เล่ม 1 ตอนที่ 132-2 บิดาพบบุตรสาว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 132-2 บิดาพบบุตรสาว

ไม่ว่าเรื่องใดขอเพียงเกี่ยวข้องกับบุตรชาย ท่าทีของเฝิงซื่อล้วนไม่แข็งเช่นนั้นแล้ว “ถ้าเช่นนั้นต้องใช้เงินเท่าใด”

“ใช้เงินเพื่อน้องชาย ท่านแม่ไม่ยินดีหรือ” ปี้เอ๋อร์ถาม

แน่นอนว่ายินดี แต่ภูเขาเงินภูเขาทองก็มีวันที่กินจนหมด หากเงินค่าตั้งตัวนั่นหมดไป แล้วบุตรชายของพวกเขายังเอาดีไม่ได้จะทำเช่นไรเล่า

เฝิงซื่อกลอกลูกตา แล้วคลี่ยิ้มถามว่า “ปี้เอ๋อร์ ผู้ดูแลฉิวที่มาวันนี้เขาทำงานอะไร”

ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ผู้ดูแลโรงอิฐกับโรงไม้ ท่านถามเรื่องนี้ทำอะไร”

เฝิงซื่อเขยิบเข้ามาใกล้ คล้องแขนของบุตรสาวแล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เขากระตือรือร้นช่วยเรื่องของบ่าวรับใช้เช่นนี้ ถูกตาต้องใจเจ้าหรือไม่”

ปี้เอ๋อร์ถลึงตา “ท่านแม่! ท่านพูดเหลวไหลอะไร ผู้ดูแลฉิวพูดถึงรูปโฉมมีรูปโฉม พูดถึงเงินทองมีเงินทอง จะมาถูกตาต้องใจสาวใช้ยากจนเช่นนี้อย่างข้าหรือ”

เฝิงซื่อแค่นเสียงหยัน “ทำไมจะถูกตาต้องใจไม่ได้ ข้าคลอดเจ้าออกมางดงามปานนี้ ตอนอยู่ตระกูลเฉียวหากมิใช่ฮูหยินรองขวางไว้ นายท่านรองก็เอาเจ้าเป็นอนุภรรยานานแล้ว”

“เป็นอนุภรรยามันดีมากหรือไร” ปี้เอ๋อร์ชักแขนออก แล้วหมุนตัวไปพับเสื้อผ้า

เฝิงซื่อเดินตามมา “เหตุใดจะไม่ดีเล่า เจ้าดูเหมยอี๋เหนียงสิ ก่อนหน้านี้ผู้อื่นก็เป็นสาวใช้คนหนึ่งเหมือนกัน ตอนนี้มีหน้ามีตามากเท่าใด ฮูหยินรองยังอิจฉานางแทบตาย”

ปี้เอ๋อร์ถอนหายใจ “คนที่ได้เป็นอี๋เหนียงเหล่านั้น อยู่ต่อหน้าผู้อื่นมีหน้ามีตา แต่ลับหลังคนน้ำตาเช็ดหัวเข่า”

เฝิงซื่อไม่เห็นด้วย “เหล่าไท่ไท่ตระกูลเฉียวน้ำตาเช็ดหัวเข่าหรือ บุตรชายของผู้อื่นจัดการเรือนใหญ่จนเกลี้ยง ตนเองได้ขึ้นครองตำแหน่ง ยามนี้ในจวนผู้ใดยังกล้าเรียกนางว่าอี๋เหนียงสักคำ มีแต่ถูกบูชาเป็นท่านบรรพบุรุษ”

“ท่านแม่ ท่านยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะแล้วจริงๆ” อะไรคือกำจัดเรือนใหญ่จนเกลี้ยง คำพูดเช่นนี้พูดส่งเดชได้หรือ โชคดีที่อยู่บนเขา หากยังอยู่ที่ตระกูลเฉียวแล้วคำพูดเช่นนี้หลุดออกไป มารดาของนางคงถูกตีจนตาย “ข้าจะไปทำอาหาร”

“เฮ้ย ข้ายังพูดไม่จบนะ เจ้าเดินหนีไปไหนเล่า!”

