พระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว ไม่จำเป็นให้หมอหลวงรายงานข้าก็…” เมื่อกล่าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนเสียนเฟยจะคิดถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ นางจ้องไปที่พระชายาฉีอ๋อง “หมอหลวงหมายความว่า…”
หมอหลวงแสดงสีหน้ายินดีแล้วยกมือคำนับเสียนเฟย “ทูลเหนียงเหนียง พระชายาฉีอ๋องกำลังตั้งครรภ์”
ความรู้สึกประหลาดใจครั้งใหญ่ปรากฏออกมาจากดวงใจของเสียนเฟย นางโพล่งออกมาว่า “จริงหรือ”
หลายปีมานี้ สิ่งที่เจ้าสี่รู้สึกเสียใจมากที่สุดนั่นก็คือไม่มีโอรส
ด้วยอายุของสองสามีภรรยาคู่นี้ หากเป็นคนธรรมดาประชาชนทั่วไปก็ยังไม่เท่าไร แต่ในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นพวกเขา อีกทั้งหากต้องการนั่งในตำแหน่งนั้น เรื่องของโอรสช่างสำคัญยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าหากต้องเลือกสนับสนุนระหว่างจิ้นอ๋องและฉีอ๋อง คนบางกลุ่มอาจจะรู้สึกท้อแท้เนื่องจากฉีอ๋องไม่มีโอรส
ผู้ใดจะรู้เล่าว่าในอนาคตฉีอ๋องจะให้กำเนิดโอรสได้หรือไม่ หากว่าฉีอ๋องขึ้นครองบัลลังก์แต่ไม่มีโอรส แล้วอาณาจักรนี้จะมอบให้แก่ผู้ใดต่อ เมื่อถึงเวลาจะมอบดินแดนกว้างขวางนี้ให้กับรัชทายาทขององค์ชายคนอื่นหรือ
หากต้องเป็นเช่นนั้น สู้สนับสนุนผู้ที่มีหลักประกันแต่แรกไม่ดีกว่า?
จากคำถามของเสียนเฟยเมื่อครู่ หมอหลวงจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ชีพจรของเสียนเฟยเป็นที่ชัดเจนแล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าไม่น่ามีสิ่งใดผิดไป”
เสียนเฟยสูดลมหายใจเข้าเป็นการผ่อนคลาย แล้วเอ่ยถามว่า “พระชายาฉีอ๋องตั้งครรภ์นานเท่าไหร่แล้ว”
“ประมาณหนึ่งเดือนได้พ่ะย่ะค่ะ”
หางตาของเสียนเฟยเผยถึงความชื่นชมยินดีออกมา “ขอบใจท่านหมอหลวงยิ่งนัก”
จากนั้นนางก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณ นางในคนหนึ่งเดินเข้ามามอบรางวัลก้อนโตให้แก่หมอหลวง
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง”
เสียนเฟยพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าต้องรบกวนหมอหลวงสั่งจ่ายยาบำรุงครรภ์ให้แก่พระชายาฉีอ๋องด้วย”
“เหนียงเหนียงโปรดวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการบัดเดี๋ยวนี้”
เมื่อส่งหมอหลวงออกไปด้วยสายตา เสียนเฟยก็แสดงความยินดีออก
เด็กคนนี้มาได้ถูกเวลาเหลือเกิน
นางมองไปทางพระชายาฉีอ๋อง ดวงตาของพระชายาฉีอ๋องแข็งทื่อดูเหมือนนางยังไม่ได้สติกลับคืนมา
อะแฮ่มๆ เสียนเฟยกระแอมออกมาสองครั้ง “สะใภ้สี่ บัดนี้เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง”
ขนตาของพระชายาฉีอ๋องสั่นคลอนเล็กน้อยแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปาก
องค์หญิงใหญ่หรงหยางซึ่งยืนอยู่ตรงประตูบัดนี้มีอารมณ์ซับซ้อนยิ่งนัก นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในวันเกิดของเหนียงเหนียงนี้ช่างเป็นวันสิริมงคลยิ่งนัก มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นถึงสองเรื่อง เช่นนี้ควรจะบอกแก่เสด็จพี่ให้ทรงดีใจด้วยหรือไม่”
เสียนเฟยสะดุ้ง
แย่แล้ว นางลืมเรื่องที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางอยู่ที่นี่ไปเสียสนิท ข่าวคราวที่สะใภ้สี่ตั้งครรภ์คาดว่าคงไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้
โดยทั่วไปแล้วหากสตรีตั้งครรภ์ยังไม่ถึงสามเดือนจะไม่เผยแพร่ออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นหรือไม่
บัดนี้เจ้าสี่กำลังอยู่ในช่วงแข่งขันกับจิ้นอ๋อง หากว่าเรื่องที่พระชายาของเขากำลังตั้งครรภ์ถูกเผยแพร่ไป คาดว่าคงจะเป็นเรื่องดียิ่งสำหรับเขา
