บทที่ 427 ภาพออกแบบที่แปลกประหลาด

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

สุชาดารู้สึกแต่เพียงว่าเสียงหัวเราะของพวกเธอได้ทิ่มแทงแก้วหูมาก จึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “พอได้แล้ว ห้ามหัวเราะ ใครกันที่หน้าด้าน”

“ใครรับก็หมายถึงคนนั้น” เชอรีนตอบกลับอย่างเย็นชา

“นี่เธอ……”

“พอได้แล้ว” โสรยาเปล่งเสียงตำหนิ “เธอยังรู้สึกอายไม่พอหรือไง ถ้าเธอยังจะก่อเรื่องแบบนี้อีก ก็อย่าไปเข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติกับฉันอีก และฉันก็จะส่งเธอกลับทันที จากนั้นเลือกนางแบบคนใหม่”

สุชาดาได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป และหุบปากทันที

โสรยาถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แล้วมองมาทางวารุณี “ คุณวารุณีคะ ต้องขอโทษด้วย ที่เกิดเรื่องน่าอับอายขึ้น”

วารุณีลูบผม “ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคุณโสรยาถึงได้เลือกสุชาดามาเป็นคู่หูในการทำงาน”

โสรยาดวงตากะพริบ ยิ้มแล้วตอบกลับ :“อาจเป็นเพราะถูกชะตามั้ง”

“อย่างนั้นแววตาของคุณดูไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่” ปาจรีย์กระซิบ

โสรยาสีหน้าเย็นชาฉับพลัน เพียงครู่เดียวก็ระงับเอาไว้ได้ จากนั้นฉีกยิ้มขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ คุณวารุณี ฉันขอตัวไปเช็กอินก่อนนะ แล้วเจอกันอีกทีในสนามแข่งขันค่ะ”

“ค่ะ” วารุณีพยักหน้ารับ

โสรยากับสุชาดาทั้งสองเดินตรงไปด้านหน้า

เชอรีนมองแผ่นหลังของทั้งคู่ แล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่าทางการเดินของโสรยาคนนั้นดูแข็งทื่อมาก”

“แข็งทื่อ?” วารุณีกับปาจรีย์มองไปที่ขาของโสรยา

“ก็ไม่นิ ทำไมฉันดูไม่ออก” ปาจรีย์กล่าว

เชอรีนที่ท่าท่างจริงจัง “มันแข็งทื่อจริง ๆ นะ พวกเธอดูไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติ ฉันเป็นนางแบบ ได้รับการฝึกฝนการเดินมา ดังนั้นฉันสามารถดูท่าทางที่ผิดปกติของโสรยาออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ดูแข็งทื่อ โดยเฉพาะตรงช่วงหัวเข่า โค้งผิดธรรมชาติมาก”

“อาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดก็ได้มั้ง” ปาจรีย์ตอบกลับ

เชอรีนพยักหน้า “อาจจะใช่มั้ง เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นแบบนี้เลย เฮ้ยนั่นอะไร”

เธอมองไปทางที่โสรยายืนก่อนหน้านี้ ตรงนั้นมีสมุดบันทึกวางอยู่หนึ่งเล่ม

วารุณีอยู่ใกล้สมุดบันทึกมากที่สุด จึงได้ก้มลงไปหยิบขึ้นมา “น่าจะเป็นของโสรยาลืมไว้ เดี๋ยวเอาไปคืนเธอที่สนามแข่งขันแล้วกัน”

“ดูข้างในก่อนว่าคืออะไร” ปาจรีย์กล่าว

วารุณีรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะ ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ

สมุดบันทึกในมือก็ถูกปาจรีย์แย่งไป

ปาจรีย์เปิดดู แล้วเอียงศีรษะ “แปลกจัง”

“ทำไมเหรอ” วารุณีจ้องมองเธอ

ปาจรีย์ยื่นสมุดบันทึกไป “ด้านในนี้ล้วนเป็นภาพของการออกแบบชุดเสื้อผ้า แต่ว่าดูธรรมดามาก ดูไม่เหมือนว่าแบบจะออกมาจากฝีมือของโสรยา

ต้องเข้าใจว่าโสรยากับวารุณีนั้นเหมือนกัน เป็นที่รู้จักกันในฐานะหนึ่งในนักดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถมากคนหนึ่งของประเทศ

