ตอนที่ 500 หงเหนียงถูกตบ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 500 หงเหนียงถูกตบ?

ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์คนนั้นหันมามองก่วนฟางอี๋ “ทำให้ท่านต้องได้รับความตกใจเสียแล้ว ข้าจะไปแจ้งต่อทางสำนักให้ทางสำนักช่วยตัดสิน”

ตอนนี้เขายังไม่ทราบฐานะของก่วนฟางอี๋ แต่ในใจค่อนข้างโมโหเช่นกัน คิดว่าคนของสำนักชะตาสวรรค์กำแหงเกินไปแล้ว กล้าก่อเรื่องวิวาทอย่างเปิดเผยในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ไม่เห็นสำนักหมื่นสรรพสัตว์อยู่ในสายตาสักเท่าใด

ก่วนฟางอี๋ที่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับคราบเลือดตรงมุมปากและจมูกเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้อง!”

ศิษย์คนนั้นเอ่ยว่า “ท่านไม่ต้องกังวล ที่นี่มิใช่สำนักชะตาสวรรค์ของพวกเขา หาใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะมาทำตัวป่าเถื่อนได้ จะต้องทวงความเป็นธรรมให้ท่านแน่นอน”

ก่วนฟางอี๋ยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ ทวงความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ? ยังมีความเป็นธรรมใดอีกเล่า? สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่มีทางแตกหักกับสำนักชะตาสวรรค์เพื่อนาง หากเรื่องนี้ขยายใหญ่โตขึ้น ด้วยชื่อเสียงของตัวนางไหน เลยจะยังมีคำว่าความเป็นธรรมอยู่ จะมีแต่ชื่อเสียงฉาวโฉ่หลั่งไหลเข้ามาหานางเท่านั้น

ต่อให้ทวงความเป็นธรรมได้แล้วยังไง? นางจะล่วงเกินสำนักชะตาสวรรค์ได้หรือ? ไม่ได้ต่างอะไรจากรนหาที่ตายเลย

“ไม่จำเป็นจริงๆ ข้ายอมรับได้” ก่วนฟางอี๋ส่ายหน้า

“….” ศิษย์คนนั้นพูดไม่ออก ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เอาความ บอกว่าตนยอมรับได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะยังไต่ถามเอาความได้อีกหรือ!

เขาเพียงคิดไปว่าอีกฝ่ายคงเกรงกลัวอำนาจของสำนักชะตาสวรรค์ คิดๆ ไปมันก็จริง ต่อให้ทวงความเป็นธรรมที่นี่ได้ พอออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปก็ต้องถูกสำนักชะตาสวรรค์ตามเล่นงานเพราะเรื่องนี้อีก

“เฮ้อ!” ศิษย์คนนั้นถอนหายใจ “ท่านไม่เป็นไรกระมัง?”

ก่วนฟางอี๋ยิ้มน้อยๆ “ขอบใจสำหรับเจตนาดีของน้องชาย ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจข้าหรอก กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ศิษย์คนนั้นได้แต่แยกตัวออกไป กลับไปเฝ้าหน้าประตูเรือน คุยซุบซิบกับสหายร่วมสำนักอีกคนหนึ่ง ชำเลืองมองทางนี้เป็นครั้งคราว

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ในศาลาเช็ดคราบเลือดจนหมดจดอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็โคจรลมปราณกระตุ้นโลหิต ทำให้อาการบวมแดงบนแก้มทั้งสองข้างทุเลาลง

เมื่ออาการบวมแดงทุเลาลง นางก็เก็บผ้าเช็ดหน้าซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ ยกมือขึ้นจัดทรงผมที่ที่เอียงโย้เล็กน้อยให้เข้าที่ เรียกภาพลักษณ์กลับมาอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกจากศาลา เดินกลับไปที่ริมเขาเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ยืนเหม่อใจลอยอยู่ตรงนั้น

ศิษย์ทั้งสองที่เฝ้าประตูอยู่ล้วนมองแผ่นหลังของนางเป็นระยะๆ ต่างรู้สึกเห็นใจ คิดว่าเหวินซินจ้าวใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นเกินไปแล้ว