ปี้เอ๋อร์อุ้มอ่างไม้ เดินออกจากห้องมาอย่างหงุดหงิด

“เจ้าเด็กเวร เก่งจริงนะ ก่อนหน้านี้ตอนแม่ให้ข้าวให้น้ำกิน ไม่เห็นเจ้าโอหังเช่นนี้!” เฝิงซื่อเท้าสะเอวอย่างเกรี้ยวกราด ครู่หนึ่งก็วิ่งไปที่ประตู มองเงาแผ่นหลังของปี้เอ๋อร์แล้วว่า “นี่ ผู้ดูแลชิว(ฉิว) อะไรนั่น ที่บ้านเขามีงานให้ทำหรือไม่…”

นอกโรงงาน ผู้ดูแลฉิวกำลังตรวจดูคุณภาพไม้ที่ตนเองส่งมาให้อย่างจริงจัง แล้วปัดมือเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหาสักนิด”

เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน

ผู้ดูแลฉิวถูกมองจนกระอักกระอ่วน ความคิดที่ตนเก็บซ่อนไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินคนนี้กลับซ่อนไว้ไม่ได้แม้แต่น้อย ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าใด

เขากระแอมพลางหลบสายตาเฉียวเวย แล้วถามชีเหนียงว่า “เจ้าจะลงเขาหรือ”

ชีเหนียงตอบผู้ดูแลฉิวว่า “เจ้าค่ะ สำนักศึกษาเลิกเรียนแล้ว ข้าจะไปรับพวกจิ่งอวิ๋น”

ผู้ดูแลฉิวยิ้มโปรยเสน่ห์ “บังเอิญจริงๆ ข้ากำลังจะลงเขาพอดี ไปด้วยกันสิ”

ชีเหนียงอึ้งครู่หนึ่งก็ก้มหน้าตอบว่า “นี่คงไม่ค่อยดีกระมัง ผู้อื่นเห็นเข้าคงถูกนินทา ผู้ดูแลฉิวไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

ผู้ดูแลฉิวมองเฉียวเวยอย่างขอความช่วยเหลือ

เฉียวเวยส่งสายตาจนปัญญาจะช่วยให้เขา แล้วยิ้มแย้มเดินกลับบ้านไป

เฉียวเวยหยิบตั๋วเงินของตนเองกับเงินทองสมบัติทั้งหลายออกมานับรอบหนึ่ง ฝั่งโรงงานแม้ดูเหมือนจะยังไม่มีรายจ่ายก้อนโตอันใด แต่รายจ่ายยิบย่อยเมื่อคำนวนรวมกันแล้วก็ใช้เงินไปหลายร้อยตำลึงแล้ว นี่ยังเป็นเพียงรายจ่ายตอนนี้ ต่อจากนี้ไปก็มีแต่จะมากขึ้น

บทสนทนากับหัวหน้าชุยวันนี้ จะมากจะน้อยก็ทำให้นางตระหนักถึงอันตรายขึ้นมาได้เล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางอาศัยว่าไข่เยี่ยวม้าเป็นกิจการที่ครองตลาดเจ้าเดียว อยากจะค่อยๆ ขยายกิจการ ผู้อื่นก็รอคอยไหว แต่ตอนนี้ นางไม่คิดเช่นนั้นแล้ว

สูตรไข่เยี่ยวม้าแต่เดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะมีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ผู้ที่คิดค้นไข่เยี่ยวม้าได้เป็นคนแรกก็ไม่ได้มีสูตรของนางอยู่ในมือ ที่นี่คือราชวงศ์ต้าเหลียง แม้จะไม่ค่อยเหมือนยุคสมัยของโลกก่อนนัก แต่หากวันใดมีผู้คิดค้นไข่เยี่ยวม้าขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นสูตรของนางยังจะเป็นสูตรที่มีอยู่เจ้าเดียวอีกหรือ

มิสู้ฉวยโอกาสที่ทุกสิ่งยังไม่ทันเกิดขึ้น รีบแย่งชิงโอกาสในตลาดก่อน เมื่อทุกคนหันมาขย้ำเนื้อก้อนนี้ นางก็เก็บเนื้อส่วนใหญ่เข้ามาในชามของตนเองแล้ว

