะเป็นเต้าจื้อจุนอีกแล้ว

หานเจวี๋ยว่างอยู่พอดี จึงมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตฟ้าบุพกาล

เมื่อเข้าสู่อาณาเขตฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยก็เห็นเต้าจื้อจุนและโจวฝาน

เต้าจื้อจุนโพล่งขึ้นมาทันที “สหาย ช่วยพวกเราด้วย!”

หานเจวี๋ยถาม “ตำแหน่งและศัตรูเล่า”

“เขาเก้าสวรรค์ อริยะสำนักพุทธ ฉิวซีไหล”

“เช่นนั้นท่านรอความตายไปแล้วกัน”

“ช้าก่อน สหาย!”

“เช่นนั้นท่านก็ว่ามา จะให้ข้าช่วยตามหาใครให้”

“ตามหาฝูซีเทียน!”

“จะไปตามหาได้อย่างไร”

หานเจวี๋ยหมดคำพูด รู้สึกว่าเต้าจื้อจุนสมองฟั่นเฟือนไปแล้ว

โจวฝานเอ่ยขึ้น “ท่านสามารถขอให้จักรพรรดิฟางตามหาฝูซีเทียนได้ ตอนนี้เผ่ามนุษย์และวังสวรรค์กำลังสั่นคลอนจากการครอบงำของอริยะ เป็นไปได้ที่จะมีศัตรูร่วมกัน”

หานเจวี๋ยถามด้วยความประหลาดใจ “เผ่ามนุษย์และวังสวรรค์จะมีศัตรูร่วมกันได้อย่างไร และถึงแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอริยะ พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้านิ่งในทันที”

โจวฝานกล่าวว่า “มีข่าวลือว่าอริยะบางท่านตั้งใจที่จะทำลายปวงสวรรค์กวาดล้างสรรพชีวิต หลังจากนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งมวลภายใต้อริยะจะตกตายจนหมด เผ่ามนุษย์และวังสวรรค์ที่กำลังสั่นคลอนจึงต้องร่วมมือกันโดยปริยาย”

หานเจวี๋ยตกตะลึง

ได้ฟังเช่นนี้แล้ว เหตุใดมันช่างฟังดูคุ้นๆ เหมือนกับพลังวิเศษทลายมรรคาเลย

เป็นไปได้หรือไม่ว่าอริยะเองก็มีพลังวิเศษทลายมรรคาเช่นกัน

หานเจวี๋ยถามในใจทันที ‘ในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์ มีใครครอบครองพลังวิเศษทลายมรรคาบ้าง’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[ในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์มีสองคนที่มีพลังวิเศษทลายมรรคา ได้แก่ฉิวซีไหล และอริยะมิ่งจี]

‘มีจริงๆ ด้วย!’ หานเจวี๋ยรู้สึกถึงภัยคุกคามขึ้นมาทันที

หากอริยะสำแดงพลังวิเศษทลายมรรคา เขาจะไม่ตายไปด้วยหรือ?

‘เวรกรรม! ในตอนที่หยั่งรู้สรรพชีวันเท่าเทียม เหตุใดจึงไม่คิดถึงเรื่องพรรค์นี้บ้างหนอ’

ยิ่งคิดมากเท่าไร หานเจวี๋ยก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น

โจวฝานถาม “ผู้อาวุโส ท่านเห็นด้วยหรือไม่”

หานเจวี๋ยย้อนถาม “แล้วข้าจะได้อะไร”

เต้าจื้อจุนตอบกลับ “หลังจากเรื่องนี้สิ้นสุดลง ข้าจะเข้าร่วมสำนักของท่าน เป็นข้ารับใช้ของท่านตั้งแต่บัดนี้ไป เช่นเดียวกันกับจ้าวเซวียนหยวน”

“ก็ได้” หานเจวี๋ยจากไปอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งท้ายไว้สั้นๆ

เมื่อกลับมาถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน เขาก็ร้อนรนนั่งไม่ติดที่

มารดามันเถอะ!

