ตอนที่ 437 รีบออกจากเมือง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 437 รีบออกจากเมือง

ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองเรือลำเล็กลำใหญ่ซึ่งไม่พอกับจำนวนทหารที่จอดเรียงรายกันอยู่ จากนั้นหันกลับไปจ้องทางเมืองหลงหยางโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น ที่จริงนางเคยบอกกับหลิวหงแล้วว่าเรือมีอยู่อย่างจำกัด นางควรแยกกันลงมือกับแม่ทัพฝูรั่วซี ให้ทหารของแม่ทัพฝูรั่วซีนั่งเรือไปยังเมืองหลงหยางเพื่อกำจัดทหารต้าเหลียง

ส่วนนางนำทัพอ้อมเมืองหลงหยางเดินทางไปยังจุดตรงกลางระหว่างเมืองผูเหวินและเมืองหลงหยางเพื่อดักซุ่มสังหารทหารต้าเหลียงที่หนีออกมาจากเมืองหลงหยางให้สิ้นซาก มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นเมื่อสงครามครั้งนี้สิ้นสุดลง เมื่อกองทัพต้าเหลียงเห็นธงสัญลักษณ์ของต้าจิ้นจะได้หวาดกลัวจนไม่กล้าบุกโจมตีอีก

ทว่า หลิวหงคิดว่ามันอันตรายเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ฝนตกหนักจนมองไม่เห็นหนทางเช่นนี้ เขากลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะเป็นอันตรายได้

สำหรับหลิวหงแล้วไม่จำเป็นต้องเอาชนะต้าเหลียงอย่างเด็ดขาดในสงครามครั้งนี้ ขอเพียงยึดเมืองผูเหวินและชุนมู่ที่ถูกยึดไปกลับคืนมาได้โดยที่ไป๋ชิงเหยียนปลอดภัย จากนั้นขับไล่ต้าเหลียงออกไปจากแคว้นต้าจิ้นได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

แม่ทัพหลิวหงเป็นคนรอบคอบ ไป๋ชิงเหยียนจึงไม่อยากบังคับเขา เพราะอย่างไรเสียหลิวหงคือแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้

ทว่า หากครั้งนี้ปล่อยให้ต้าเหลียงถอยทัพกลับไปยังเมืองผูเหวินได้ ต้าเหลียงอาจส่งกำลังเสริมจากแคว้นมาช่วย ถึงเวลานั้นจะเป็นการสูญเสียกองกำลังทหารของต้าจิ้นโดยเปล่าประโยชน์

เทียบกับแคว้นต้าจิ้นที่เพิ่งสูญเสียทหารนับแสนนายจากการทำสงครามที่หนานเจียง นี่ถือเป็นโอกาสอันดีของแคว้นต้าเหลียงซึ่งมีทิศเหนือติดทะเลและมีเขตแดนติดกับหรงตี๋เท่านั้นในการขยายอาณาเขตของตัวเอง ต้าเหลียงมีม้าศึกที่แข็งแกร่ง อีกทั้งหรงตี๋กำลังทำศึกภายในแคว้น หากนางเป็นจักรพรรดิของต้าเหลียงก็คงไม่ปล่อยให้โอกาสที่ดีเช่นนี้หลุดลอยไปเช่นกัน

เพราะเวลาและวารีไม่เคยรอผู้ใด

ไป๋ชิงเหยียนวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียให้หลิวหงฟังหมดแล้ว หญิงสาวได้แต่หวังว่าระหว่างที่หลิวหงถอยทัพหนี เขาจะคิดได้และส่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปดักระหว่างเมืองผูเหวินและหลงหยางเพื่อป้องกันกองทัพต้าเหลียงหนีกลับขอกำลังเสริมที่เมืองผูเหวิน

ทหารต้าเหลียงค้นหาสมบัติในจวนเซียวจนแทบจะรื้อจวนหาอยู่แล้ว พวกเขาขุดดินหาก็ไม่พบกับของล้ำค่าที่ร่ำลือ

ทั้งๆ ที่เหนื่อยล้าเต็มทน ทว่า ทหารที่เข้าไปในจวนเซียวกลับแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีผู้ใดยอมกลับไปพักผ่อน กลัวว่าจะพลาดของล้ำค่าในจวนของพ่อค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้าเซียวหรงเหยี่ยน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนตกหนักมากเกินไปหรือน้ำในเขื่อนระบายไม่ทัน บัดนี้น้ำในเมืองหลงหยางท่วมจนถึงข้อเท้าแล้วและดูเหมือนว่ากำลังจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

สวินเทียนจางและบุตรชายพักผ่อนอยู่ในจวนจึงไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ ทว่า จ้าวเซิ่งซึ่งช่วยน้องชายจ้าวถงออกมาจากคุกและกำลังดูแลน้องชายของตัวเองอยู่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขารีบเรียกกองทัพจ้าวเข้ามาทันที

จ้าวเซิ่งเคลื่อนย้ายจ้าวถงไปไว้บนชั้นสองเรียบร้อยแล้ว เขานั่งอยู่ท่ามกลางแสงของตะเกียง บรรดาแม่ทัพของกองทัพจ้าวซึ่งเปียกปอนไปทั้งร่างเดินขึ้นมาชั้นบน คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น “แม่ทัพจ้าว!”

