ตอนที่ 132-1 บิดาพบบุตรสาว
เฉียวเวยมองเจ้าตัวเล็กที่กระโดดไม่หยุด แล้วคลี่ยิ้มจางๆ “ข้าก็คิดว่าตัวอะไร ที่แท้ก็ลิงอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง”
จูเอ๋อร์พองขน
เฉียวเวยตบหัวเล็กๆ ของมัน แล้วเลิกคิ้ว “ในเมืองมีลิงได้เช่นไร บอกมาตามตรง มีคนบงการอยู่เบื้องหลังเจ้าใช่หรือไม่”
จูเอ๋อร์ถูกพละกำลังเบาๆ (มหาศาล) ตบจนสมองเกือบกระจายออกมา มันดิ้นรนสุดชีวิต แต่จนปัญญาที่พละกำลังของมนุษย์ผู้นี้มากเกินไปแล้วจริงๆ มันดิ้นจนขนอันมีค่าหลุดไปหนึ่งกระจุกก็ยังหนีจากฝ่ามือของอีกฝ่ายไม่พ้น
จูเอ๋อร์ยอมแพ้แล้ว แขนขาหมดแรง ห้อยอยู่กลางอากาศเหมือนศพลิงตัวหนึ่ง
เฉียวเวยแก้เชือกมัดผม แล้วมัดไว้กับคอของเจ้าลิงน้อยน่าชัง “แค้นมีต้นตอ หนี้มีเจ้าของ เจ้าเป็นเพียงเดรัจฉานน้อยตัวหนึ่ง ข้าไม่ถือสาหาความเจ้า รีบพาข้าไปพบเจ้านายของเจ้าเสีย มิเช่นนั้นข้าจะจับเจ้าตุ๋น ทำเป็นหม้อไฟสมองลิง!”
จูเอ๋อร์ร้องอู้ๆ แล้วกระโดดลงพื้น นำเฉียวเวยเดินเข้าไปยังเรือนผุพังที่ไร้คนอาศัย
ห้องนอนไม่มีเตียง บนพื้นมีบุรุษสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนหนึ่งนอนอยู่ เขาดูแล้วอายุราวสี่สิบปี หน้าตาสง่างาม ท่าทางดูสุภาพ รอบริมฝีปากมีตอหนวดสีเขียวครึ้มขึ้นอยู่ สีหน้าไม่ดีนักคล้ายว่าป่วยไข้ แล้วก็ดูเหมือนไม่มีแรง
เฉียวเวยชี้เขา แล้วถามเจ้าลิงอัปลักษณ์ “นี่คือเจ้านายของเจ้าหรือ”
จูเอ๋อร์กระโดดไปถึงข้างตัวหมอพเนจร แล้วตบมือน้อยๆ สีดำสนิทลงบนหน้าของหมอพเนจร
หมอพเนจรไม่ตอบสนอง
เฉียวเวยเดินเข้าไปแล้วลงมานั่งยองๆ ตรวจดูลมหายใจของหมอพเนจรเป็นอย่างแรก เมื่อแน่ใจว่ายังมีลมหายใจจึงคว้าข้อมือของหมอพเนจรขึ้นมาจับชีพจร เป็นหวัด แล้วก็ตัวร้อนเล็กน้อย
ข้างตัวเขามีตะกร้าอยู่ใบหนึ่ง สมุนไพรหล่นกระจายเต็มพื้น ดูสภาพคงเป็นหมอผู้หนึ่ง
โรคมาดั่งเขาล้ม แม้เป็นหมอก็มีช่วงเวลาที่หมอรักษาตัวเองไม่ได้
เฉียวเวยเก็บสมุนไพรใส่กลับคืนตะกร้าสมุนไพรทีละต้น เก็บพลางก็บอกไปด้วย “เจ้าตัวจ้อย เจ้านับว่ามีมโนธรรม รู้จักขโมยของในโรงเตี๊ยมมาให้เจ้านายของเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบประโยคก็เห็นจูเอ๋อร์กอดลูกชิ้นกุ้งเย็นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังกินไม่หมด เคี้ยวง่ำๆ อย่างไม่คิดจะแบ่งเจ้านายเลยสักนิด
เฉียวเวย “…”
เสี่ยวไป๋อย่าได้คิดทำเช่นนี้กับนางเชียว มิเช่นนั้นนางจะบีบคอมันให้ตายแน่!