“ท่านแม่! ท่านแม่!” เจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามาในบ้าน กระเป๋าหนังสือใบน้อยถูกโยนไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะถลาเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวย

เฉียวเวยอุ้มนางขึ้นมา แล้วปัดปอยผมที่ตกมาปรกหน้าผากให้ จากนั้นยิ้มน้อยๆ ถามว่า “รีบร้อนวิ่งมาเช่นนี้ทำอะไร ดูสิเจ้าเหงื่อเต็มหน้าผากเชียว”

“ท่านแม่ไปในตัวเมืองมาหรือเจ้าคะ” วั่งซูดวงตาเป็นประกายวิบวับ

ไปตัวเมืองก็เท่ากับมีของฝาก

เฉียวเวยจิ้มหน้าผากน้อยของนางอย่างขบขัน “วันนี้แม่ยุ่งมาก ลืมซื้อของกินมาให้เจ้า”

“อ๋า” วั่งซูผิดหวังเล็กน้อย

เฉียวเวยลากเสียงยาว “แล้วแม่ไม่ได้ซื้อของอร่อยมาให้เจ้า เจ้ายังรักแม่อยู่หรือไม่”

“รักสิรัก! รักมากๆ !” วั่งซูมุดศีรษะเข้ามาในอ้อมอกของเฉียวเวย ใบหน้าน้อยๆ คลอเคลียไปมา

เสื้อของเฉียวเวยถูกนางคลอเคลียจนเปียกไปหมด ส่วนหัวใจก็อ่อนยวบ อีกด้านหนึ่งจิ่งอวิ๋นก็กลับมาถึงแล้ว จิ่งอวิ๋นตัวผอม ไม่เหงื่อออกง่ายเหมือนวั่งซู แต่เสื้อก็ยังเปียกไปทั้งแผ่นหลัง เฉียวเวยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสองคน

หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ไปห้องครัวต้นน้ำให้ทั้งสองคนอาบ

จิ่งอวิ๋นหยิบการบ้านออกมาทำตามปกติ ชุดหนึ่งของตัวเขาอีก อีกห้าชุดเป็นของคนอื่น ตอนนี้เขาช่วยผู้อื่นทำการบ้านได้คล่องแค่วยิ่งกว่าเดิม แต่เขาไม่ได้ทำมากนัก ผู้ใดให้ราคาสูงถึงจะได้สิทธิ เงินที่หาได้กลับกลายเป็นว่ามากกว่าก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย

วั่งซูส่งการบ้านของตนเองให้พี่ชาย “ท่านพี่”

“เป็นอะไร” จิ่งอวิ๋นหยิบพู่กัน หมึกกับแท่นฝนออกมา

วั่งซูฟุบอยู่บนโต๊ะ เอ่ยเสียงนุ่มนิ่ม “หมูทองตัวน้อยของจ้าวต้าเป่าสวยนัก”

จ้าวต้าเป่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มั่งคั่งที่สุดของจิ่งอวิ๋น บ้านของเขาเป็นคหบดี เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ‘หรูหราวิบวับ’ ตรงลำคอสวมหมูทองตัวน้อยอยู่ตัวหนึ่ง

วั่งซูไม่มีแรงต้านทานต่อของสีทองเป็นที่สุด

จิ่งอวิ๋นลูบศีรษะของนาง แล้วบอกว่า “รอพี่หาเงินได้แล้วจะซื้อให้เจ้า”

วั่งซูยิ้มจนตาหยี “ขอบคุณท่านพี่ พู่ห้อยพัดของเฉียนเฮ่าก็สวยมากเลย”

“ซื้อให้เจ้าด้วย”

“บนพู่กันของหลิวฟู่เชอมีงูน้อยสีทองตัวหนึ่ง”

“ซื้อ”

“ท่านพี่ ท่านดียิ่งนัก” วั่งซูมีความสุขจนเหมือนตัวจะระเบิด นางปีนขึ้นมาบนโต๊ะ บิดก้นเล็กๆ ของนาง แล้วเท้าคางมองพี่ชาย “ท่านพี่ ข้าชอบท่านยิ่งนัก พอข้าโตแล้วจะแต่งงานกับท่าน เอ้อร์ยาบอกว่าคนที่แต่งงานกันจะไม่แยกจากกันชั่วชีวิต”