“ข้าได้ยินทหารด้านนอกกล่าวว่าตอนที่บุกเข้ามาในเมืองไม่พบชาวบ้านหรือทหารกองทัพต้าจิ้นแม้แต่คนเดียวอย่างนั้นหรือ” จ้าวเซิ่งถาม

“แน่นอนขอรับ กองทัพของพวกเราบุกโจมตีจนทหารต้าจิ้นถอยเกราะหนีไปแทบไม่ทัน กองทัพต้าจิ้นจะกล้าอยู่ในเมืองต่อได้อย่างไรขอรับ” แม่ทัพร่างอ้วนท้วมกล่าวอย่างได้ใจ

ทว่า แม่ทัพอีกคนซึ่งดูสุขุมกว่ากล่าวตามความจริง “ไม่ใช่ขอรับ ยังมีทหารกองทัพจิ้นบางคนที่หนีไปไม่ทัน แต่โดนพวกเราสังหารหมดแล้วขอรับ ทว่า พอเข้ามาในเมือง บรรดาทหารเอาแต่ค้นหาสมบัติที่ร่ำลือกัน ทหารต้าจิ้นจึงหนีไปได้ไม่น้อยขอรับ”

ใจของจ้าวเซิ่งกระตุกวูบ เขาไตร่ตรองอย่างละเอียด “พวกเจ้าเห็นชาวบ้านบ้างหรือไม่!”

บรรดาแม่ทัพต่างมองหน้ากันไปมา ดูเหมือนทุกคนจะไม่ได้ให้ความสนใจกับชาวบ้าน เพราะเป็นชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นไม่ใช่แคว้นต้าเหลียง หากเห็นก็คงลงมือสังหาร ผู้ใดจะใส่ใจเรื่องนี้กัน!

เมื่อเห็นท่าทีของบรรดาแม่ทัพ จ้าวเซิ่งผุดลุกขึ้นยืนทันที “แย่แล้ว!”

จ้าวเซิ่งไม่กล้ารอช้า รีบลงไปด้านล่างแล้ววิ่งไปยังที่พักของสวินเทียนจางอย่างรวดเร็ว

ยามอิ๋น[1] บรรดาทหารต้าเหลียงซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันเมืองอดบ่นไม่ได้ แม้แต่ทหารค่ายสุดท้ายที่เข้ามาในเมืองยังกรูกันไปค้นหาทรัพย์สมบัติ ทว่า พวกเขากลับต้องมายืนคุ้มกันเมืองท่ามกลางสายฝนเช่นนี้

ผู้ใดไม่อยากเห็นรูปปั้นทองแกะสลักลายสัตว์มงคลขนาดใหญ่เท่าคนในจวนพ่อค้าซึ่งร่ำรวยเป็นดับหนึ่งในใต้หล้าเซียวหรงเหยี่ยนบ้าง พวกเขาก็อยากแกะอัญมณีที่ประดับอยู่บนรูปปั้นทองตัวนั้นออกไปฝากมารดาของตัวเองสักเม็ด ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจมีเงินเพียงพอสำหรับใช้สู่ขอภรรยาด้วย

“เอาเถิด หยุดบ่นกันได้แล้ว ผู้ใดใช้ให้พวกเราเป็นทหารในสังกัดของแม่ทัพสวินเล่า! เรื่องได้เปรียบเช่นนั้นไม่มีทางตกมาถึงมือพวกเรา แต่เรื่องเสี่ยงอันตรายพวกเราต้องบุกอยู่ด้านหน้าสุดเสมอ!” ทหารต้าเหลียงถอนหายใจพลางมองไปเบื้องหน้า

“พวกเจ้าดูนั่น…มันคืออันใด”

“ฝนตกหนักแถมมืดขนาดนี้ เจ้ายังมองเห็นสิ่งใดอีก!” ทหารต้าเหลียงคนหนึ่งกล่าวหยอกอย่างขบขัน ทว่า ก็มองไปตามทิศทางที่สหายร่วมรบชี้

ห่างออกไป ก้อนสีดำราวกับฝูงวัวที่กำลังแตกตื่นเคลื่อนที่มายังเมืองหลงหยางท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ มันกำลังคืบคลานเข้ามาพร้อมเสียงคำรามของคลื่นอย่างไม่อาจต้านทานได้ คลื่นลูกใหญ่พัดพาเอากิ่งไม้และก้อนหินพุ่งตรงเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว!