“ถือว่าท่านโชคดีที่มาพบข้าเข้า” เฉียวเวยแบกบุรุษผู้นั้นขึ้นหลัง มือหนึ่งหิ้วตะกร้าของเขา อีกมือหนึ่งมัดห่อผ้าสัมภาระของเขาไว้บนหลังของเจ้าลิงน้อยน่าเกลียด
จูเอ๋อร์ถูกตามใจจนเสียลิงแล้ว มันไม่ทำงานใช้แรงงานเช่นนี้หรอก มันสะบัดห่อผ้าทิ้งแล้วมุดเข้าไปในตะกร้า
เฉียวเวยฟาดฝ่ามือใส่หัวของมัน “เสี่ยวไป๋บ้านข้าตัวเล็กกว่าเจ้ายังรู้จักช่วยงานในบ้านเลย! เจ้ากลับกล้าเกียจคร้าน หากแอบเกียจคร้านอีกเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจับเจ้าไปทำน้ำแกงสมองลิงเสียเดี๋ยวนี้!”
จูเอ๋อร์แบกห่อผ้าที่ใหญ่กว่าตัวมันเองอย่างจำนนต่อชะตากรรม ห่อผ้าไม่ได้ถูกจูเอ๋อร์สะพายหลัง แต่ถูกจูเอ๋อร์ลากไปกับพื้น จูเอ๋อร์เดินออกจากบ้านตามหลังเฉียวเวยอย่างน่าสงสาร
สตรีนางหนึ่งแบกบุรุษคนหนึ่งบนหลังก็เรียกผู้คนให้หันหลังกลับมามองมากพออยู่แล้ว แต่ด้านหลังยังมีลิงตัวน้อยหน้าตาประหลาดตัวหนึ่งเดินตามอีก
ลิงน้อยตัวนั้นไม่รู้ว่าว่าไปฉกผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาจากตัวผู้ใด เดินไปก็ใช้ผ้าเช็ดหน้า ‘ซับน้ำตา’ ไปด้วย มืออีกข้างก็ปิดปาก สะอื้นไห้ หัวไหล่สั่นระริก
ทุกคนพากันมองดูจูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์ชี้เฉียวเวยที่อยู่ด้านหน้าอย่างหวาดหวั่นและคับแค้น
ตั้งแต่พริบตาที่เฉียวเวยแบกบุรุษผู้นั้นออกมาก็ทำใจไว้แล้วว่าจะถูกมุงดู นางเข้าใจว่าในยุคที่บุรุษสตรีมิอาจสัมผัสใกล้ชิดกัน การกระทำของตนย่อมถูกผู้คนมากมายกลอกตาใส่ แต่เพราะเหตุใดสายตาของผู้คนคล้ายจะไม่ได้มีเพียงความรังเกียจเพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงความ….โกรธเกรี้ยวจางๆ เอาไว้ด้วย
เจ้าลิงจ้อยอัปลักษณ์ตัวนั้นทำเรื่องไม่ดีอะไรอีกหรือเปล่า!