ผลงานของโสรยา เธอก็เคยเห็น ไม่ต่างไปจากวารุณี แต่ว่าภาพออกแบบในนี้ ไม่ได้กล่าวเกินไปถ้าจะบอกว่าถูกออกแบบโดยดีไซเนอร์ที่กระจอกคนหนึ่ง ซึ่งดูไม่สอดคล้องกับความสามารถของโสรยา

“ใช่จริง ๆ ด้วย” เชอรีนก็พยักหน้า “การออกแบบเหล่านี้ดูธรรมดามาก ไม่แตกต่างจากตลาดทั่วไป ดูไม่ได้มาตรฐานระดับสูงเลยสักนิด”

วารุณีไม่ได้พูดอะไร ขมวดคิ้วแล้วเปิดดูเรื่อย ๆ จนถึงภาพออกแบบหน้าสุดท้าย เป็นไปตามคาด ดูธรรมดา

ดูไม่เหมือนเป็นการออกโสรยาจริง ๆ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ประชาสัมพันธ์ของสนามบินก็ได้ประกาศให้ทุกคนสามารถขึ้นเครื่องได้

วารุณีปิดสมุดบันทึกลง “ไม่ต้องคิดแล้ว บางทีอาจจะเป็นการออกแบบของลูกน้องโสรยาก็ได้”

“ใครจะไปพกของของลูกน้องล่ะ ฉันคนหนึ่งละที่ไม่พก” ปาจรีย์พึมพำ

เชอรีนพยักหน้า “ฉันก็ไม่พก”

วารุณียิ้ม “พวกเธอไม่พก ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่พก พอเถอะ ปาจรีย์ช่วงไม่กี่เดือนที่ฉันไม่อยู่ บริษัทต้องฝากเธอดูแลแล้วนะ”

“วางใจเถอะ” ปาจรีย์ตบที่หน้าอกของเธอ

วารุณีมองเชอรีน “พวกเราไปกันเถอะ”

เชอรีนตอบอืม จากนั้นลากกระเป๋าเดินเข้าไปทางขึ้นเครื่องบิน

หลังจากสิบชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินก็ลงจอด

วารุณีลงจากเครื่อง เพิ่งจะเดินออกจากสนามบิน ก็มีคนของนัทธีที่ได้เตรียมไว้มารับ

นัทธีมีบ้านอยู่ที่นี่ ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่แข่งขันมาก ด้วยเหตุนี้วารุณีจึงไม่จำเป็นต้องพักโรงแรม

เชอรีนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ มองสำรวจรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นราวกับเด็กบ้านนอกเข้ากรุง “วารุณี สุดยอดไปหรือเปล่า คฤหาสน์นี้สวยงามมาก”

วารุณีเองก็รู้สึกว่าคฤหาสน์นนี้สวยงามมากจริง ๆ

“ประธานนัทธีนี้ช่างรวยมากจริง ๆ” เชอรีนกล่าว

วารุณียิ้ม อย่างนั้นเธอก็ค่อย ๆ เพลิดเพลินกับมันแล้วกันนะ ฉันไปคุยโทรศัพท์ก่อน”

“ฉันรู้นะ โทรไปรายงานความปลอดภัยกับประธานนัทธีล่ะสิ ไปเถอะ ๆ” เชอรีนโบกมือ

วารุณีวางกระเป๋าเดินทางลง แล้วเดินไปที่ระเบียง

ในเวลานี้ เป็นเวลาช่วงค่ำของประเทศตัวเอง

วารุณีโทรศัพท์ติดนัทธี แต่สิ่งแรกที่ดังลอยออกมากลับเป็นเสียงของไอริณ “หม่ามี๊……”

เสียงเด็กน้อยค่อนข้างสะอึกเล็กน้อย ราวกับว่าเพิ่งจะร้องไห้เสร็จ

วารุณีกังวลใจจึงรีบถามขึ้น “ลูกจ๋า เป็นอะไรคะ”

คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอกนะ

“คิดถึงหม่ามี๊ ไม่อยากจากหม่ามี๊” ไอริณจมูกฟุดฟิด ตอบกลับด้วยน้ำเสียงบางเบา

วารุณีอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น แต่ว่าในความกังวล ยังคงรู้สึกแปลบจี๊ดในหัวใจ “หม่ามี๊ก็คิดถึงหนูเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้หม่ามี๊ก็กำลังคุยกับหนูอยู่นี่ไง”

“แต่ว่าหม่ามี๊ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ หนูนิหน่า” ไอริณดวงตาค่อย ๆ แดงก่ำขึ้น