ข้อเสนอแนะนี้ขององค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่เลวเลย เรื่องน่ายินดีนี้จะต้องทูลแก่ฮ่องเต้ให้รับทราบ
เสียนเฟยได้กำชับให้ข้ารับใช้เดินทางไปทูลแด่ฝ่าบาทต่อหน้าองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่หมอหลวงมัวแต่เร่งรีบจะไปจัดอย่ามาบำรุงครรภ์ให้แก่พระชายาฉีอ๋อง แต่ลืมจับชีพจรให้พระชายาเยี่ยนอ๋องไปเสียได้”
บางทีคนอื่นอาจจะลืมแล้ว แต่นางไม่อาจลืมได้ถึงเรื่องที่พระชายาเยี่ยนอ๋องแกล้งทำเป็นป่วย พระชายาเยี่ยนอ๋องต้องการใช้โอกาสนี้ในการหลบหนี คงไม่ง่ายดังที่คิด
เสียนเฟยจึงได้นึกถึงเรื่องเจียงซื่อขึ้นมาแล้วมองไปยังนาง
เจียงซื่อยืนอยู่ข้างเตียงตั่งด้วยท่าทางสงบ
เสียนเฟยจึงนึกได้ถึงสิ่งที่เจียงซื่อกล่าวไปเมื่อครู่ ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในใจนาง
“สะใภ้เจ็ด เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าสะใภ้สี่ได้รับโชคดีจากเจ้า เจ้าดูออกตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าพี่สะใภ้สี่ของเจ้าตั้งครรภ์”
เจียงซื่อทำท่าทางประหลาดใจออกมา “เหนียงเหนียงล้อเล่นหรืออย่างไร หม่อมฉันไม่ใช่หมอหลวง จะดูออกได้อย่างไรว่าพี่สะใภ้สี่ตั้งครรภ์ อีกอย่าง แม้แต่หมอหลวงเองยังต้องจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยจึงจะสามารถตัดสินใจได้”
เสียนเฟยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าถูกต้องแล้ว แต่นางก็ยังคงแปลกใจในสิ่งที่เจียงซื่อกล่าว
“หม่อมฉันเพียงแค่กล่าวออกไปเท่านั้น”
เจียงซื่ออธิบายออกมาอย่างลวกๆ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางยิ้มขึ้นเยาะเย้ย “เพียงแค่กล่าวออกมาลวกๆ ก็ตรงยิ่งนัก พระชายาเยี่ยนอ๋องมีความสามารถเสียจริง”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เสด็จอาชื่นชมกันเกินไปแล้วเพคะ ที่จริงแล้วหม่อมฉันไม่ได้มีความสามารถใด เพียงแค่โชคดีเท่านั้น”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกำมือแน่น นางพยายามระงับตนไม่ให้ยกมือขึ้นไปตบตี ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “พระชายาเยี่ยนอ๋อง ร่างกายเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้”
“เมื่อครู่ได้ยินว่าพี่สะใภ้สี่ตั้งครรภ์จึงรู้สึกตื่นเต้นทำให้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
เมื่อจู่ๆ ได้ยินว่าพระชายาฉีอ๋องตั้งครรภ์ เสียนเฟยจึงไม่อยากจะไปติดใจเอาความกับเจียงซื่ออีก นางกล่าวขึ้นเพื่อสมานความสัมพันธ์ว่า “หากรู้สึกดีขึ้นก็ดีแล้ว เจ้าเองก็กำลังตั้งครรภ์ควรจะระมัดระวังไว้เป็นดี หากรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติไปก็ไม่ควรจะปล่อยเอาไว้”
จากนั้นนางก็หันความสนใจไปที่พระชายาฉีอ๋อง “สะใภ้สี่ บัดนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ด้วยเหตุนี้เองอย่าทำสิ่งใดที่ลำบากตนเองและลูก ช่วงนี้หากไม่จำเป็นเจ้าก็ไม่ต้องเดินทางมาน้อมทักข้าในพระราชวัง”
อารมณ์ของพระชายาฉีอ๋องผ่อนคลายลง นางพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ในใจแล้วกล่าวว่า “จะให้ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ การเดินทางมาน้อมทักเสด็จแม่เป็นเรื่องที่ลูกควรจะทำ”
เสียนเฟยได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองไปทางเจียงซื่อ
ทั้งสองไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย เมื่อครั้นสะใภ้ของเจ้าเจ็ดตั้งครรภ์ นางไม่เห็นแม้แต่หน้า ทว่าสะใภ้ของเจ้าสี่กลับรู้จักกาลเทศะเยี่ยงนี้
ไม่เสียแรงที่นางรักและเอาใจใส่สะใภ้สี่มาตลอด
