ตอนที่ 501 ไม่รับเงิน

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “เฮ้อ มีการต่อสู้อันใดเสียที่ไหน ไม่มีการต่อสู้เลย ข้าได้ยินว่าหงเหนียงคนนั้นปล่อยให้ตบหน้าสองฉาดโดยไม่เอาคืน ถูกคนอื่นเรียกไปตบถึงสองฉากก็ยังยืนนิ่งรับแต่โดยดี แต่ก็พอจะเข้าใจได้ เหวินซินจ้าวมิใช่คนที่ผู้ใดจะสามารถล่วงเกินได้”

หากมิใช่เพราะฟ้ามืด คงจะมองออกว่าสีหน้าของหนิวโหย่วเต้าไม่สู้ดีนัก เขาก็อยากรู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดก่วนฟางอี๋ถึงถูกตบตี เขาถามออกไป “เหตุใดเหวินซินจ้าวถึงตบนาง?”

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “จะไปรู้ได้อย่างไร ได้ยินว่าไม่มีสัญญาณบอกใบ้ใดๆ มาก่อนเลย จู่ๆ เหวินซินจ้าวก็เรียกนางออกไปที่ศาลาใกล้ๆ ลงมือตบหน้านางสองฉาดอย่างกะทันหัน ศิษย์ในสำนักที่อยู่ด้วยในขณะนั้นก็ประหลาดใจมากเช่นกัน แต่ใครๆ ก็รู้ว่าหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีเป็นคนอย่างไร เรื่องราวด้านสัมพันธ์ชายหญิงค่อนข้างวุ่นวาย ทุกคนสงสัยว่าหงเหนียงอาจจะไปยั่วยวนตู้อวิ๋นซางเข้า มิเช่นนั้นด้วยฐานะของเหวินซินจ้าวแล้วคงไม่ทำถึงขั้นนี้”

หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็โมโห “เหลวไหล เจ้าเห็นด้วยตาข้างไหนว่านางไปยั่วยวนตู้อวิ๋นซาง? นางไม่ใช่คนแบบนั้น! ไม่มีหลักฐานยืนยันพวกเจ้าก็กล้าพูดจาเหลวไหลส่งเดชอย่างนั้นหรือ?”

เฉาเซิ่งไหวนึกถึงข่าวลือขึ้นมา คนผู้นี้ก็ดูเหมือนจะมีสัมพันธ์คลุมเครือกับสตรีนางนั้นเช่นกัน ซวยแล้ว เขารีบขอโทษขอโพยทันที “เอ้อ ข้าไม่มีทางพูดออกไปแน่นอน หนิวซยงอย่าเก็บมาใส่ใจเลย เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เกิดเรื่องขึ้นในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ คนของสำนักชะตาสวรรค์ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปส่งเดช หากหลุดออกไปจริงสำนักหมื่นสรรพสัตว์เราก็ไม่พ้นต้องเข้าไปพัวพันด้วยเช่นกัน เรื่องราวกระทบต่อชื่อเสียงของคนใหญ่คนโต สำนักหมื่นสรรพสัตว์เรามีประกาศเด็ดขาดแล้วว่าไม่ให้แพร่งพรายส่งเดช วางใจเถอะ ไม่มีข่าวหลุดไปแน่นอน”

เพลิงโทสะของหนิวโหย่วเต้ายังไม่ทุเลาลง “สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเจ้าจะไปทำอะไรกินได้? มีคนมาทำตัวระรานถึงในสำนักของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ? แม้แต่ความปลอดภัยของแขกยังปกป้องไม่ได้ อาศัยสิทธิ์ใดถึงมีตำแหน่งในหอเลือนสลัวได้ นี่คือหลักการรับรองแขกของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเจ้าหรือ?”

เฉาเซิ่งไหวพลันเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย “หนิวซยง สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของข้าก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเหมือนกัน แต่เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ผู้ใดจะทราบได้เล่า? เดิมทีศิษย์ในสำนักจะไปร้องเรียนให้ไต่สวนเอาความ เป็นหงเหนียงคนนั้นที่ขวางเอาไว้เอง ซ้ำยังบอกว่านางยินยอมรับเอง ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากเอาความ สำนักหมื่นสรรพสัตว์จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนไร้เหตุผล ทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าหงเหนียงคนนั้นก็พอจะรู้ความอยู่เช่นกัน แยกแยะหนักเบาได้ หนิวซยง ข้าว่าเจ้าอย่างสร้างเรื่องวุ่นวายเลยดีกว่า”

“หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!”