เฉียวเวยหยุดฝีเท้า หันขวับกลับไปมองจูเอ๋อร์
จูเอ๋อร์เก็บผ้าเช็ดหน้าปานสายฟ้าแลบ ยืดอกน้อยๆ อย่างองอาจและฮึกเหิม แล้วมองเฉียวเวยอย่างเป็นมิตร ฉีกยิ้มน่ารักให้อีกที
เฉียวเวยหันกลับไปอย่างแปลกใจ
จูเอ๋อร์ ‘ร้องไห้’ อย่างเจ็บปวดรวดร้าวใหม่อีกหน
เฉีวเวยหันกลับไปอีกครั้ง จูเอ๋อร์ก็ยิ้มน้อยๆ ให้อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า คนที่เดินผ่านทางก็มองออกแล้วว่าจูเอ๋อร์กำลังหลอกพวกเขา ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขันจริงๆ
ระหว่างทางเฉียวเวยใคร่ครวญว่าควรจะพาคนผู้นี้ไปที่ใดจึงจะเหมาะสม จะไปโรงหมอ นางก็เคยมีประสบการณ์ไปหาโรงหมอในเมืองมาแล้วจึงไม่วางใจฝีมือและจรรยาบรรณของหมอ หากจะหาหยูกยาให้แล้วส่งคนไปโรงเตี๊ยมก็เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดดูแล หรงจี้มีคนมาก ให้มาดูแลเขาสักหน่อยไม่เป็นปัญหา แต่การที่หรงจี้คนมากตัวมันเองก็เป็นปัญหาประการหนึ่ง นางไม่ต้องการให้ตัวเองมีข่าวว่าเลี้ยงหนุ่มน้อยสองคนอย่างยิ่นอ๋องกับหมิงซิว แล้วยังมีข่าวลือว่านางเลี้ยงหนุ่มแก่เพิ่มมาอีก แม้ว่าหนุ่มแก่คนนี้จะหน้าตาดีเลิศก็ตาม
เฉียวเวยนึกสงสัยว่าตนเองคงไม่ใช่สตรีคลั่งหน้าตาจริงๆ กระมัง เพราะเขาหน้าตาหล่อ นางจึงเก็บเขามาหรือ
ความฉงนเล็กๆ นั่น ไม่ได้รับการคลี่คลาย
ในที่สุดเฉียวเวยก็พาคนไปส่งที่พรรคชิงหลง
พี่น้องที่พรรคชิงหลงกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ เสียงตะโกนดังขึ้นเป็นพักๆ ฟังดูน่าเกรงขาม
จูเอ๋อร์ตกใจกลัวเล็กน้อยจึงผลุบหนีกลับไปด้านนอก
เฉินต้าเตาเพิ่งรำหมัดจบหนึ่งเพลง เมื่อหันหน้ามาก็เห็นเฉียวเวยแบกบุรุษคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตู เขาอึ้งครู่หนึ่งก็ก้าวออกไปต้อนรับ “ลูกพี่ใหญ่! ท่านมาทำไมหรือ”
เฉียวเวยหมดคำจะพูด ไม่พบหน้ากันไม่กี่วัน นางกลายเป็นลูกพี่ใหญ่ได้อย่างไร
เฉินต้าเตารีบเรียกพี่น้องทั้งหลาย “ผู้นี้คือหัวหน้าพรรคเฉียวแห่งพรรคชิงหลง ลูกพี่ใหญ่ของข้า แล้วก็เป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกเจ้าด้วย!”
ทุกคน “คารวะลูกพี่ใหญ่!”
เสียงดังสนั่นจนแก้วหูจะแตก
เฉียวเวยขนหัวลุกซู่ “ไม่ต้องเรียกลูกพี่ใหญ่ รีบหาห้องให้ข้าเร็ว”
“ไปห้องข้าก็แล้วกัน!” เฉินต้าเตานำเฉียวเวยไปยังห้องของตนเอง ยามนี้พรรคชิงหลงไม่ยากจนข้นแค้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาจ้างหญิงรับใช้มาทำความสะอาด ปัดกวาดเรือนทั้งหลังจนสะอาดเรียบร้อย แน่นอนว่าเป็นความสะอาดในแบบฉบับของเฉินต้าเตา ห่างจากมาตรฐานของเฉียวเวยอีกไกลยิ่งนัก
เฉียวเวยวางหมอพเนจรลงบนเตียง
เฉินต้าเตาเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าซอมซ่อ แต่หน้าตาดียิ่งนัก จึงถามอย่างฉงน “ลูกพี่ใหญ่ เขาเป็นผู้ใดหรือ”
“ไม่รู้จัก เก็บมาได้ระหว่างทาง” เฉียวเวยวางตะกร้าลง
เฉินต้าเตาตาโตอ้าปากค้าง “เก็บมาจากข้างทาง ท่าน…ไม่กลัวเป็นคนชั่วหรือ” เก็บคนจากข้างทางกลับบ้าน ท่านเป็นคนจิตใจดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ตอนนั้นที่ไล่สังหารพวกเราเหตุไฉนไม่เห็นท่านเป็นโพธิสัตว์เดินดินเช่นนี้!