พลังวิเศษทลายมรรคาตกอยู่ในมือของคนอื่น มันจะส่งผลต่างกันลิบลับ ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยคิดว่ามันเป็นเพียงซี่โครงไก่เท่านั้น แต่มาคิดดูแล้ว มันน่ากลัวเอาเรื่องเลยทีเดียว

“แต่อริยะไม่น่าจะกล้าใช้งานมันง่ายดายถึงเพียงนั้น ใครจะอยากทำลายขอบเขตพลังขนาดใหญ่กันเล่า”

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

ทันทีที่กวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดแล้ว ต้องบาดหมางกับอริยะท่านอื่นๆ และในท้ายที่สุดระบบเต๋าของอริยะก็จะยึดครองแดนเซียนทั้งหมด

ในเวลานั้น ผู้สำแดงพลังก็จะต้องสูญเสียขอบเขตพลังขนาดใหญ่ไป ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการรอคอยความตาย

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘หากอริยะสำแดงพลังวิเศษทลายมรรคา ข้าจะตายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[เบื้องต้นยังเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากอาณาเขตเต๋าห่างไกลจากมหาเคราะห์ ห่างไกลจากมรรคาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตภายในอาณาเขตเต๋าจะไม่ตาย]

ดวงตาของหานเจวี๋ยเบิกกว้าง เขาพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด

เช่นนั้นก็ดี!

เขากลัวจนเกือบจะสิ้นลมเสียแล้ว

“หากมองแบบนี้ ก็แสดงว่าระหว่างฉิวซีไหลและอริยะมิ่งจี ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งคิดก่อการอยู่จริงๆ” หานเจวี๋ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด

เมื่อหานเจวี๋ยคิดถึงพวกจักรพรรดิสวรรค์ ซูฉี เซวียนฉิงจวิน ฟางเหลียง โจวฝาน ก็บังเกิดความลังเลขึ้นมาอีกครา หรือว่าควรจะเร่งมือให้เร็วขึ้นอีกหน่อย

‘ช่างมันเถอะ ไว้ค่อยว่ากันคราวหลัง ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ อย่าได้คิดจะยั่วยุอริยะจะดีกว่า’

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ข้าอยากรู้ว่าฉิวซีไหล และอริยะมิ่งจีคิดจะสำแดงพลังวิเศษทลายมรรคาหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหกพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[อริยะทั้งสองยังไม่มีแรงจูงใจในขณะนี้]

หานเจวี๋ยคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง

ความคิดเพ้อเจ้อผุดขึ้นมาในหัวของเขา หรือพลังวิเศษทลายมรรคาที่เขาหยั่งรู้เมื่อก่อนหน้านี้จะถูกอริยะล่วงรู้เข้า

อย่าบอกเชียว มันเป็นไปได้จริงๆ สินะ!

ตัวตนที่ระบุไม่ได้หยั่งรู้พลังวิเศษทลายมรรคา อริยะจะไม่ระแวงกันเองได้อย่างไร

‘แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พลังวิเศษทลายมรรคากลับกลายเป็นเครื่องมือสังหาร หากในอนาคตมีใครคิดจะต่อกรกับข้า หากสถานการณ์คับขัน ข้าก็จะใช้สรรพชีวันเท่าเทียมข่มขู่พวกมัน ตราบใดที่พวกมันยังไม่อยากทำลายล้างระบบเต๋าก็คงไม่กล้าลงมือกับข้า’

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

หลังจากคิดดูแล้ว พลังวิเศษเช่นนี้อย่าเปิดเผยออกไปจะดีที่สุด น่ารังเกียจจนเกินไป

หานเจวี๋ยนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา และติดต่อกับฟางเหลียง

ไม่นาน จิตนึกคิดก็เชื่อมต่อกันสำเร็จ

หานเจวี๋ยถาม “ข้ามีเรื่องจะรบกวนเจ้าอย่างหนึ่ง”

ฟางเหลียงไม่ตอบ

หานเจวี๋ยสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จึงถามต่อว่า “เจ้ายังอยู่หรือไม่”

น้ำเสียงที่แข็งกร้าวดังขึ้นมา “อยู่”

‘อยู่กับแม่เจ้าสิ!’

หานเจวี๋ยตัดการเชื่อมต่อจิตนึกคิดทันที เสียงนี้ไม่ใช่ฟางเหลียงอย่างแน่นอน!

………………………………………………..