“ไม่ได้” จิ่งอวิ๋นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

“เหตุใดเล่า” วั่งซูถามอย่างเสียใจ

จิ่งอวิ๋นตอบอย่างจริงจัง “พอข้าโตแล้วจะแต่งงานกับท่านแม่ แต่งงานกับท่านแม่แล้วย่อมแต่งงานกับเจ้าไม่ได้แล้ว”

“อ้อ” วั่งซูทำท่าเหมือนเข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าแต่งงานกับท่านพ่อก็ได้กระมัง”

จิ่งอวิ๋นพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่เคยพบท่านพ่อ หากเขาอัปลักษณ์ขึ้นมาเล่า”

วั่งซูขบคิด “จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นข้าแต่งงานกับท่านลุงหมิงก็แล้วกัน ท่านลุงหมิงไม่อัปลักษณ์!”

จิ่งอวิ๋นครุ่นคิดอย่างจริงจังยิ่งนัก “อืม ได้”

เจ้าตัวน้อยสองคนตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของคนสี่คนอย่างสุขสันต์!

ตอนเฉียวเวยเรียกทั้งสองคนมาอาบน้ำ เจ้าตัวน้อยทั้งสองเพิ่งจบบทสนทนาอันมีความหมายสำคัญยิ่งครั้งนี้ ใบหน้าน้อยแดงระเรื่อ เบิกบานใจยิ่งนัก

“คุยอะไรกันหืม หัวเราะกันจนเป็นเช่นนี้” เฉียวเวยแกะเปียของทั้งสองคนออก

วั่งซูหัวเราะคิกคัก “ความลับของข้ากับท่านพี่ ไม่บอกท่านแม่”

เฉียวเวยทำหน้าเสียใจ “อายุน้อยเท่านี้ก็มีความลับแล้ว แม่ปวดใจนักเชียว”

เจ้าตัวน้อยสองคนอาบน้ำกันจนสบายตัว จิ่งอวิ๋นกลับไปทำการบ้านที่ห้อง วั่งซูฟุบอยู่บนโต๊ะเล่นตุ๊กตาผ้า เฉียวเวยไปห้องครัวทำอาหารเย็นให้ทั้งครอบครัว

อากาศร้อนเหลือเกิน ไม่ดีต่อกระเพาะเท่าใดนัก เฉียวเวยต้มถั่วเขียวหม้อหนึ่ง ทำแตงกวาทุบหนึ่งจาน เนื้อผัดพริกหยวกหนึ่งจาน ยำเนื้อแพะหนึ่งจาน น้ำแกงลูกชิ้นเนื้อใส่เห็ดอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ แล้วก็มีถังหูลู่ที่เจ้าซาลาเปาน้อยชอบเป็นที่สุดอีกสามไม้

“ถังหูลู่! ท่านแม่ซื้อของมาด้วย!” วั่งซูกระโดดลงมาบนพื้นอย่างตื่นเต้น

เฉียวเวยลูบปลายจมูกน้อยของนาง “แน่นอนต้องซื้อมาสิ แม่ยุ่งอีกเท่าใดก็ไม่ลืมพวกเจ้าหรอก”

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่” วั่งซูเขย่งปลายเท้า หอมแก้มมารดาหนึ่งที

หัวใจของเฉียวเวยอบอุ่นยิ่งนัก นางลูบศีรษะน้อยของอีกฝ่าย “ไปล้างมือมากินข้าว”

“เจ้าค่ะ!” วั่งซูวิ่งตึงตังจากไป

จิ่งอวิ๋นก็ไปล้างมือด้วย เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงในห้องก็พบว่าบนโต๊ะมีถ้วยเพิ่มมาใบหนึ่ง ด้านในมีน้ำสีแดงๆ อย่างหนึ่งใส่ไว้ กลิ่นหอมโชยออกมา

วั่งซูถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านแม่นี่คือสิ่งใดกันเจ้าคะ”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “สุราองุ่นภูเขาที่ท่านลุงฉิวมอบให้”

“เหตุใดจึงเป็นสีแดง” วั่งซูถาม

เฉียวเวยอธิบายว่า “เพราะทำจากองุ่นอย่างไรเล่า”

“ข้าก็อยากดื่มบ้าง” วั่งซูชอบกินองุ่น

เฉียวเวยให้นางจิบคำน้อยๆ วั่งซูแลบลิ้นออกมาทันที “ไม่อร่อยเลย!”