วารุณีอยากจะวาร์ปเข้าไปในโทรศัพท์แล้วกลับประเทศไป จากนั้นกอดลูกสาวไว้ในอ้อมกอดของเธอ

แต่ว่าก็ทำไม่ได้ เธอทำได้เพียงปลอบประโลมเธอย่างอ่อนโยน:“ลูกจ๋า เมื่อวานเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าหม่ามี๊ออกมาทำงาน หนูก็ได้รับปากหม่ามี๊ว่าจะไม่ร้องไห้ ทำไมถึงยังร้องไห้อีกล่ะ”

“ขอโทษค่ะหม่ามี๊” ไอริณกะพริบตาที่คลอด้วยน้ำใส ๆ “หนูแค่คิดถึงเรื่องที่หม่ามี๊ต้องจากหนูไปนาน ๆ หนูก็เลยร้องไห้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจของวารุณีก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี

เพราะว่าตั้งแต่ที่ลูก ๆ ทั้งสองเกิดมา เธอก็ไม่เคยทิ้งลูกนานเป็นเดือน

จึงไม่แปลกใจที่สาวน้อยไม่รู้สึกถึงความปลอดภัย

“ลูกจ๋า อย่าร้องไห้นะ คิดถึงหม่ามี๊ก็โทรหาหม่ามี๊ จากนั้นรอคุณพ่อว่าง ก็ให้คุณพ่อพาหนู ๆ มาหาหม่ามี๊ดีไหม” วารุณีพูดปลอบใจ

ไอริณสะอึกสะอื้น “ค่ะ”

“เก่งมาก” วารุณียิ้ม “พี่กับคุณพ่อล่ะคะ”

“อยู่ข้าง ๆ ค่ะ”

“อย่างนั้นเอาโทรศัพท์ไปให้พี่หน่อยสิคะ ให้พี่คุยกับหม่ามี๊หน่อยดีไหม”

ไอริณตอบอืมแล้วก็นำโทรศัพท์ไปให้อารัณ

อารัณถึงแม้ว่าจะคิดถึงวารุณีเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกับไอริณที่อยู่ห่างจากเธอไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีการร้องไห้

ยิ่งวารุณีรู้สึกเบาใจเรื่องของเขา ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล

เพราะว่าเด็กที่รู้เรื่องและโตเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป จะทำให้พ่อแม่สูญเสียความสนุกจากการเกลี้ยกล่อมปลอบประโลมลูกได้ง่าย

อารัณคุยกับวารุณีสักพัก จากนั้นถึงได้ยื่นโทรศัพท์ไปให้เจ้าของโทรศัพท์

นัทธีแนบโทรศัพท์ไว้ที่ข้างใบหู “ถึงนานหรือยัง”

วารุณีเอนหลังไปพิงรั้วระเบียงแล้วกล่าว:“เพิ่งจะถึงคฤหาสน์ก็รีบโทรศัพท์หาคุณเลย ดูสิ ฉันใส่ใจคุณไหม”

นัทธีหัวเราะ “อืม”

“อืมนี่แปลว่าอะไรของคุณ” วารุณีกลอกตามองบน

นัทธีเงียบไปครู่หนึ่ง “อย่างนั้นคุณอยากให้ผมตอบกลับว่าอะไร คุณบอกว่า ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้คุณพอใจ”

“ช่างมันเหอะ นิสัยของคุณไม่เหมาะที่จะพูดคำเหล่านั้น” วารุณียิ้มแล้วกล่าว

นัทธีก็ไม่ฝืนใจเธอ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนา “ใช่แล้ว นวิยาได้ย้ายออกไปแล้วนะ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” วารุณียืนตรงขึ้น

เมื่อตอนบ่าย พิชิตมาช่วยเธอขนของ” ริมฝีปากของนัทธีขยับตอบกลับเบา ๆ

มุมปากวารุณีค่อย ๆ ยกขึ้น ที่ใบหน้าแปะคำว่าดีใจไว้ “อย่างนั้นก็ดี แต่ว่าคุณนวิยาคงไม่ค่อยอยากจะย้ายออกไปสินะ คุณได้เห็นท่าทางของเธอตอนนั้นไหมว่าเป็นอย่างไร”

“ไม่เห็น ตอนนั้นผมไม่อยู่” นัทธีส่ายหน้าเบา ๆ

“เสียดายจัง” วารุณีถอนหายใจเบา ๆ

เธอยังอยากจะให้เขาเล่าท่าทางของนวิยาตอนนั้นให้ฟังสักหน่อย ต้องน่าดูมากอย่างแน่นอน