ตอนที่ 490 เถาจืออวิ๋นต้อนรับแขก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 490 เถาจืออวิ๋นต้อนรับแขก

เถาจืออวิ๋นพาฉีฉีไปรอทุกคนอยู่หน้าทางเข้าเขตชุมชน

พอเห็นหลินม่ายและคนอื่น ๆ กำลังเดินมาทางนี้ สองแม่ลูกก็รีบออกไปต้อนรับพวกเขา

เด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมากเมื่อได้พบกัน พูดคุยกันกะหนุงกะหนิงไม่หยุด ถ้าใครไม่รู้คงคิดว่าพวกเขาสองคนไม่ได้เจอกันมานาน

เถาจืออวิ๋นชำเลืองมองของขวัญในมือของโจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ อีกสามคน จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงแง่งอน “ฉันแค่เชิญเธอมากินอาหารมื้อเย็น ไม่เห็นต้องเอาของขวัญมาฝากมากมายแบบนี้เลย”

หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้จ่ายเงินซื้อของพวกนี้มาซะหน่อย เป็นของฝากจากครอบครัวคนไข้ของจั๋วหรานทั้งนั้น”

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในเขตชุมชน จากนั้นก็พบกับหัวหน้าหลู

เถาจืออวิ๋นถึงกับเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ

หัวหน้าหลูเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกหัวเสียมาก

พี่ชายกับพี่สะใภ้ใหญ่ของเถาจืออวิ๋นฉลาดและแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้เขาจะอารมณ์เสียแค่ไหน เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าความคิดชั่วร้ายในใจจะลบเลือนลง ยิ่งเถาจืออวิ๋นทำตัวหยิ่งยโสดูถูกเขาแค่ไหน เขาก็ยิ่งต้องการทำให้หล่อนได้รับความอับอายด้วยฝีมือเขา ไม่ว่าสำคัญว่าหล่อนจะเป็นหรือตาย เขาจะทำให้หล่อนยอมเชื่อฟังให้ได้

แต่พอนึกถึงความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นแล้ว เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ใหญ่ของเถาจืออวิ๋นอาจตามมาแก้แค้นในภายหลัง

หลินม่ายเป็นคนช่างสังเกตกับทุกสิ่ง

ถึงเธอจะเห็นสีหน้าหัวหน้าหลูแค่แวบเดียวเมื่อเดินผ่านกันไป แต่เธอก็พอจะจับสังเกตถึงแรงอาฆาตพยาบาทในสายตาของอีกฝ่ายได้

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นว่าเถาจืออวิ๋นและหัวหน้าหลูเพิกเฉยต่อกันและกัน ทำให้เธออดอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังไม่ได้

พอไม่มีคนนอกอยู่ด้วย หลินม่ายก็กระซิบถามเถาจืออวิ๋นด้วยความสงสัย “พี่กับหัวหน้าหลูมีเรื่องอะไรกันเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นตอบกลับเบา ๆ “เปล่า”

หลินม่ายเดาว่าหล่อนคงไม่อยากพูดถึง เลยตัดสินใจไม่ถามต่อ

คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปในประตูส่วนรวมของบ้านที่เถาจืออวิ๋นอาศัยอยู่

หลินม่ายมาที่บ้านของเถาจืออวิ๋นเป็นครั้งแรก เห็นว่าแม่และลูกสาวที่ปากไม่มีหูรูดกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ในห้องครัวของตัวเอง ซึ่งมีพื้นที่น้อยกว่าหนึ่งตารางเมตร

ภายในบ้านของพวกเขา มีเด็กน้อยสองสามคนที่อายุไม่เกินสิบขวบกำลังนอนพังพาบทำการบ้านอยู่แถวโต๊ะอาหาร

เมื่อเห็นว่าเถาจืออวิ๋นพาเพื่อนชายหญิงหลายคนมาที่บ้าน สองแม่ลูกก็หันไปซุบซิบนินทากันทันที

หญิงสาวถามเถาจืออวิ๋น “พาแขกมาที่บ้านเหรอจ๊ะ”

เถาจืออวิ๋นส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างเฉยเมย จากนั้นก็ไม่สนใจพวกหล่อนอีก