เด็กน้อยไม่คุ้นชินกับรสชาติเช่นนี้ แต่เฉียวเวยกลับรู้สึกว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง กลิ่นหอมอบอวล รสหวานน้อยๆ อร่อยลิ้น มีรสฝาดติดอยู่นิดหนึ่ง พอไหลลงคอก็รู้สึกสดชื่น หลังจากลงไปถึงกระเพาะก็รู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นสายน้อยผุดขึ้นมา

อร่อยกว่าไวน์ที่เคยลิ้มรสเมื่อชาติก่อนเสียอีก

ฝั่งเฉียวเวยกำลังลิ้มรสสุราอย่างสบายอกสบายใจ แต่นอกโรงงานอากุ้ยกับเสี่ยวเว่ยกลับกินอาหารไม่รู้รส พ้นกำหนดเวลาไปสองวันแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่สารภาพกับฮูหยิน แม้ฮูหยินไม่กล่าวอันใด แต่ผู้ใดจะแน่ใจได้ว่าฮูหยินไม่ได้เตรียมไม้ตายอะไรไว้

“ท่านไปสิ” เสี่ยวเว่ยเอาเท้าถีบอากุ้ยอยู่ใต้โต๊ะ

อากุ้ยพุ้ยข้าวคำหนึ่ง “ทำไมข้าต้องไป จะไปเจ้าก็ไปก่อนสิ”

เสี่ยวเว่ยเอ่ยเสียงเบา “ท่านกลัวอะไรเล่า ท่านดูปี้เอ๋อร์สิ สารภาพแล้วก็ยังไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ”

“ในเมื่อไม่เป็นอะไรเจ้าก็ไปสิ” อากุ้ยคีบเนื้อน้ำแดงชิ้นหนึ่งให้จงเกอร์ นับตั้งแต่พบว่ามารดาของปี้เอ๋อร์ชอบกักตุนอาหาร จงเกอร์ก็ย้ายมากินข้าวโต๊ะของพวกเขา

เสี่ยวเว่ยตอบว่า “ปี้เอ๋อร์เป็นผู้หญิง ฮูหยินจะใจอ่อนกับนางก็ปกติ ข้าเป็นบุรุษ ไม่แน่ฮูหยินอาจโบยข้าก็ได้”

อากุ้ยยิ้มหยัน “เจ้าไม่ไป ไม้โบยนั้นช้าเร็วก็ร่วงลงมาบนตัวเจ้าอยู่ดี”

เสี่ยวเว่ยหัวเราะฮ่ะๆ “พูดเหมือนท่านไม่มีความผิด ไม่รู้ว่าวันนั้นผู้ใดกันพร่ำพูดว่าอยากไถ่ตัว”

ร่างของอากุ้ยชะงัก “ไปด้วยกัน ห้ามหนี”

เสี่ยวเว่ยเหล่ตามอง “ไม่หนีก็ไม่หนี!”

หลังอาหาร ทั้งสองคนเข้ามาในห้องของอากุ้ย อากุ้ยหยิบกระดาษสีขาวออกมาแผ่นหนึ่งแล้วแบ่งเป็นสองครึ่ง ครึ่งหนึ่งให้เสี่ยวเว่ย “เขียนอักษรเป็นหรือไม่”

ในรังโจรเคยลักพาตัวบัณฑิตมาคนหนึ่ง เสี่ยวเว่ยเคยร่ำเรียนกับเขามาอยู่บ้างจึงพอเขียนเป็นอยู่สองสามคำ แม้ขีดอักษรจะไม่ครบถ้วน แต่ก็พออ่านออก

“เป็น” เสี่ยวเว่ยตอบ

อากุ้ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็เขียนความผิดของตนเองออกมา พอเขียนเสร็จก็ฝากปี้เอ๋อร์ ให้นางนำไปมอบให้ฮูหยิน”

เสี่ยวเว่ยลังเลอยู่พักหนึ่งก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเห็นด้วย”