“เฮ้ ข้าว่าเจ้ากินยาผิดไปกระมัง มาโมโหใส่ข้าทำไมกัน?”

“ไปให้พ้น!”

“ได้ เจ้าใจเย็นๆ ไว้ อย่าโมโหไปเลย ห้ามก่อเรื่องขึ้นเชียวล่ะ”

มีเสียงสวบสาบแปลกๆ แว่วดังออกมาจากหลังเถาบุปผาที่ห้อยปรกอยู่บนหน้าผา จากนั้นเสียงจากทางเฉาเซิ่งไหวก็หายไป เขาไปแล้ว

หนิวโหย่วเต้าก้าวเดินเชื่องช้า เดินไปหยุดริมลำธาร มองจันทร์เสี้ยวที่สะท้อนอยู่บนระลอกน้ำ

เงียบงันอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็หันกลับไป เห็นเงาร่างหนึ่งร่อนลงมาด้านข้าง มิใช่ใครอื่น เป็นโฉวซานนั่นเอง หนิวโหย่วเต้าหวาดระแวงขึ้นมา กังวลว่าจะถูกจับพิรุธได้

“ดึกดื่นปานนี้มายืนทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวเล่า” โฉวซานถามด้วยรอยยิ้ม

หนิวโหย่วเต้าแค่นเสียงเย็นชา “คนของข้าถูกตบตี จะมาระบายความคับข้องใจตามลำพังก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” เขาสบช่องกลบเกลื่อนไป

“เฮ้อ!” โฉวซานถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็มาเพราะเรื่องนี้เช่นกัน

หากเรื่องที่หงเหนียงถูกตบตีแพร่ออกไป สำนักหมื่นสรรพสัตว์กลัวว่าทางนี้จะก่อปัญหาขึ้น จึงคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทางนี้อยู่แล้ว เพราะต้องการควบคุมสถานการณ์ไว้ พอเห็นหนิวโหย่วเต้ามีพฤติกรรมผิดปกติไปก็รายงานต่อเบื้องบนทันที โฉวซานได้ข่าวก็รีบมาโดยเร็ว ต้องการคลี่คลายให้กระจ่าง

เรื่องนี้จะว่าไปแล้วสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็มีส่วนต้องรับผิดชอบพอสมควร เรื่องเกิดขึ้นในเขตสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แต่สำนักหมื่นสรรพสัตว์กลับให้ความเป็นธรรมไม่ได้

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หนิวโหย่วเต้าผู้นี้ก็มิใช่คนดีเด่อันใด แม้แต่ราชทูตแคว้นเยี่ยนก็ยังกล้าสังหารมาแล้ว ถึงขั้นหมายจะสังหารศิษย์สำนักเพลิงนภาอย่างเปิดเผยด้วย จึงกังวลว่าคนผู้นี้จะก่อเรื่องขึ้น

“น้องชาย เจ้าคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?” โฉวซานเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ลองหยั่งเชิงความคิดเขา

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่ยาก ข้าก็ไม่เรียกร้องมากมายเช่นกัน พวกท่านจับนังตัวดีคนนั้นมาเสีย ให้ข้าตบคืนสักสองฉาด เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอันสิ้นสุด”

“ได้ ไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องจับเลย ไปเรียกมาเฉยๆ ก็ใช้ได้แล้ว” โฉวซานตอบรับโดยเร็ว จากนั้นถามต่อว่า “ต่อให้นางมาแล้ว มายืนตรงหน้าเจ้าแล้วให้เจ้าตบ เจ้าจะกล้าตบหรือ?”

“ฮ้า!” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะออกมา ชี้ออกไปนอกหุบเขา “ท่านก็ลองไปเรียกนางมาสิ ดูสิว่าข้าจะกล้าหรือไม่!”