แต่ก็เห็นใจแค่ในยามนี้เท่านั้น ภายหลังพอทราบฐานะของก่วนฟางอี๋ก็กลายเป็นหัวเราะหยัน คาดว่าคนผู้นี้น่าจะไปยุ่งกับสามีของเหวินซินจ้าวเข้า อย่างนั้นก็สมควร

ยามที่ดวงตะวันกำลังจะลับทิวเขา หนิวโหย่วเต้าเดินออกมาจากเรือนด้วยตัวเอง ด้วยสถานะของเขาจึงย่อมไม่มีผู้อาวุโสสำนักเทพนารีออกมาส่งด้วยตัวเอง มีเพียงศิษย์ระดับล่างคนหนึ่งออกมาส่งเท่านั้น

ยามที่เดินออกประตูมา หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อย ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองคนดูเหมือนจะจ้องมองตนอยู่ตลอด ไม่ทราบว่ามองอะไรกัน

เมื่อเดินมาถึงริมเขา หนิวโหย่วเต้าถามยิ้มๆ “คิดอะไรอยู่กัน คิดจนใจลอยไปถึงไหนแล้ว?”

ก่วนฟางอี๋หันกลับมา ยิ้มหยาดเยิ้มเอ่ยไปว่า “ราบรื่นดีกระมัง?”

“ก็ไม่มีอะไร กลับกันเถอะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเรียก ทั้งสองเดินเคียงกันไป เขาหันกลับไปมองเล็กน้อยเป็นครั้งคราว เอ่ยด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์สองคนนั้น ไยจึงเอาแต่จ้องมองพวกเราอยู่ได้?”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะคิกคัก “กบในกะลาก็เช่นนี้แหละ แปลว่าข้ายังมีเสน่ห์อยู่”

“ฮ่าๆ พูดถูกแล้ว โฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าจะขาดเสน่ห์ในส่วนนี้ไปได้อย่างไร ได้เดินเคียงคู่กับเจ้าช่างเป็นเกียรตินัก”

“ก็ไม่แน่หรอก เหตุใดข้าดูไม่ออกเลยล่ะว่าเจ้ามีท่าทีหวั่นไหวกับข้า? ใช่ว่าข้าจะไม่เคยให้โอกาสเจ้าเสียหน่อย!”

“ประโยคนี้อาจจะกล่าวผิดไปแล้ว ตอนเช้าที่บุกเข้าห้องเจ้าไปแล้วได้เห็นเจ้าอาบน้ำอยู่ ขนาดไล่ข้าข้ายังไม่ไปเลย เจ้าทรงเสน่ห์มากแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว”

“ไปตายซะ!”

“ฮ่าๆ ใช่แล้ว กลุ่มคนที่ออกมาก่อนหน้านี้คือตู้อวิ๋นซางเจ้าสำนักชะตาสวรรค์กับฮูหยินของเขากระมัง?”

“ทำไม? เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ?

“ตอนเข้าไป ข้าสอบถามมาเล็กน้อย สายตาที่เจ้าสำนักตู้คนนั้นมองเจ้าดูผิดปกติ เป็นคนคุ้นเคยเก่าของเจ้าเช่นกันกระมัง?”

“คุ้นเคยไม่คุ้นเคยอันใดกัน ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น”

“ข้าว่าคงไม่ใช่แค่นั้นกระมัง หลังจากเจ้าเห็นเขาก็ดูแปลกไปเช่นกัน กับคนคุ้นเคยเก่าๆ ก่อนหน้านี้ ไม่เห็นเจ้าจะเป็นแบบนี้เลย”

“เจ้ามองเรื่องพวกนี้ออกหมดเลยหรือ? อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก พวกคนก่อนหน้านี้ไม่เคยได้หลับนอนกับข้า แต่กับคนคนนี้เคยร่วมหลับนอนกันมา อีกฝ่ายมีฮูหยินมาด้วย ข้าก็เลยต้องหลบๆ หน่อย”

“โอ้ ที่แท้ก็เป็นคนที่เคยมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษนี่เอง มิน่าล่ะ บอกมาตามตรงเถอะ ยันต์อาคมของเจ้าเหล่านั้นก็ได้มาจากคนผู้นี้กระมัง?”

