บทที่ 442 ตระกูลฟาง สาปแช่งอริยะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 442 ตระกูลฟาง สาปแช่งอริยะ

หานเจวี๋ยสงสัยว่าเสียงเข้มๆ เมื่อครู่คือใคร เขาไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน หรือจะเป็นอริยะกันแน่

หานเจวี๋ยรู้สึกร้อนใจ จึงใช้ความสามารถวิวัฒนาการเพื่อตรวจสอบทันที

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[ฟางฮวงจุน: ไม่ทราบตบะ ผู้นำตระกูลฟาง]

‘หืม? ตระกูลฟาง?’

เขานึกถึงฟางเหลียงที่มีแซ่เดียวกันเป็นอันดับแรก เป็นไปได้หรือไม่ว่าฟางเหลียงจะมาจากตระกูลฟาง

แต่ภูมิหลังของฟางเหลียงไม่เคยเอ่ยถึงตระกูลฟางมาก่อน

หานเจวี๋ยถามต่อ ‘ฟางเหลียงมีความสัมพันธ์กับตระกูลฟางอย่างไร’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

[ฟางเหลียงเป็นบรรพบุรุษของตระกูลฟาง]

‘บรรพบุรุษ! ยิ่งใหญ่ปานนั้นเชียว?’

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดฟางเหลียงถึงย้อนกลับไปยังบรรพกาลหลายครั้งหลายครา ที่แท้ก็ไปสร้างเผ่าพันธุ์ของตนนี่เอง

ช่างคิดจริงๆ

หานเจวี๋ยรู้สึกปละหลาดใจเล็กๆ ที่ตระกูลฟางมีครึ่งอริยะอยู่ด้วย

แดนเซียนช่างเป็นถิ่นพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบเสียจริง

สาเหตุหลักคือแดนเซียนนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เขาทำได้เพียงสังเกตการณ์ผ่านจดหมายเท่านั้น ทำให้จนถึงทุกวันนี้เขายังไม่อาจเข้าใจแดนเซียนทั้งหมดได้อย่างถ่องแท้

อย่างไรเสียก็เป็นลูกหลานของฟางเหลียง น่าจะคุยกันได้

หานเจวี๋ยหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา และติดต่อฟางฮวงจุนอีกครั้ง

ไม่นาน จิตนึกคิดก็เชื่อมต่อกันสำเร็จ

ฟางฮวงจุนถาม “หืม?”

หานเจวี๋ยกล่าว “เมื่อครู่เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย จักรพรรดิสวรรค์ฟางอยู่หรือไม่”

“พระองค์ไม่อยู่ ท่านคงจะเป็นอาจารย์ปู่ของพระองค์ ฝ่าบาทฝากฝังเอาไว้แล้ว ว่าหากมีเรื่องอะไรให้มาหาข้าได้เลย”

หานเจวี๋ยบอกเล่าเรื่องของเต้าจื้อจุนและโจวฝาน

ฟางฮวงจุนกล่าว “ข้าจะนำความไปแจ้งให้กับจักรพรรดิสวรรค์ฟางเอง”

“อืม”

ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบ

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังจะตัดการเชื่อมต่อจิตนึกคิด จู่ๆ ฟางฮวงจุนก็ถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายใดหรือ ข้าน้อยคือฟางฮวงจุน ผู้นำตระกูลฟางแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม ในแดนเซียนยังมีตระกูลย่อยอยู่อีก”

แดนเทพหวนปัจฉิม…

มิน่าเล่าหานเจวี๋ยถึงไม่เคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมาก่อน

หานเจวี๋ยกล่าว “แดนเทพตงอู๋ ซุนเฉวียน”

“แดนเทพตงอู๋? เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เจ้ากล้าพูดว่ารู้จักดินแดนทุกแห่งหนหรือ”

“ก็จริง”

ฟางฮวงจุนตกอยู่ในห้วงความคิดของตน

หานเจวี๋ยไม่พูดมากให้เสียเวลา รีบตัดการเชื่อมต่อพลังจิตทันที

“เจ้าเด็กนี่ ไม่คิดว่าจะทำการใหญ่เช่นนี้ ว่าแต่การที่เขาทำเช่นนี้จะไม่เป็นการดึงดูดความสนใจของอริยะหรอกหรือ” หานเจวี๋ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด

อริยะจะยอมให้มีการเดินทางข้ามเวลา และสร้างกลุ่มอิทธิพลของตนขึ้นมาตามใจชอบได้อย่างไร

อริยะล่วงรู้อดีตและอนาคต การเดินทางข้ามกาลเป็นเหมือนการละเล่นของเด็กในสายตาของพวกเขา