เฉียวเวยแสร้งฟังน้ำเสียงหยอกล้อของเขาไม่ออก แล้วคลี่ยิ้มตอบว่า “กลัวสิ ดังนั้นข้าถึงพามาที่นี่ของพวกเจ้าอย่างไรเล่า พวกเจ้าคนชั่วฝูงหนึ่งคงจะจัดการกันเองได้ไม่ยากใช่หรือไม่”
เฉินต้าเตาเหงื่อตก สมควรพูดว่า ‘ถึงอย่างไรพวกเจ้าแต่ละคนก็องอาจน่าเกรงขาม คงจะไม่จัดการคนชั่วคนหนึ่งไม่ได้ใช่หรือไม่’ สิ
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากัน จูเอ๋อร์ก็แบกห่อผ้าเดินเข้ามาเกาะขาโต๊ะ แลบลิ้น ท่าทางใกล้เหนื่อยตายเต็มทน
เฉินต้าเตาถูกเจ้าตัวจ้อยที่เข้ามาอย่างกะทันหันทำเอาตกใจสะดุ้งโหยง “เฮ้ย อะไรวะ!”
จูเอ๋อร์โยนห่อผ้าทิ้ง สองตากลอกขึ้นด้านบน แล้วหงายหลังล้มลงกับพื้น!
เฉินต้าเตาตกตะลึง “ตายแล้วหรือ”
เฉียวเวยมองจูเอ๋อร์แล้วหัวเราะเยาะ “ตายแล้วก็ดี รีบฉวยโอกาสตอนที่ยังสดใหม่ รีบควักสมองลิงออกมา ทำหม้อไฟอร่อยยิ่งนัก เนื้อนั่นน่ะนุ่มนักแหละ!”
จูเอ๋อร์สูดลมหายใจดังเฮือก ลุกพรวดขึ้นมานั่งทันควัน มันมองตัวเอง แล้วก็มองพื้น แสร้งทำท่าทำนองว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดข้ามานั่งอยู่บนพื้นได้เล่า
เฉินต้าเตาตาค้าง
ในตะกร้าของหมอพเนจรมีสมุนไพรอยู่ เฉียวเวยจัดสมุนไพรสามชุดส่งให้เฉินต้าเตา “กินวันละชุด ตอนเช้าต้มหนหนึ่ง ตกกลางคืนเติมน้ำร้อนอีกหน ทานหลังอาหาร จำได้ว่าต้องใช้ไฟอ่อน น้ำสามถ้วยต้มให้เหลือหนึ่งถ้วยก็ใช้ได้แล้ว”
เฉินต้าเตาหยิบห่อยาขึ้นมา “ได้ ข้าจำได้แล้ว”
เฉียวเวยเดินมาถึงริมเตียง มองดูหมอพเนจรที่หมดสติอยู่ ไม่รู้เพราะเหตุใด บุรุษผู้นี้จึงทำให้นางรู้สึกสนิทใจด้วยอยู่เล็กน้อย นางรู้จักตนเองดี นางไม่นับว่าเป็นคนดี หากวันนี้ผู้ที่หมดสติอยู่ตรงหน้านางเปลี่ยนเป็นคนอื่น นางก็คง…เดินจากไปทั้งอย่างั้น
ที่แท้เพราะสาเหตุใด นางจึงพาบุรุษผู้นี้กลับมาด้วย
แล้วยังไม่ได้พาไปโรงเตี๊ยม ไม่ได้พาไปส่งทางการ แต่กลับพามายังสถานที่ซึ่งนางคิดว่าปลอดภัยที่สุด
เฉียวเวยกุมมือหมอพนเจร
นอกจากลูกน้อยทั้งสองคน นางไม่ชินกับการใกล้ชิดกับผู้อื่นนัก ต่อให้เป็นหมิงซิว นางก็ยังรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่มากก็น้อย แต่บุรุษผู้นี้ ยามนางกุมมือเขากลับไม่มีความรู้สึกต่อต้านแม้แต่น้อย นี่ช่างแปลกนัก