หญิงสาวหุบปากฉับด้วยความเบื่อหน่าย ก้มหน้าก้มตาเตรียมอาหารเย็นกับแม่ของตัวเองต่อไป

เถาจืออวิ๋นเตรียมอาหารสำหรับต้อนรับแขกไว้เรียบร้อยแล้ว เมนูเนื้อยังอยู่ในหม้อบนเตาเพื่ออุ่นให้กับข้าวยังร้อนตลอดเวลา ส่วนเมนูผักใบเขียวและเมนูยำอื่น ๆ วางเรียงรายอยู่รอบเตา

หล่อนเปิดห้องครัว จากนั้นก็ยกจานเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับหลินม่ายและคนอื่น ๆ

หลินม่ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ตัวเองเจอหน้าสองแม่ลูกคู่นั้นเป็นครั้งแรก พวกหล่อนก็พูดเรื่องเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับเถาจืออวิ๋นให้คนแปลกหน้าอย่างเธอฟัง

หลินม่ายถามด้วยความเป็นห่วง “สองแม่ลูกนั่นยังนินทาพี่ลับหลังอยู่หรือเปล่า?”

เถาจืออวิ๋นวางจานสองใบในมือลงบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หล่อนไม่กล้าหรอก ไม่ใช่แค่พวกหล่อนนะ แต่ยังรวมถึงคนอื่น ๆ ในโรงงานด้วย”

หลินม่ายประหลาดใจ “พี่ใช้วิธีไหนล่ะ ถึงทำให้ทุกคนในโรงงานกลัวพี่ได้ขนาดนั้น?”

“คำสั่ง” เมื่อเห็นว่าอาหารทั้งหมดถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะจนครบแล้ว เถาจืออวิ๋นก็เข้าไปหยิบตะเกียบจากในห้องครัว แล้วแจกจ่ายให้แต่ละคน

“พอรู้ว่าสองแม่ลูกนั่นใส่ร้ายฉันอีก ฉันก็ไม่ได้โต้เถียงให้เปลืองน้ำลาย แต่เข้าไปหาผู้จัดการโรงงานโดยตรง แล้วบอกเขาว่าสองแม่ลูกข้างบ้านปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับฉันอีกแล้ว เขาจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ? ในเมื่อไม่คิดจะตักเตือนพวกหล่อน งั้นเดือนหน้าฉันคงไม่สั่งออเดอร์เข้าไปอีกแล้ว ผู้จัดการโรงงานได้ยินแบบนั้นก็ตื่นตระหนกกันใหญ่ เรียกสองแม่ลูกเข้าห้องเย็นภายในวันนั้นเลย เตือนว่าถ้าพวกหล่อนยังกล้าว่าร้ายฉันแม้แต่คำเดียว พวกเขาจะยึดงานของผู้หญิงคนนั้นไปให้น้องชายสามีของหล่อนซะ แล้วเชิญครอบครัวของหล่อนย้ายกลับไปอยู่ชนบทตามเดิม”

หลินม่ายไม่เข้าใจ “ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะโดนยึดงานคืน แต่ก็ควรเอางานที่ยึดมาไปให้ญาติพี่น้องแท้ ๆ ของหล่อนไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมงานถึงตกไปอยู่กับน้องชายสามีซะได้?”

เถาจืออวิ๋นหยิบไวน์แดงขวดหนึ่งที่ซื้อมาจากตลาดฝูตัวตัวออกมาเปิดจุกแล้วรินให้กับทุกคน

“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำงานตั้งแต่แรก แต่เพราะสามีของหล่อนได้รับบาดเจ็บในระหว่างทำงานจนเสียชีวิต ทางโรงงานต้องการเยียวยาครอบครัวของเขา จึงอนุญาตให้หล่อนรับช่วงต่อจากสามีตัวเอง เพื่อที่หล่อนกับลูก ๆ และแม่ผู้ชราจะได้ตั้งตัวอยู่ในเมืองต่อไป ถ้าหล่อนโดนยึดงานคืนจริง ๆ คนที่รับช่วงต่อต้องเป็นของน้องชายสามีหล่อนแน่นอนอยู่แล้ว”

โจวฉายอวิ๋นซึ่งนั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ พอได้ยินแบบนั้นก็งงงวย ถามว่า

“ครอบครัวของผู้หญิงพวกนั้นไม่มีผู้ชายเป็นเสาหลักด้วยซ้ำ ชีวิตตัวเองก็น่าสมเพชพออยู่แล้ว ยังจะปล่อยข่าวลือของคนอื่นอีกทำไม? อยู่เงียบ ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ?”