ช้าก่อน หรือว่าบรรพชนเต๋าจะช่วยเหลือฟางเหลียงอยู่อย่างลับๆ? เป็นไปได้มากทีเดียว! อย่างไรเสียบรรพชนเต๋าก็เลือกฟางเหลียงเป็นผู้สืบทอด

ดูเหมือนว่าหานเจวี๋ยจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับฟางเหลียง เจ้าเด็กนั่นตายยากอยู่แล้ว

“แม้แต่ฟางเหลียงยังรู้จักวางตัว เห็นทีต่อไปข้าก็คงต้องระวังให้มากขึ้นแล้ว”

หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างเงียบงัน หนทางสู่มหามรรคไม่ใช่เพียงการฝึกตบะให้แข็งแกร่งแล้วก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ

เมื่อใดที่เต้าจื้อจุนได้รับความช่วยเหลือ และเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น เมื่อนั้นรายชื่อบุตรแห่งสวรรค์แห่งสำนักซ่อนเร้นก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเผ่าเทพอีกาทอง!

บุตรที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งฟ้าดิน!

บุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเทพ!

บุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์!

บรรพชนพุทธแห่งสำนักพุทธ!

ความหวังสุดท้ายของเผ่าจอมเวท!

ช้าก่อน!

เมื่อศิษย์เหล่านี้เติบโตขึ้น พวกเขาจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังที่สุดในภายภาคหน้าและเกรียงไกรที่สุดของยุคสมัย

สิ่งที่หานเจวี๋ยต้องทำคือนำหน้าพวกเขาในด้านของตบะ เพื่อที่จะสามารถควบคุมพวกเขาได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อทันที

ขอทะลวงระดับเซียนทองต้าหลัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

สามสิบปีผ่านไป

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็เข้าใกล้ระยะปลายของระดับเซียนทองต้าหลัว และเห็นโอกาสในการทะลวงระดับ

ในใจของเขารู้สึกปลื้มปริ่ม มีแค่การทะลวงระดับเท่านั้นที่เป็นความสุขอย่างแท้จริง

เขาอ่านจดหมายขณะที่ฝึกบำเพ็ญ

เกิดการรบราฆ่าฟันขึ้นทุกที่!

ทันใดนั้นเขาก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่ง

[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอริยะมรรคาสวรรค์] x3

ถูกล้อมโจมตีอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าสังเวชจริงๆ!

เขาไล่สายตาลงมาและอ่านจดหมายอีกฉบับหนึ่ง

[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านได้รับวิชาสืบทอดจากอริยะ ศึกษาพลังวิเศษทลายมรรคา สั่นสะเทือนมรรคาสวรรค์]

หืม?

พลังวิเศษทลายมรรคา!

อริยะในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึงฉิวซีไหล เช่นนั้นก็ต้องเป็นอริยะมิ่งจีเท่านั้น

ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน! ตาเฒ่าผู้นี้คิดจะยืมมือซูฉีสังหารคนบริสุทธิ์!

พูดถึงซูฉี หานเจวี๋ยก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยมีอริยะยืมมือซูฉีเพื่อเข้าหาหานเจวี๋ยเช่นกัน

อริยะจินอัน! คนผู้นี้เหมือนจะเป็นเซียนทองนิกายเจี๋ยหรือไม่

ช้าก่อน! นิกายเจี๋ยมีอริยะมรรคาสวรรค์สองคนอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยนึกย้อนไปถึงข้อมูลของอริยะจินอันในตอนแรกเริ่ม

[จินอัน: ไม่ทราบตบะ อริยะมรรคาสวรรค์ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต หนึ่งในเซียนทองนิกายเจี๋ย เนื่องจากคำนวณถึงผลกรรมของซูฉีและท่าน จึงจงใจส่งซูฉีไปวนเวียนอยู่รอบแดนต้องห้ามอันธการ เพื่อที่จะได้พบกับท่าน]

ใช่แล้ว อริยะมรรคาสวรรค์นั่นเอง!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตอนนี้มีอริยะมรรคาสวรรค์ที่ปรากฏตัวออกมาแล้วทั้งสิ้นเจ็ดคน

หนี่ว์วา ฝูซีเทียน เทพสูงสุดหนานจี๋ ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย อริยะมิ่งจี อริยะจินอัน!

เหลืออีกสองคนที่ยังไม่รู้ตัวตน

อริยะมิ่งจีตกลงทำสัญญาลับอะไรกับนิกายเจี๋ยหรือไม่กัน

ไม่มีทาง!