“เฮ้อ ตอนนั้นข้าไม่ต้องการ แต่เขาก็ยัดเยียดให้จนได้ ข้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ อันว่าน้ำใจยากจะปฏิเสธได้!”

“ฮ่าๆ!”

เมื่อเดินพ้นออกมาจากเขตเรือนรับรองแล้ว ทั้งสองพากันเหินทะยานจากไป ล้วนคุ้นเคยกับเส้นทางขากลับกันแล้ว ขอเพียงไม่ออกนอกทางก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดนำทางอีก

พอกลับมาถึง โจวเถี่ยจื่อกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ในห้องโถงพอดี ข้าวปลาอาหารดูเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไป อิ๋นเอ๋อร์เองก็เหลือบมองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็กลับไปมองอาหารเต็มโต๊ะด้วยแววตาเป็นประกาย ลิ้นน้อยๆ สีแดงสดแลบออกมาเลียริมฝีปากเป็นระยะ

หนิวโหย่วเต้าเดินมาหยุดข้างโต๊ะอาหาร มองดูเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “หือ โจวซยง กับข้าววันนี้ดูเยอะกว่าปกตินะ!”

โจวเถี่ยจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นว่าทุกครั้งพวกท่านล้วนกินกันหมดเกลี้ยง จึงไปคุยกับฝ่ายจัดส่งอาหารให้ ให้พวกเขาจัดเตรียมเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง”

หนิวโหย่วเต้ามองอิ๋นเอ๋อร์ที่เลียปากอยู่ รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เรื่องที่กินหมดเกลี้ยงไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลย ล้วนเป็นฝีมือเด็กคนนี้ คาดว่าชื่อเสียงของทางนี้คงถูกราชินีปีศาจทำป่นปี้แล้ว กินจุถึงเพียงนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะนึกว่าทางนี้เป็นจอมตะกละเอาได้

ประเด็นสำคัญคือ เพิ่มปริมาณขึ้นอีกหนึ่งเท่าก็ยังกินจนเกลี้ยงได้อยู่ดี

ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าอิ๋นเอ๋อร์จะกินอย่างไรหน้าท้องก็ไม่ขยายใหญ่เลย ราวกับกระเพาะไร้ขีดจำกัด

เพียงแต่เรื่องที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าพอใจคือจู่ๆ โจวเถี่ยจื่อก็เป็นฝ่ายแสดงน้ำใจ นี่คือสัญญาณที่ดี แปลว่าแผนการของตนได้ผลแล้ว

“พวกท่านค่อยๆ กินกันไปเถอะ ข้าจะกลับมาเก็บทีหลัง” โจวเถี่ยจื่อเอ่ยแจ้งแล้วถอยออกไป

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็นั่งลงบนโต๊ะอาหาร ส่งสัญญาณให้ทุกคนมากินด้วยกัน

ก่วนฟางอี๋กลับไม่คิดจะเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ นางถอนหายใจเอ่ยไปว่า “วันนี้ถูกคนสารเลวบางคนลากข้าออกไปทั้งที่เพิ่งอาบน้ำไปได้เพียงครึ่งทาง ไม่สบายตัวเอาเสียเลย ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว ข้าจะกลับไปอาบน้ำต่อ พวกเจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ ส่วนของข้ายกให้อิ๋นเอ๋อร์แล้วกัน”

ทุกคนมองไปที่หนิวโหย่วเต้า ย่อมทราบดีว่าคนสารเลวผู้นั้นเป็นใคร

หนิวโหย่วเต้าไม่เก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญเพียรไม่กินอาหารสักสองสามมื้อก็ไม่เป็นไรอยู่ดี ตัวเขาจับตะเกียบขึ้นมาก่อน

มีเพียงอิ๋นเอ๋อร์ที่มองไปทางก่วนฟางอี๋ ส่งสายตาที่สื่อความได้ว่า ‘ข้าพอใจในตัวเจ้ามาก’ ให้ ทำให้ก่วนฟางอี๋หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

หลังจากกินกันไปสักพักใหญ่ก็ไม่เห็นก่วนฟางอี๋โผล่ออกมาอีก ประตูหน้าต่างปิดสนิท ภายในห้องมืดมิด แม้แต่ผีเสื้อจันทราก็ไม่ได้ปล่อยออกมา