อากุ้ยเกิดในตระกูลขุนนาง เขียนตัวอักษรได้ค่อนข้างงดงาม เวลาเพียครู่เดียวหนังสือสำนึกผิดอันสละสลวยฉบับหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษ

เสี่ยวเว่ยกำพู่กันอย่างเงอะงะ เค้นสมองทุกเสี้ยวแล้วก็เพิ่งจะเขียนตัวอักษรตัวเบ้อเริ่มออกมาได้สิบกว่าตัว

“ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่” อากุ้ยถาม

“ไม่ต้อง ข้าจะทำเอง”

เสี่ยวเว่ยเค้นสมองคิด จนในที่สุดครึ่งชั่วยามให้หลังก็เขียนหนังสือสำนึกผิดที่ชวนให้คนสะเทือนใจฉบับหนึ่งสำเร็จ

อากุ้ยสั่นขาแต่แสร้งทำเป็นสุขุม “ตอนนี้…ไปเรียกปี้เอ๋อร์เลยหรือไม่”

เสี่ยวเว่ยกะพริบตา “ท่าน…เรียกสิ”

อากุ้ยลุกขึ้นยืน วางมือทับหนังสือสำนึกผิดของตนเองกับของเสี่ยวเว่ยไว้ด้วยกันบนโต๊ะ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปเรียกแล้วนะ”

เสี่ยวเว่ยแหงนหน้ามองฟ้า “ท่านก็ไปเรียกสิ!”

“ปี้…” อากุ้ยฉวยโอกาสที่เสี่ยวเว่ยไม่ทันระวัง คว้าหนังสือสำนึกผิดของเสี่ยวเว่ย พุ่งไปทางคฤหาสน์ของเฉียวเวย

“พี่อากุ้ย! พี่อากุ้ย! ท่านกลับมานี่นะ!”

เท้าของอากุ้ยราวกับเหยียบอยู่บนสายลม ผู้ใดจะกลับไปให้โง่!

เสี่ยวเว่ยมองหนังสือสำนึกผิดที่ตัวหนังสือขีดหายขีดตกอยู่บนโต๊ะ แล้วผายมือ “ท่านหยิบของตัวท่านเองไปน่ะ…”

แสงจันทร์สลัว เฉียวเวยนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง สุราองุ่นภูเขาฤทธิ์แรงทีเดียว ตอนดื่มยังไม่เท่าไร ทว่าหลังจากนั้นโลกเหมือนจะหมุนกลับหัว นางพบว่าดวงจันทร์เหมือนจะมีสองดวง

เด็กๆ นอนหลับแล้ว เสี่ยวไป๋นอนตัวอ่อนอยู่บนหน้าอกของนาง นางอารมณ์ดีจึงไม่โยนเจ้าตัวน้อยตัวนี้ทิ้ง

วิหคตัวหนึ่งร่อนลงบนหน้าต่าง

เฉียวเวยจับมันไว้ พละกำลังมากไปหน่อย นกน้อยจึงร้องจิ๊บๆ อย่างเจ็บปวด

“ชู่ๆ เดี๋ยวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูจะตื่นเอา” เฉียวเวยจับจงอยปากของนกไว้ ตอนนี้นางจึงเพิ่งพบว่าในจงอยปากของมันคาบดอกไม้สีเหลืองดอกน้อยดอกหนึ่งมาด้วย เฉียวเวยหยิบดอกไม้น้อยสีเหลืองออกมา แล้วทัดไว้บนศีรษะ จากนั้นจึงแกะแถบกระดาษบนขาของมันออกมา นางมองพระจันทร์ยังเห็นเป็นสองดวง มองตัวหนังสือย่อมกินแรงมากกว่านั้น ผ่านไปเนิ่นนานเพิ่งจะอ่านออกว่าเขียนอะไรไว้

‘ยุ่งอะไรอยู่หรือหัวหน้าพรรคเฉียว กวาดล้างสำนักเรียบร้อยแล้วหรือยัง’

เฉียวเวยหยิบแถบกระดาษชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วจับพู่กันเขียนว่า ‘กำลังกวาดล้างอยู่ ท่านทำอะไรอยู่หรือ คุณชายหมิง’