โฉวซานยื่นมือไปกดมือเขาลง เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “น้องชาย จัดการปัญหาด้วยอารมณ์ไปก็ไม่มีประโยชน์ เหวินซินจ้าวเป็นผู้ใดกัน? บิดาของนางคืออดีตเจ้าสำนักชะตาสวรรค์รุ่นก่อน ถึงแม้จะลงจากตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว แต่ยังมีอำนาจอยู่ อิทธิพลเองก็ยังมีอยู่เช่นกัน เจ้าจะล่วงเกินสำนักชะตาสวรรค์ได้หรือ? เจ้าอาจจะสุขสมใจไปชั่วขณะ แต่หลังตบเสร็จแล้วเล่า? เจ้าลองออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปสิ รอดูเถิดว่าเจ้าจะรอดไปได้สักกี่วัน!” 艾琳小說

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หลังตบเสร็จ ข้าจะรั้งอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่ออกไปไหน”

โฉวซานเงยหน้าขึ้นกลอกตาเล็กน้อย ไม่อยากพูดจาด้วยอารมณ์กับเขาอีก “สำนักชะตาสวรรค์มีหน้ามีตาไม่น้อย มีสิทธิ์มีเสียงในหอเลือนสลัวเช่นกัน วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณก็ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน หากเจ้ากล้าแตะต้องเหวินซินจ้าว ขอเพียงสำนักชะตาสวรรค์ส่งข่าวไปหาสามสำนักใหญ่ เจ้าคิดว่าสามสำนักจะทำอย่างไรเล่า? ด้วยกำลังของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้จะยอมล่วงเกินสำนักชะตาสวรรค์เพื่อเจ้า เจ้าเคยนึกถึงหนานโจวบ้างหรือไม่? จะต้องสังเวยชีวิตคนมากน้อยเพียงใดไปเพื่อระบายโทสะเจ้าในครานี้?”

เมื่อกดดันเสร็จก็แสดงความรู้สึกผิดต่อ “หงเหนียงยังคงเข้าใจสถานการณ์นัก ไว้หน้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์เรา สำนักหมื่นสรรพสัตว์เราก็มิใช่คนไม่รู้ดีรู้ชั่วเช่นกัน” เขาหยิบตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ “นี่คือเงินหนึ่งล้านเหรียญทอง ถือเป็นคำขออภัยเล็กน้อยจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์เรา ช่วยนำไปมอบให้นางแทนข้าที”

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองตั๋วแลกทอง ยื่นมือดันกลับไป “สำนักหมื่นสรรพสัตว์ช่างใจกว้างนัก แต่ข้าเป็นคนใจแคบ ไม่อาจรับไว้ได้”

โฉวซานหัวเราะฮ่าๆ “ก็ได้ ข้าจะนำไปมอบให้หงเหนียงเองแล้วกัน”

หนิวโหย่วเต้าปฏิเสธทันควัน “เงินบางอย่างสามารถรับไว้ได้ แต่เงินบางอย่างก็รับไว้ไม่ได้ น้ำใจของผู้อาวุโสโฉวข้ารับไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้อีก เรื่องนี้ข้าช่วยตัดสินใจแทนนางเอง”

โฉวซานยกสองมือไพล่หลัง ตั๋วแลกทองทั้งปึกก็ถูกยกไปอยู่ด้านหลังด้วย “น้องชาย เจ้าต้องทบทวนดูให้ดี สามสำนักหลักของแคว้นเยี่ยนล้วนอยู่ที่นี่ หากสำนักชะตาสวรรค์ส่งข่าวไปหาสามสำนักหลักจริงๆ ก็ไม่มีทางไว้หน้าเจ้าแน่” เขาเงยหน้ามองพลางพยักเพยิดไปทางเรือนรับรองบนเนินเขา

กำลังบอกหนิวโหย่วเต้าเป็นนัยๆ ว่า เมื่อสามสำนักหลักต้องการไว้หน้าสำนักชะตาสวรรค์ขึ้นมา มณฑลหนานโจวก็ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตัวเจ้าหนิวโหย่วเต้าแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่สูญเสียมณฑลหนานโจวไปย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะอยู่ที่นี่ได้อีก เมื่อเกิดเรื่องขึ้นสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็จะไม่คุ้มครองเขาแล้ว จะทำให้เขาต้องระเห็จออกไปเผชิญหน้ากับสำนักชะตาสวรรค์เอาเอง