หานเจวี๋ยไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมาเอาเปรียบลูกศิษย์ของตนเด็ดขาด

ดวงชะตาสุดอาภัพของซูฉีช่วยกำจัดศัตรูให้กับหานเจวี๋ยมาแล้วนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังไม่ค่อยก่อเรื่องให้หานเจวี๋ยต้องปวดหัว ศิษย์แบบนี้สิที่หานเจวี๋ยรู้สึกเอ็นดู

‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดอริยะมิ่งจีจึงถ่ายทอดพลังวิเศษทลายมรรคาให้กับซูฉี’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการ!

จิตนึกคิดของหานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

ในห้วงอากาศว่างเปล่า มีคนสองคนมารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ หานเจวี๋ยมองเห็นใบหน้าของพวกเขาไม่ชัดเจน

หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมา “มิ่งจี เจ้าเลือกได้หรือยัง”

อริยะมิ่งจีตอบ “ตอนนี้ยังเลือกไม่ได้ ในระหว่างมหาเคราะห์ ผลกรรมพันพัวสลับซับซ้อน ลงมือได้ไม่ง่ายนัก”

“ฝั่งข้ามีอยู่คนหนึ่ง ไม่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ เดิมทีเป็นศิษย์นิกายเจี๋ยของข้า ภายหลังเข้าสู่วังสวรรค์ในฐานะดาวตัวซวย ตอนนี้ตัดขาดผลกรรมจากวังสวรรค์และนิกายเจี๋ยแล้ว นอกจากนี้ยังข้องเกี่ยวกับตัวแปรที่บรรพชนเต๋าตั้งขึ้นมา น่าจะรับหน้าที่นี้ได้”

“แบบนี้จะไม่เป็นการก้าวล่วงตัวแปรนั่นหรอกหรือ”

“คนผู้นี้ปิดด่านฝึกบำเพ็ญตลอด จะมาล่วงรู้แผนการของข้าได้อย่างไร ข้าเดาว่าตัวเขาไม่ได้ใส่ใจดาวตัวซวยมากมายขนาดนั้น ต่อให้ดาวตัวซวยตายไป เขาก็ไม่ใส่ใจหรอก”

“พาข้าไปยลโฉมเขาหน่อยเถิด หากเหมาะสมก็ให้เขาเป็นผู้ทำลายล้างโลก”

“อืม”

ภาพลวงตาวิวัฒนาการสลายไป

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น

มีแผนร้ายจริงๆ ด้วย ซ้ำยังรู้ว่าซูฉีเกี่ยวข้องกับเขา และต้องการจะทำลายซูฉีอีก

แบบนี้หานเจวี๋ยจะสามารถอดทนอดกลั้นได้หรือ หรือจะเข้าฝันไปเตือนซูฉีสักหน่อยดี? ไม่ได้ แบบนี้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

‘หากข้าสาปแช่งอริยะมรรคาสวรรค์โดยใช้หนังสือแห่งความโชคร้ายจะถูกจับได้หรือไม่’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[ไม่ได้ หนังสือแห่งความโชคร้ายไม่ยึดโยงกับผลกรรม อาณาเขตเต๋าปิดกั้นจิตนึกคิดระดับมรรคาสวรรค์]

หานเจวี๋ยไม่ได้เพิ่งถามอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก ที่สำคัญคือเขาทำไปก็เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้กับตนเองเท่านั้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะจัดการกับอริยะ อย่างน้อยก็ต้องสั่งสอนพวกเขาเสียบ้าง

หานเจวี๋ยขังดวงจิตประหลาดไว้ในบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร และหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งอริยะมิ่งจี

ไม่ได้ถึงขั้นทำร้าย เพียงแต่จะทำให้อริยะมิ่งจีรู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น

ภายในอารามเต๋าแห่งหนึ่ง เทียนเล่มใหญ่สาดแสงต้องโดนกายของอริยะมิ่งจี ทำให้เงาของเขาดูเล็กจ้อยลงไปถนัดตา

อริยะมิ่งจีสวมชุดคลุมสีเขียวอมฟ้าเข้ม เรือนผมเป็นสีดำตัดขาว ใบหน้าสงบนิ่ง

ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้นพลางนับนิ้วคำนวณ จากนั้นจึงยิ้มออกมา

“มีคนกล้าสาปแช่งอริยะ แต่ข้ากลับคำนวณไม่ได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นฝีมือของอริยะคนอื่น” อริยะมิ่งจีพึมพำกับตัวเอง ดวงตาวาววับ

………………………………………………..