เพิ่งเขียนเสร็จ ยังไม่ทันผูกกับขานก นกอีกตัวหนึ่งก็บินมา

เฉียวเวยขยี้ดวงตาที่พร่ามัว แล้วหยิบแถบกระดาษแผ่นที่สองขึ้นมา ‘วันพรุ่งนี้เข้าเมืองหลวงมาสักหน ข้าจะส่งคนไปรับเจ้า’

เฉียวเวยเติมตัวอักษรลงไปสองตัว “ทำไม”

วิหคทั้งคู่บินจากไป

เฉียวเวยเท้าคางมองดวงจันทร์สว่างบนฟากฟ้า สมองมึนงง แต่รู้สึกว่านอนไม่หลับ

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด วิหคก็บินกลับมา

‘คืนวันพรุ่งนี้มีเทศกาลโคมไฟ เจ้าดื่มเหล้ามาใช่หรือไม่’

เรื่องนี้ยังจะมองออกอีกหรือ

เฉียวเวยอ้าปากหาว นวดศีรษะที่มึนงงแล้วตอบว่า ‘ดื่มสุราองุ่นภูเขามานิดหน่อย’

‘ตอนข้าไม่อยู่ อย่าดื่มสุรา’

เฉียวเวยเบ้ปาก ตอนท่านไม่อยู่หรือ ท่านไม่อยู่บ่อยไป นายหญิงคนนี้อยากสำเริงสำราญอย่างไรก็จะสำเริงสำราญอย่างนั้น มีความสามารถก็มาขังข้าสิ!

เฉียวเวยหาว แล้วเขียนตอบว่า ‘รสชาติไม่เลว ท่านอยากมาชิมสักหน่อยหรือไม่’

‘หัวหน้าพรรคเฉียว เจ้ากำลังยั่วยวนข้าหรือ’

เฉียวเวยยิ้มงามหยาดเยิ้ม แล้วจับพู่กันแต้มน้ำหมึก ‘แล้วยั่วท่านสำเร็จหรือไม่เล่า’

“ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ข้าคารวะท่านหนึ่งจอก!” ภายในวังหลวง องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์กำลังยิ้มกว้างยกจอกสุราเดินมาหาจีหมงซิว

ทันใดนั้นจีหมิงซิวก็ลุกพรวด พละกำลังมหาศาลพาโต๊ะด้านหน้าล้มคว่ำ กระแทกม้านั่งด้านหลังจนพลิกหงาย สุราอาหารเทกวาดดังโครมเกลื่อนพื้น เสียงเพลงและการระบำรำฟ้อนหยุดนิ่ง ท้องพระโรงที่มีเสียงดังครึกครื้นเงียบในพริบตา ทุกคนหันขวับมามองจีหมิงซิวอย่างพร้อมเพรียง องค์ชายรองแห่งเผ่าซยงหนีว์จะคารวะสุรา ท่านไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ไม่พอใจการเจรจาครั้งนี้หรือไร อยากจะแตกหักกับเผ่าซยงหนีว์หรือ

เฉียวเวยเขียนประโยคสุดท้ายจบก็ฟุบลงบนโต๊ะ น้ำชาเย็นหมดแล้วแต่ไม่เห็นนกบินกลับมา

ไม่มีแล้วหรือ

เฉียวเวยแค่นเสียงเหอะออกมาหนหนึ่งก็จะลุกไปห้องส้วม ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเปิดประตูออกมาก็เห็นจีหมิงซิวยืนอยู่ที่ประตู

“ท่านมาแล้วหรือ” นางคลี่ยิ้ม

จีหมิงซิวมองนางนิ่งๆ “หัวหน้าพรรคเฉียวมิได้ถามหรือว่ายั่วข้าสำเร็จหรือไม่ คำตอบนี้น่าพึงพอใจหรือไม่”

เฉียวเวยไม่ตอบ ในสมองมีอยู่เพียงความคิดเดียว

เรื่องเช่นนี้หากเป็นยามปกตินางคงไม่มีวันทำเป็นแน่ แต่ผู้ใดใช้ให้สุราทำให้คนใจกล้า

เฉียวเวยจับคอเสื้อของเขากระชากเข้ามา หลังจากนั้นเขย่งปลายเท้า โน้มตัวเข้าไปหา