เห็นได้ชัดว่ากำลังกดดันอยู่ แล้วก็กำลังบอกหนิวโหย่วเต้าอย่างเปิดเผยเช่นกันว่า ไม่ว่าสำนักชะตาวรรค์จะผิดขนาดไหนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ไม่มีทางยืนข้างเข้า ยอมมาคุยกับเจ้าดีๆ ก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าพอควรแล้ว อย่าทำตัวไม่รู้ขอบเขตอีก

เขามาที่นี่เพื่อคลี่คลาย ไม่อยากให้เรื่องราวแพร่ออกไปแล้วทำให้คนมองว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์จัดการเรื่องราวไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินสำนักชะตาสวรรค์เพื่อคำว่า ‘ยุติธรรม’ คำเดียวเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อยากให้เรื่องบานปลายไปถึงจุดนั้น พยายามจะคลี่คลายปัญหาอย่างสุดความสามารถ มิเช่นนั้นสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ไม่จำเป็นต้องควักเงินก้อนนี้เพื่อเหวินซินจ้าวเลย

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ผู้อาวุโสโฉวคิดมากไปแล้ว ข้าไม่รับเงินไว้ แต่ก็ไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องดึงดันจนตัวเองเดือดร้อนเลย ท่านว่าใช่หรือไม่เล่า?”

“ดี!” โฉวซานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้ากล่าวมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว เอาละ รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะช่วยพูดกับท่านเจ้าสำนักให้เจ้า ให้ท่านเจ้าสำนักรีบหาเวลาพบหน้าเจ้า”

“ขอบคุณมาก!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวขอบคุณ

โฉวซานตบไหล่เขาเบาๆ จากนั้นก็หันหลังทะยานกายเหินจากไป

ภายในตำหนักหลักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แสงตะเกียงส่องลุกโชน

เบื้องหน้าตะเกียงน้ำมันสว่างไสวแถวหนึ่ง ซีไห่ถังถือเข็มหยกไว้ในมือ เขี่ยไส้ตะเกียงในถาดน้ำมันอย่างเบามือ เงาไฟส่องวูบไหวกระทบใบหน้าเขา

โฉวซานเดินเข้ามาในตำหนัก เดินไปหยุดข้างกายเข้า “เจ้าสำนัก เขาไม่รับเงินขอรับ”

ซีไห่ถังที่ถือเข็มอยู่ชะงักมือลงเล็กน้อย “ไม่รู้ดีรู้ชั่วเสียเลย คิดจะเอาไข่ไปกะเทาะหินจริงๆ น่ะหรือ?”

โฉวซานอธิบายว่า “มิใช่เช่นนั้นขอรับ เรื่องโทสะย่อมไม่คลายลงง่ายๆ แต่ก็รับปากแล้วว่าจะไม่ทำเรื่องที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่อยากจะเห็น ส่วนเรื่องที่ว่าหลังออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปแล้วพวกเขาจะก่อเรื่องอย่างไร นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว ส่งคนไปจับตามองเอาไว้แล้ว ก่อเรื่องไม่ได้แน่นอนขอรับ เหลือแค่เหวินซินจ้าวคนนี้แล้ว ก่อปัญหาขึ้นมาเสียได้ ไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าตนมีฐานะระดับใดแล้ว จะเที่ยวตบตีคนเขาเช่นนี้ได้อย่างไร นับว่าตบหน้าตัวนางเองและตบหน้าตู้อวิ๋นซางด้วยเช่นกัน หากข่าวแพร่ออกไปแล้วถูกคนหัวเราะเยาะขึ้นมา ตู้อวิ๋นซางที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักชะตาสวรรค์ผู้ทรงเกียรติจะรับความอัปยศไหวหรือ?”

ซีไห่ถังเดินต่อไปเล็กน้อย ขยับไส้ตะเกียงดวงต่อไป “หงเหนียงคนนี้เคยพัวพันกับตู้อวิ๋นซางจริงๆ น่ะหรือ? ไฉนจึงไม่เคยได้ยินข่าวลือสักนิดเลยเล่า?”