หรือว่าตนเองจะต้องตาต้องใจเขาจริงๆ
“ลูกพี่ใหญ่ เหตุใดท่านยังไม่ไปอีก ฟ้าใกล้มืดแล้วนะ” เฉินต้าเตาเอายาไปให้ท่านป้าที่ดูแลห้องครัวเสร็จก็ย้อนกลับมา เมื่อเห็นเฉียเวยกุมมือสกปรกของบุรุษผู้นั้น มองบุรุษผู้นั้นเหมือนกำลังคิดบางสิ่งก็ถามว่า “ท่านเป็นอันใดไป”
เฉียวเวยชักมือกลับ แล้วถอนหายใจอย่างแปลกใจ “ต้าเตา”
“หืม”
“เขาหน้าตาดีหรือไม่”
เฉินต้าเตาก้มหน้าลงไปมอง “หน้าตาดีนะ!”
เป็นหนึ่งในบุรุษผู้รูปงามที่สุดที่ต้าเตาเคยเห็นมาอย่างแน่นอน
เฉียวเวยเท้าคาง จ้องหมอพเนจรเขม็ง
เฉินต้าเตาร้อนใจ “ท่านคงไม่ได้ถูกตาต้องใจเขาหรอกกระมัง เขาอายุเป็นบิดาท่านได้แล้ว! อย่าหาว่าข้าไม่เตือนท่าน ตอนนี้ท่านเป็นคนมีเจ้าของแล้ว”
เฉียวเวยกลอกตาใส่เขา “ดูแลให้ดี”
ดูแลให้ดีหมายความว่าอย่างไร ฮูหยิน ท่านคงไม่ได้ถูกตาต้องใจผู้อื่นจริงๆ ใช่หรือไม่ ท่านเลี้ยงบุรุษลับหลังอัครมหาเสนาบดีจะดีจริงๆ หรือ แล้วยังเลี้ยงไว้ที่ฐานทัพของข้าอีก วันไหนอัครมหาเสนาบดีลงโทษขึ้นมา ท่านจะให้ข้ารับไหวได้เช่นไร
เฉินต้าเตารู้สึกว่าหลังคอเย็นวาบล่วงหน้า
เฉียวเวยออกจากพรรคชิงหลงก็ไม่คิดเรื่องบุรุษผู้นั้นอีก นางเป็นคนอารมณ์มาไวไปไว เมื่อไม่มีสัมภาระอะไรแล้ว นางก็ตั้งใจจะเดินกลับหมู่บ้าน เพิ่งเดินเข้าถนนหลัก รถม้าคันหนึ่งก็จอดเบื้องหน้า
ผู้ดูแลฉิวเลิกม่านจากด้านในรถม้า ใบหน้ายิ้มแย้มมองมาที่นาง “เฉียวฮูหยิน จะกลับหมู่บ้านหรือ”
“ผู้ดูแลฉิว” เฉียวเวยคลี่ยิ้มทักทาย
ผู้ดูแลฉิวตบรถม้าแล้วกล่าวว่า “ข้ากำลังจะไปหาเหล่าเจิ้งพอดี หากไม่ถือสาข้าจะพาท่านไปส่ง”
เฉียวเวยตอบอย่างฉับไว “ยินดีอย่างยิ่ง”
กล่าวจบ ก็ขึ้นรถม้าอย่างว่องไวยิ่งนัก
นี่หากเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่น ไหนเลยจะยอมโดยสารถม้าร่วมกับบุรุษนอกตระกูล ต่อให้ในใจอยากขึ้น เบื้องหน้าก็ต้องกระมิดกระเมี้ยน เฉียวฮูหยินผู้นี้ เรียกได้ว่าเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมา นิสัยเปิดเผยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ
ผู้ดูแลฉิวยิ้มแล้วขยับที่ให้นาง
เฉียวเวยนั่งลง แตกต่างจากสตรีที่นั่งบนเก้าอี้เพียงครึ่งก้นเหล่านั้น นางนั่งลงมาบนเก้าอี้เต็มก้นอย่างจริงๆ จังๆ ทำเช่นนี้สิถึงสบาย
“เฉียวฮูหยินป็นคนที่ใด นิสัยช่างต่างจากสตรีจงหยวนของพวกเรา” ผู้ดูแลฉิวถามขึ้นมา
“คนเตียนตู” เฉียวเวยตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด
ผู้ดูแลฉิวพยักหน้า แล้วว่าต่อ “ชีเหนียงสบายดีหรือไม่”
เฉียวเวยเหล่มองเขา “ยังไม่ตัดใจอีกหรือ”
ผู้ดูแลฉิวหัวเราะ ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ “เลิกพูดถึงข้าเถิด ต่อจากนี้เฉียวฮูหยินมีแผนการอย่างไรบ้าง”
มือที่ยกขึ้นเช็ดเหงื่อของเฉียวเวยชะงัก “ข้า? ข้ามีแผนการอะไร”
ผู้ดูแลฉิวตอบ “เฉียวฮูหยินมีแผนว่าจะเป็นแม่มายเช่นนี้ต่อไปตลอดชีวิตหรือ”
เฉียวเวยร้อนเหลือเกินจึงปัดเส้นผมไปไว้หลังหัวไหล่ “วาสนาฟ้ากำหนดมิอาจฝืน”
ผู้ดูแลฉิวมองนางอย่างมีเลศนัย “ดูท่าคงหาพบแล้ว”
เฉียวเวยตกตะลึง
ผู้ดูแลฉิวหัวเราะ “ข้าเป็นคนผ่านโลกมาแล้ว แม่นางน้อยมีความรักหรือไม่ ข้าก็ดูออกอยู่”
เฉียวเวยสบสายตามีเลศนัยของเขา ทันใดนั้นม่านตาก็หดเล็กวูบหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นปิดลำคอ
น่าเสียดายผู้ดูแลฉิวเห็นแล้ว พยายามปกปิดอีกก็ไร้ประโยชน์
ผู้ดูแลฉิวหัวเราะอยู่พักหนึ่งก็หยิบสุราไหหนึ่งออกมาจากใต้เก้าอี้ “นี่เป็นสุราองุ่นภูเขาที่นายท่านหกนำมาจากข้างนอก รสชาติยอดเยี่ยมยิ่งนัก มอบให้เฉียวฮูหยินหนึ่งไห ขอบคุณที่เฉียวฮูหยินมอบเห็ดป่าให้”
เฉียวเวยยังไม่เคยดื่มสุราอองุ่นภูเขามาก่อน นึกตะกละขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอดไม่ไหว จึงรับไหมาด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ “ขอบคุณมาก”
ตอนมาถึงหมู่บ้าน ผู้ดูแลฉิวก็อ้างว่าจะตรวจสอบคุณภาพไม้เดินขึ้นเขาตามมาด้วย
นอกโรงงาน ชีเหนียงกำลังปัดกวาดพลางพูดคุยอยู่กับปี้เอ๋อร์
ผู้ดูแลฉิวก้าวเข้าไปเอ่ยทักทาย “ชีเหนียง” แล้วหันไปมองปี้เอ๋อร์ “คนนี้คือ…”