สตรีนางนี้ไม่ใคร่ใส่ใจกับเรื่องบำเพ็ญเพียร ปกติแล้วในเวลานี้มักจะออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่ แต่สถานการณ์ในวันนี้ชวนให้คนรู้สึกแปลกใจ

เดิมทีหนิวโหย่วเต้าคิดจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าถูกหยวนกังเดินเข้ามาอย่างรีบเร่งแล้วรั้งตัวเอาไว้ก่อน

“เต้าเหยี่ย มีข่าวมาแล้ว มีกลุ่มคนที่สวมเครื่องแบบสำนักเขามหายานเข้าเมืองมาแล้ว เข้าพักในโรงเตี๊ยมแล้ว กำลังรอยืนยันสถานะอยู่ครับ”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เข้าใจแล้ว ให้คนของสำนักเบญจคีรีคอยจับตามองก็พอ เรื่องอื่นฉันจะจัดการเอง”

หยวนกังพยักหน้ารับ “เฉาเซิ่งไหวเองก็ ‘แขวนธง’ ไว้ด้านนอกแล้วครับ”

คำว่า ‘แขวนธง’ เป็นศัพท์เฉพาะที่พวกเขาใช้มาตั้งแต่โลกก่อนหน้า แปลว่าเฉาเซิ่งไหวส่งสัญญาณขอนัดพบแล้ว

“นายไปคุยกับโจวเถี่ยจื่อหน่อย” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หยวนกังพยักหน้ารับ เข้าใจเจตนาของเขาดี เต้าเหยี่ยจะออกไปพบเฉาเซิ่งไหว ไม่อยากให้โจวเถี่ยจื่อเห็นเข้า

รออยู่ครู่หนึ่ง หนิวโหย่วเต้าก็มาถึงลำธารในภูเขา เดินวนไปวนมาอยู่ริมลำธารราวกับใคร่ครวญถึงปัญหาอันใดอยู่

มีเสียงของเฉาเซิ่งไหวแว่วดังมาจากด้านหลังเถาบุปผาที่ห้อยปรกลงมา “คนจากสำนักเขามหายานที่เจ้าตามหามาถึงแล้ว เข้าพักในโรงเตี๊ยมเดียวกับที่เจ้าเคยพักอยู่”

เรื่องนี้หนิวโหย่วเต้าทราบแล้ว เขาเอ่ยไปว่า “มีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยหน่อย”

เฉาเซิ่งไหวโอดครวญเสียงแผ่วเบา “ยังมีเรื่องใดอีก? เมื่อไรเรื่องของเจ้าจะหมดลงซักที?”

“วางใจเถอะ ไม่กระทบถึงเจ้า แล้วก็จะไม่ให้เจ้าต้องรับผิดชอบอะไรแน่ เจ้าจงจัดหาคนที่ไว้ใจได้ไป…” หนิวโหย่วเต้าพึมพำสั่งงานอยู่พักหนึ่ง

หลังฟังจบ พบว่าไม่ส่งผลกระทบใดเลยจริงๆ เฉาเซิ่งไหวจึงตอบรับโดยปริยาย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ตอนนี้เฉินถิงซิ่วยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ขอให้ไปแจ้งเรื่องขอเข้าพบต่อทางสำนักเพลิงนภา แต่สำนักเพลิงนภาปฏิเสธที่จะพบเขา”

สำนักเพลิงนภาอย่างนั้นหรือ? เฉินถิงซิ่วต้องการพบคนของสำนักเพลิงนภา? หนิวโหย่วเต้าพลันตื่นตัวขึ้นมา ระหว่างที่เดินวนกลับไปกลับมาก็ค่อยๆ หรี่ตาลง ตระหนักถึงบางเรื่องได้รางๆ แล้ว

“ยังมีอีก เป็นเรื่องทางสำนักชะตาสวรรค์ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก ไม้ซีกไม่มีทางงัดไม้ซุงไหว หากเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาคนซวยจะเป็นพวกเจ้าเอง ควรทนก็ทนไว้เถิด ก่อนงานใหญ่จะสำเร็จอย่าให้เกิดเรื่องขึ้นที่นี่”