น้ำป่าซึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วซัดเข้ากับกำแพงเมือง จากนั้นซึมทะลุเข้าไปในตัวเมืองผ่านรูอย่างรวดเร็ว เสียงน้ำซัดดังกระหึ่มจนใบหูสั่น

“น้ำป่า! คือน้ำป่า!” ทหารต้าเหลียงร้องตะโกนลั่น รีบเป่าแตรและตีกลองส่งสัญญาณทันที

ทหารซึ่งคุ้มกันประตูเมืองหันไปตะโกนบอกคนในเมือง “น้ำป่ามาแล้ว! น้ำป่ามาแล้ว!”

ทว่า ฝนตกหนักเกินไป เสียงน้ำป่าดังเกินไปจนเสียงของทหารต้าเหลียงกลืนไปกับเสียงเหล่านั้น ท่อนไม้ยักษ์ซึ่งถูกน้ำพัดพามากระแทกเข้ากับประตูเมืองอย่างแรงอย่างต่อเนื่อง จนประตูเมืองแทบจะพังออก

ทหารต้าเหลียงรีบลงมาจากกำแพงเมือง เตรียมวิ่งไปยังที่พักของแม่ทัพใหญ่ ทว่า ตอนที่พวกเขาลงมาถึงด้านล่าง น้ำท่วมถึงระดับเอวของพวกเขาและกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

กำแพงเมืองหลงหยางสูงไม่ถึงสองจั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป น้ำคงท่วมมิดกำแพงเมืองแน่

“น้ำป่ามาแล้ว! น้ำป่ามาแล้ว!” ทหารต้าเหลียงร้องตะโกนบอกรอบทิศ

ทหารที่กำลังค้นหาสมบัติอยู่ในจวนเซียวรู้สึกว่าระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แค่สนทนากันไม่กี่ประโยค น้ำก็ท่วมถึงหัวเข่าของพวกเขาแล้วและกำลังจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงแตรและเสียงกลอง ทหารที่ความรู้สึกช้าที่สุดก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกติ

จ้าวเซิ่งเพิ่งเดินไปถึงหน้าที่พักของสวินเทียนจางก็ได้ยินเสียงแตรและเสียงกลองดังมาจากบนกำแพงเมือง แม้เสียงจะปะปนกับเสียงฝนตก ทว่า สวินเทียนจางก็ยังได้ยิน

“ผู้ใดก็ได้เข้ามาหน่อย!”

เสียงของสวินเทียนจางดังมาจากในห้อง ทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านล่างรีบขึ้นไปทันที

จ้าวเซิ่งก็รีบตามขึ้นไปโดยไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่! เกิดเรื่องแล้วขอรับ! ข้ารู้สึกว่านี่คือกับดักของกองทัพต้าจิ้นขอรับ! กองทัพต้าเหลียงของเราเข้ามาในเมืองแต่ไม่เจอชาวบ้านสักคน แสดงว่าชาวบ้านถูกทหารต้าจิ้นอพยพหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว เกรงว่าทหารต้าจิ้นคงรู้แล้วว่าพวกเราต้องการปล่อยน้ำท่วมเมืองหลงหยาง เราต้องเดินทางออกจากเมืองบัดนี้ขอรับ!”

สวินเทียนจางสงบสติลง เอ่ยถามต่อ “เหตุใดทหารที่กำแพงเมืองจึงตีกลองขึ้น”

“เรียนท่านพ่อ ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ทว่า ข้าส่งคนไปสอบถามแล้วขอรับ” บุตรของสวินเทียนจางเอ่ยตอบ

บัดนี้ใจของสวินเทียนจางเต้นรัว เขาสวมรองเท้าพลางเอ่ยสั่ง “เรียกทหารทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเตรียมออกจากเมืองเดี๋ยวนี้!”

คนที่บุตรชายของสวินเทียนจางส่งไปสอบถามสถานการณ์เดินไปถึงถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงประตูเมืองถูกกระแทกอย่างแรง ยังไม่ทันได้สติ จู่ๆ ประตูเมืองก็ถูกกระแทกเปิดออก บานประตูกระทบกับกำแพงเมืองอย่างแรง

[1] ยามอิ๋น เวลาประมาณ 03.00-05.00 นาฬิกา