หลินม่ายแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ไม่งั้นจะมีประโยคที่ว่าคนจนมักมีสิ่งที่เกลียดชังเหรอ”

เถาจืออวิ๋นดื่มไวน์แดงไปสองแก้ว จากนั้นก็แสดงความคิดเห็น “ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีมีความสัมพันธ์บางอย่างกับหม่าเทา หล่อนเลยพยายามทำให้ฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง แถมยังใส่ร้ายว่าฉันเป็นฝ่ายนอกใจก่อน”

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หน้าตาดีอะไรมาก แม้ไม่ถึงขั้นขี้เหร่ แต่รูปพรรณสันฐานก็โทรมบักโกรก แต่งตัวเฉิ่มเชย ดูแก่กว่าคนสารเลวหม่าเทาเป็นสิบปี

ถ้าหม่าเทามีนอกมีในกับหล่อนจริง ๆ นั่นก็หมายความว่าเขานอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า

แค่คิดหลินม่ายก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว

เถาจืออวิ๋นใช้จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมากในการเตรียมอาหารมื้อนี้ วัตถุดิบมีทั้งไก่ เป็ด และปลา รวมถึงอาหารตุ๋นที่ซื้อมาจากตลาดฝูตัวตัวด้วย

กลิ่นหอมของเมนูเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และอาหารตุ๋นโชยออกไปนอกบ้าน

เด็กน้อยข้างบ้านคว้าชามข้าวเก่า ๆ ที่เหลืองกระดำกระด่างแล้ววิ่งออกมาจากบ้านตัวเอง

จากนั้นก็มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูบ้านของเถาจืออวิ๋น จ้องมองโต๊ะอาหารของหล่อนซึ่งเต็มไปด้วยอาหารชั้นดีมากมาย ชวนให้น้ำลายสอ

แต่เถาจืออวิ๋นไม่สนใจพวกเขา

ก่อนที่หล่อนจะหย่าร้าง เด็กน้อยสองสามคนที่อยู่ข้างบ้านมักจะมาขออาหารจากเธอเป็นประจำ เถาจืออวิ๋นเห็นว่าพวกเขาน่าสงสาร จึงแบ่งอาหารให้อยู่เนือง ๆ

แต่ความสงสารไม่ได้เผื่อแผ่ลามไปถึงแม่และยายของพวกเขา

เด็ก ๆ ในบ้านพวกหล่อนเคยมาขอข้าวจากบ้านหล่อนกินแท้ ๆ แต่พวกหล่อนยังมีหน้ามาปล่อยข่าวลือใส่ร้าย ทำให้ชื่อเสียงของหล่อนเสื่อมเสีย เรื่องอะไรหล่อนจะต้องปฏิบัติต่อเด็กพวกนั้นเป็นอย่างดี?

สองแม่ลูกเห็นว่าลูกหลานของตัวเองไปยืนออกันอยู่หน้าประตูบ้านของเถาจืออวิ๋นนานแล้ว แต่ไม่มีใครในบ้านสนใจพวกเขาเลย ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา หันไปดุด่าแล้วเรียกพวกเขากลับเข้าบ้าน

หลังมื้ออาหาร ทุกคนช่วยกันล้างจานชาม

ฟางจั๋วเยวี่ยเผลอทำจานกระเบื้องตกพื้นจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

พอย่อตัวลงไปหยิบเศษชิ้นส่วนของจานใบนั้น ก็ถูกเศษจานคม ๆ บาดมือเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

หลินม่ายถึงกับพูดไม่ออก

ถ้าไม่เห็นแก่หน้าเขา เธออยากพูดออกไปซะเหลือเกินว่า ‘ทำไมถึงซุ่มซ่ามแบบนี้? ทำจานแตกยังไม่พอ ยังทำเศษจานที่แตกบาดนิ้วตัวเองอีก’

เถาจืออวิ๋นรีบไปหยิบยาฆ่าเชื้อ ยาอวิ๋นหนานไป๋ และผ้าก๊อซเพื่อเอาไปทำแผลให้ฟางจั๋วเยวี่ย