ชีเหนียงจับมือปี้เอ๋อร์แล้วว่า “นางคือปี้เอ๋อร์ ทำงานที่โรงงานด้วยกัน ปี้เอ๋อร์ นี่คือผู้ดูแลฉิว สหายของฮูหยิน”
ปี้เอ๋อร์คำนับ “ผู้ดูลฉิว”
ผู้ดูแลฉิวผงกศีรษะให้เป็นการทักทาย หลังจากนั้นจึงมองไปหาชีเหนียงแล้วถามว่า “เมื่อครู่พวกเจ้าคุยอันใดกันหรือ”
ชีเหนียงหลุบตาลงตอบว่า “มิได้คุยอะไรมาก ปี้เอ๋อร์อยากจะซื้อบ้านสักหลังในตัวเมืองให้บิดามาดาของนาง”
“ซื้อบ้านก็มาหาข้าสิ ข้าบังเอิญรู้จักสหายอยู่หลายคน ในมือมีบ้านต้องการขาย” ผู้ดูฉิวหันไปมองปี้เอ๋อร์ “เจ้าต้องการซื้อบ้านใหญ่เท่าใดเล่า แบบสองประตูกั้นหรือว่า…”
ปี้เอ๋อร์รีบตอบ “ไม่ต้องใหญ่ปานนั้น เรือนหลังเล็กธรรมดาๆ ก็พอ”
ผู้ดูแลฉิวเอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนโยน “พวกเจ้ามีวันหยุดเมื่อใด ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู”
ชีเหนียงตอบอย่างกระอักระอ่วน “นั่นจะรบกวนมากเกินไป”
ผู้ดูแลฉิวยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้ากับฮูหยินของพวกเจ้าเป็นสหายกัน เรื่องเล็กน้อยเท่านี้มิใช่ปัญหา”
สถานที่ใหญ่เท่าฝ่ามือย่อมปิดข่าวไม่มิด ผู้ดูแลฉิวเพิ่งรับปาก เฝิงซื่อก็ทราบเรื่องแล้ว เฝิงซื่อเรียกปี้เอ๋อร์เข้าไปในห้อง ด่าอย่างไม่เกรงใจใส่หน้า “เจ้าเด็กเวรปีกหล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ ข้าบอกไม่ให้เจ้าซื้อบ้าน ไม่ให้เจ้าซื้อบ้าน เจ้าเห็นคำพูดมารดาเป็นลมผ่านหูหรือ เจ้าคิดจะทำอะไร อยากจะทำให้พวกเราอดตายใช่หรือไม่! ข้าให้กำเนิดลูกล้างลูกผลาญอย่างเจ้าออกมาได้อย่างไร!”
ปี้เอ๋อร์ข่มกลั้นโทสะ เกลี้ยกล่อมด้วยดี “ท่านแม่ บ้านในตัวเมืองไม่ได้แพงเท่ากับเมืองหลวง ใช้เงินไม่เท่าไร ท่านคิดจะอาศัยบ้านผู้อื่นอยู่ทั้งชีวิตหรือไร ต้องคิดเพื่อน้องชายด้วยสิ ท่านไปอาศัยในตัวเมือง ไปร่ำเรียนในตัวเมือง ไม่ดีกว่าหมกตัวอยู่บนภูเขาเช่นนี้หรือ ข้าได้ยินว่าอาจารย์ของสำนักศึกษาในตัวเมืองล้วนเป็นบัณฑิตจวี่เหริน[1] มีความรู้มากกว่าท่านอาจารย์ที่เป็นซิ่วไฉที่นี่มาก”
[1] บัณฑิตจวี่เหริน บัณฑิตที่ผ่านการสอบระดับมณฑล