โฉวซานตอบว่า “ไม่ทราบแน่ชัดขอรับ เกรงว่าคงมีเพียงคนในเรื่องราวที่ทราบชัดเจนที่สุด”

ซีไห่ถังหัวเราะเฮอะๆ “นึกย้อนกลับไปในสมัยนั้น หงเหนียงคนนั้นเย่อหยิ่งเป็นอย่างยิ่ง คนที่ฝืนบังคับให้นางยอมจำนนได้มีอยู่ไม่มากเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังปักหลักอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีได้อย่างมั่นคง เกิดปัญหาก็พ้นภัยได้เสมอ ดวงยังนับว่าดีอยู่ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะตกอยู่ในสภาพนี้ไปได้ คนผู้นี้ต่างไปจากในวันวานเสียแล้ว”

โฉวซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไหนเลยจะใช่ดวงอันใด ข้าได้ยินมาว่าที่นางมักจะพ้นภัยมาได้ตลอด เป็นเพราะคนที่ต่อสู้แย่งชิงกันเพราะหึงหวงนางช่วยออกหน้าให้ มีผู้กล้าพิทักษ์บุปผามากมาย มิเช่นนั้นคงถูกใครสักคนเอาตัวไปเป็นนางห้ามตั้งนานแล้ว”

“อืม พูดเช่นนี้ก็มีเหตุผล”

….

แสงจันทร์สลัวด้านนอกส่องลอดกระดาษกรุหน้าต่างเข้ามา ทำให้มองเห็นร่างอรชรที่อยู่ท่ามกลางความมืดได้เลือนราง

ก่วนฟางอี๋สวมชุดสีพื้นปล่อยผมยาวสยายนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แสงจันทร์สลัวส่องกระทบคันฉ่องเกิดแสงเลือนพร่ามัว

กึก! กึก! กึก!

เสียงก้าวเดินที่เกิดจากการใช้กระบี่ต่างไม้เท้าอันคุ้นหูแว่วเข้ามา ทำให้ก่วนฟางอี๋ที่นั่งเหม่อลอยอยู่กับห้วงอดีตได้สติขึ้นมาทันที ผินหน้ามองไปทางบานประตู

ภายใต้แสงจันทร์ หนิวโหย่วค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้า ยืนอยู่ด้านล่างขั้นบันไดนอกประตู เงาทอดยาวตามตัว จ้องมองบานประตูอยู่เช่นกัน

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงไม่กินมื้อเย็น แล้วก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดนางถึงเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา อีกทั้งพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตเหล่านั้น ย่อมทราบแล้วเช่นกันว่าเพราะเหตุใดนางถึงไม่อยากจะโผล่หน้าเผยตัวต่อหน้าคนใหญ่คนโตพวกนั้น

เป็นเขาที่บังคับนางไป แต่สุดท้ายกลับปล่อยให้นางต้องแบกรับผลที่ตามมาเพียงผู้เดียว ไม่ได้บอกเล่าต่อผู้ใด เก็บตัวอยู่ในความมืดโดยไม่ปริปากออกมาเลยสักคำ

เขาไม่รู้ว่าในยามนี้นางกำลังรู้สึกเช่นไร แต่ตัวหนิวโหย่วเต้ารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเขาบังคับนางไปก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

“กำลังอาบน้ำอีกแล้วหรือ?”

“อะไรกัน ยังดูไม่พออีกหรือไร?”

“อย่ามาปรักปรำข้าสิ ข้ายืนอยู่ไกลขนาดนั้น ขอบถังก็สูงถึงเพียงนี้ เจ้ายกแขนกันไว้แน่นหนาปานนั้น ข้าจะไปเห็นอะไรได้”

“ฮึ กลัวจะต้องรับผิดชอบกระมัง ตอนอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉี ผู้ใดกันที่บอกว่าจะแต่งกับข้าน่ะ?”

“ฮ่าๆ ข้าไม่ได้พูด เป็นเจ้าที่มัดมือชกยัดเยียดใส่ข้าเอง ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว อุดอู้ทำอันใดอยู่ในห้องเล่า ออกไปเดินเล่นกันเถอะ”

“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”

“อยากไปก็ไป ไม่อยากก็ไม่ต้องไป อายุปูนนี้แล้วไยต้องเจ้าอารมณ์เหมือนเด็กๆ ด้วยเล่า”

“ไปให้พ้น!”

“ฮ่าๆ!” สุดท้ายหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ผลักเปิดประตูบานนั้นเข้าไป ยันกระบี่ต่างไม้เท้าหันหลังกลับพร้อมรอยยิ้ม แต่พอหันไปแล้วรอยยิ้มก็เลือนหายไปอีกครั้ง

………………………………………………………………