เฉาเซิ่งไหวหมายถึงเรื่องที่ก่วนฟางอี๋ถูกตบ เวลานี้ได้กลายเป็นเรื่องฮือฮาน่าตกใจในสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว ถึงเขาจะไม่อยากรู้ก็คงยาก

เรื่องราวทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องหึงหวงระหว่างชายหญิงได้ง่าย มีคนมากมายนำไปพูดวิจารณ์ขบขัน เรื่องเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของฮูหยินสำนักชะตาสวรรค์ ซ้ำยังเกิดเรื่องขึ้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์อีก หากแพร่ออกไปคงไม่เกิดผลดี สำนักหมื่นสรรพสัตว์มีคำสั่งเด็ดขาดว่าห้ามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ต่อผู้ใดส่งเดช

แต่สำหรับเฉาเซิ่งไหวแล้ว หากหนิวโหย่วเต้าอยู่ต่อหนึ่งวันเขาก็ต้องกระวนกระวายใจเพิ่มอีกหนึ่งวัน กลัวว่าหนิวโหย่วเต้าจะก่อเรื่องขึ้นให้ตนคอยตามล้างตามเช็ด ด้วยอิทธิพลของสำนักชะตาสวรรค์แล้ว เขาไม่มีทางตามล้างตามเช็ดไหว จะไปล่วงเกินไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเอ่ยเตือน

หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างมึนงง “สำนักชะตาสวรรค์หรือ? สำนักชะตาสวรรค์ทำอันใดอีก?”

เฉาเซิ่งไหวแปลกใจ “เรื่องที่หงเหนียงคนนั้นถูกตบก่อนหน้านี้เจ้าไม่รู้เรื่องหรือ?”

พอเอ่ยประโยคนี้ออกไปเขาก็นึกเสียใจแล้ว อีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง ตนจะพูดออกมาทำไมกัน แบบนี้มิใช่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาหรอกหรือ?

เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าก่วนฟางอี๋จะปิดบังเรื่องนี้ไว้ไม่แจ้งต่อหนิวโหย่วเต้า

“หงเหนียงถูกตบ?” หนิวโหย่วเต้าผงะไป อยู่กับก่วนฟางอี๋แทบทั้งวัน ไปถูกตบตีได้อย่างไร? พลันนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้ก่วนฟางอี๋ดูแปลกไปเล็กน้อยจริงๆ เขาหันกลับมาด้วยความตกใจ มองไปทางเถาบุปผา “เรื่องเป็นมาอย่างไร?”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้าอาจจะฟังผิดไป”

น้ำเสียงหนิวโหย่วเต้าเยียบเย็นขึ้นมา “เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถลากตัวเจ้าออกมาสอบถามให้กระจ่างต่อหน้าผู้คนได้ตอนนี้เลย”

เฉาเซิ่งไหวพลันร้องด่าไปถึงบรรพบุรุษของเขาอยู่ในใจ “ข้าก็แค่ได้ยินคนพูดกัน จำไม่ค่อยได้แล้ว”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยคำเดียว “พูด!”

เฉาเซิ่งไหวจนปัญญาอย่างยิ่ง “เฮ้อ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่หงเหนียงคนนั้นถูกเหวินซินจ้าวฮูหยินตู้อวิ๋นซางเจ้าสำนักชะตาสวรรค์ตบไปสองฉาดเท่านั้น คนในเส้นทางบำเพ็ญเพียร ถูกตบทีสองทีไม่นับเป็นอันใด คาดว่าไม่มีแม้แต่รอยแผลด้วยซ้ำ จะมีเรื่องใดไปได้เล่า?”

หนิวโหย่วเต้านึกถึงท่าทางผิดปกติของศิษย์เฝ้าประตูขึ้นมา เอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องเกิดขึ้นในตอนที่ข้าไปพบเจ้าสำนักเทพนารีใช่หรือไม่?”

เฉาเซิ่งไหวตอบว่า “ได้ยินว่าเป็นช่วงเวลานั้น เกิดเหตุขึ้นในศาลาริมทางที่อยู่ด้านนอกเรือนรับรองหลังนั้น”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่ถูกสิ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น ระยะทางใกล้แค่นั้นข้าไม่มีทางที่จะไม่ได้ยินเสียงต่อสู้”

…………………………………………………………………