“การไม่ทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงกังวล นับเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าเช่นกัน ดังนั้นสะใภ้สี่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที แต่บัดนี้อากาศก็หนาวเย็นมากขึ้น การที่เจ้าเดินทางมาคารวะข้าในพระราชวังมีแต่ทำให้ข้านั้นต้องเป็นห่วงกังวล ดังนั้นช่วงนี้เจ้าจงอยู่ในเรือนบำรุงครรภ์ให้ดี นี่นับเป็นความกตัญญูครั้งใหญ่”
พระชายาฉีอ๋องสีหน้าแดงเรื่อแล้วพยักหน้าตอบรับ “การที่เสด็จแม่เป็นห่วงกังวลลูก นับเป็นบุญของลูกยิ่งนัก…”
เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวอย่างไร้ความอดทนว่า “เหนียงเหนียงเพคะ หม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ประสงค์จะเดินทางกลับไปพักผ่อนที่จวน”
เสียนเฟยทำสีหน้ามืดมนแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด”
หากไม่เห็นนางในสายตาก็คงจะไม่รำคาญใจ อีกอย่างนางมีหลายสิ่งเหลือเกินที่จะกำชับกับสะใภ้สี่ ไม่มีเวลามาใส่ใจกับผู้ที่ไม่รู้จากกฎเกณฑ์คนนี้
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเห็นว่านางไม่อาจสร้างความอับอายแก่เจียงซื่อได้ จึงไม่ประสงค์อยู่ต่อเช่นกัน นางหันไปบอกลาเสียนเฟยก่อนจะจากไปตามเจียงซื่อ
เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างกาย เสียนเฟยจึงได้กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “สะใภ้สี่ เจ้าเองก็เคยตั้งครรภ์เป็นแม่คนมาแล้วเหตุใดตั้งครรภ์มาตั้งเดือนกว่าแล้วยังไม่รู้ตัว”
ในวันนี้เนื่องจากสะใภ้สี่สร้างเรื่องไร้สาระเหล่านั้นขึ้น จึงทำให้ตรวจพบว่านางตั้งครรภ์ นี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี
พระชายาฉีอ๋องทำสีหน้าเขินอาย “นับตั้งแต่ให้กำเนิดเย่ว์เอ๋อร์ ร่างกายของหม่อมฉันก็ไม่ค่อยปกตินัก รอบเดือนมาไม่เป็นเวลา จึงทำให้ไม่ทันคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว…”
“เอาเถิด ต่อไปนี้ควรระมัดระวังให้มากขึ้น ข้าถามเจ้าหน่อยว่าเมื่อครั้นที่เจ้ากับสะใภ้เจ็ดอยู่ด้วยกันตามลำพัง ดูไม่ราบรื่นเท่าไหร่หรือ”
สีหน้าของพระชายาฉีอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป
“ทำไมหรือ กล่าวได้ยาก?”
แม่สามีและลูกสะใภ้สองคนนี้ล้วนรู้ดีว่าฉีอ๋องกำลังจะก้าวขึ้นไปที่ตำแหน่งนั้น ดังนั้นจึงต้องพยายามร่วมกัน ไม่มีสิ่งใดที่เสียนเฟยไม่อาจเอ่ยถามได้
“ดูเหมือนน้องสะใภ้เจ็ดจะไม่ชอบหม่อมฉันเท่าไหร่นัก นางกล่าวว่าต่อจากนี้ให้หม่อมฉันปรากฏตัวหน้านางให้น้อยลงเพคะ” ชายาฉีอ๋องอดทนต่อความลำบากใจและกล่าวออกมา
เสียนเฟยเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ “นางกล่าวเช่นนี้เชียวหรือ”
ไม่ว่าจะเป็นสตรีในว่างหรือนอกวัง ต่อให้เกลียดแค้นกันจนอยากจะใช้มีดพุ่งแทง เมื่อเผชิญหน้าก็ยังต้องแสร้งทำเป็นยิ้มให้กัน จะมีผู้ได้โง่เขลาเช่นนี้เชียวหรือ
“นางคิดอย่างไรกันอยู่” เสียนเฟยพึมพำออกมา และรู้สึกสับสนกับสะใภ้คนเล็กเหลือเกิน
พระชายาฉีอ๋องสัมผัสไปที่ท้องของตน นางรู้สึกได้ถึงความปลื้มปีติที่มาอย่างกะทันหัน น้ำเสียงของนางดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เสด็จแม่เพคะ เดิมทีท่านอ๋องให้หม่อมฉันสร้างความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับน้องสะใภ้เจ็ด เพื่อช่วยให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งสองแน่นแฟ้นกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนสะใภ้เจ็ดจะไม่ชื่นชอบหม่อมฉันเท่าไหร่นัก เช่นนั้นน้องเจ็ดจะรู้สึกห่างเหินจากท่านอ๋องมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่…”