เนื่องจากที่บ้านของหล่อนมีเด็กผู้ชายอย่างฉีฉี ความซนตามวัยทำให้เขาบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หล่อนเลยมียาสำหรับใช้ปฐมพยาบาลภายนอกติดบ้านไว้เสมอ

เถาจืออวิ๋นมือเบามาก การเคลื่อนไหวแต่ละขั้นตอนอ่อนโยนไปหมด ถึงฟางจั๋วเยวี่ยจะโดนล้างแผลด้วยยาฆ่าเชื้อ แต่เขากลับไม่รู้สึกปวดแสบเลยแม้แต่น้อย หลังจากทายาอวิ๋นหนานไป๋และใช้ผ้าก๊อซพันแผลไว้แล้ว ความเจ็บปวดก็บรรเทาลง

ความอ่อนโยนจากเถาจืออวิ๋นทำให้ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจแปลก ๆ เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เถาจืออวิ๋นรีบทำแผลให้ฟางจั๋วเยวี่ยจนเสร็จ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้เขา “เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยตกตะลึงนิ่งไปเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น

เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ฟางจั๋วเยวี่ยล้างหน้าแปรงฟันตามปกติ

หลังจากนอนหลับข้ามคืน เขาก็ลืมความเจ็บบนนิ้วไปเสียสนิท พอบาดแผลโดนน้ำ ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านขึ้นมาจนความทรงจำฟื้นคืน

พออาบน้ำเสร็จ เขาก็ลงไปชั้นล่างพร้อมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เตรียมพร้อมสำหรับการกินอาหารมื้อเช้า

เมื่อเห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ตัวเองนั่งอยู่ที่นั่น เขาก็นึกไปถึงภาพที่เถาจืออวิ๋นช่วยทำแผลให้เขาเมื่อวานนี้

เขาอยากสัมผัสความมือเบาจนทำให้หลงลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะแบบนั้นอีก จึงรีบเดินตรงไปหาหลินม่าย พร้อมกับชูนิ้วกลางที่โดนเศษจานบาดขึ้นมา

ในมุมมองของฟางจั๋วเยวี่ย เขาแค่อยากได้ผู้หญิงสักคนมาทำแผลให้ใหม่ เผื่อว่าความอ่อนโยนจะทำให้เขาไม่เจ็บมาก

ซึ่งในบ้านก็มีแค่คุณย่าฟาง พี่สะใภ้ และโต้วโต้ว เรียงตามลำดับความอาวุโส

ฟางจั๋วเยวี่ยไม่คิดจะให้คุณย่าฟางช่วยทำแผลให้ตั้งแต่แรก แค่นางเห็นหน้าเขาก็สรรหาเรื่องมาดุทุกครั้งไป ฉะนั้นอย่าได้คาดหวังความอ่อนโยนเลย นับประสาอะไรกับความมือเบา

โต้วโต้วยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงว่าหล่อนจะช่วยทำแผลให้เขาเป็นหรือเปล่า อีกฝ่ายต้องใช้นิ้วเล็ก ๆ ของตัวเองจิ้มเข้าไปตรงรอยบาดอย่างไม่ต้องสงสัย

ครั้งล่าสุดที่เขาอุ้มหล่อนขึ้นไปนั่งขี่คอ มือน้อย ๆ ทั้งสองข้างของหล่อนแทบจะควักลูกตาเขาออกมาอยู่แล้ว เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ดี

นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกหลินม่ายเป็นเป้าหมายอันชัดเจน

ผู้หญิงคนนี้สวยหวาน แถมยังพูดจาไพเราะ มีความเป็นผู้หญิงทุกกระเบียด

ถ้าขอให้เธอช่วยทำแผลให้ มือเธอต้องเบากว่าเถาจืออวิ๋นแน่นอน

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยวิ่งไปหาหลินม่ายโดยที่ชูนิ้วกลางขึ้นในแนวตั้งแบบนั้น ใบหน้าของเขาก็มืดลงทันที “นายไม่อยากมีนิ้วกลางแล้วใช่ไหม? ฉันจะได้ตัดมันไปบริจาคให้คนที่ต้องการซะ!”

คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาไม่เข้าใจความหมายของการชูนิ้วกลาง จึงได้แต่มองไปที่หลานชายทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ

ฟางจั๋วเยวี่ยแหย่นิ้วที่โดนจานบาดเข้าไปจ่อใต้รูจมูกพี่ชายตัวเอง “ผมไม่ได้จะชูนิ้วกลางแบบนั้นซะหน่อย มันโดนเศษจานกระเบื้องบาดต่างหากล่ะ เลยว่าจะขอให้พี่สะใภ้ช่วยทำแผลให้หน่อย”

ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองนิ้วอีกฝ่ายแล้วพูดประชดประชัน “แผลร้ายแรงจริง ๆ เลยนะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยตอบกลับอย่างมั่นใจทันที “เพราะแบบนี้ไงผมเลยอยากให้พี่สะใภ้ช่วยทำแผลให้”

ทันทีที่เขาพูดจบ ฟางจั๋วหรานก็สวนกลับทันที “ฉันว่านายยังไม่ทันทำแผลเสร็จ แผลก็หายดีแล้วละมั้ง”

ฟางจั๋วเยวี่ยกระดากอายขึ้นมาทันใด

หลังเสร็จสิ้นอาหารมื้อเช้า ฟางจั๋วเยวี่ยก็ไม่ลืมขอให้หลินม่ายช่วยทำแผลให้ตัวเองอีกครั้ง

ฟางจั๋วหรานพูดว่า “นายลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นหมอศัลย์?”

จากนั้นเขาก็จัดการทำแผลให้ฟางจั๋วเยวี่ยด้วยตัวเอง

ที่จริงรอยแผลแทบจะสมานเข้าด้วยกันไปครึ่งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องพึ่งผ้าก๊อซแล้วก็ได้

แต่ฟางจั๋วหรานกลัวว่าฟางจั๋วเยวี่ยจะรบกวนหลินม่ายมากเกินไป จึงเอาผ้าก๊อซพันรอบแผลให้เขาหลาย ๆ ทบ

นอกจากฟางจั๋วเยวี่ยจะไม่รู้สึกถึงความเบาสบายเหมือนเดินอยู่บนก้อนเมฆแล้ว เขากลับสัมผัสได้แค่ออร่าเย็นเฉียบจากพี่ชายผู้เป็นศัลยแพทย์

จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้ายกันไปทำงาน พวกเขาก็มานั่งเปลี่ยนรองเท้ากันตรงประตูบ้าน

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองไปยังรองเท้าหนังราคาแพงคู่ที่ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังสวมใส่

ฟางจั๋วเยวี่ยหวาดกลัวสายตาอันเฉียบคมของเขาขึ้นมา จึงพูดพร้อมกับยิ้มแหะ ๆ “วันไหว้พระจันทร์ผมทำหน้าที่เป็นกุลีจำเป็นให้ที่บ้านน่ะ พี่สะใภ้ก็เลยซื้อให้เป็นค่าตอบแทน ฮิๆ!”

หลินม่ายรีบอธิบาย “รองเท้าที่ฉันซื้อให้คุณราคาแพงกว่าของจั๋วเยวี่ยอีกนะคะ”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้ารับเบา ๆ จากนั้นก็หันกลับไปหาฟางจั๋วเยวี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นายไม่ต้องมองเหมือนฉันเป็นตัวเจ้าปัญหาหรอก ฉันไม่ได้หึงเรื่องพี่สะใภ้ซื้อรองเท้าหนังให้นาย พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่ ไม่ว่าเธอซื้ออะไรให้นายก็ตาม เธอก็แค่เห็นนายเป็นลูกชายคนหนึ่ง ทำไมฉันต้องหึงหวงด้วย?”

มุมปากของฟางจั๋วเยวี่ยกระตุก คำพูดไม่กี่ประโยคจากปากพี่ชายเหมือนลดลำดับอาวุโสของเขาลงไปหนึ่งระดับ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ตอนแรกก็คิดว่าหัวหน้าหลูน่าจะเป็นคนดีแหละ ไปๆ มาๆ น่ารังเกียจพอๆ กับสามีเก่าของจืออวิ๋นเลยนะเนี่ย

จะเกิดประกายไฟระหว่างจั๋วเยวี่ยกับจืออวิ๋นหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)