บทที่ 447 พร้อมหน้าพร้อมตา (2)

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 447 พร้อมหน้าพร้อมตา (2)

บทที่ 447 พร้อมหน้าพร้อมตา (2)

คนที่พูดเป็นชายชราที่ยืนถัดจากฮั่วซิวเฉิง อายุประมาณหกสิบปี ใบหน้าเหี่ยวย่นมากไปด้วยประสบการณ์

แถมยังหน้าตาคล้ายคลึงกันอีก ใครเห็นก็บอกได้ว่าเป็นพ่อลูกกันแน่นอน

เสี่ยวเถียนมองพวกเขา และคิดอยู่ว่าจะทักทายยังไงดี

ฮั่วซิวเฉิงเอ่ยว่า “พ่อครับ นี่คือเด็กที่ผมเล่าให้ฟังไงครับว่าเจอกันบนรถไฟ! พ่อดูเธอสิ เหมือนที่ผมบอกไหม เธอหน้าตาดีมาก!”

“หน้าตาดีจริง ๆ นั่นแหละ!” รอยยิ้มของบิดาฮั่วซิวเฉิงดูใจดี เขาหันไปมองลูกชาย “บอกฉันซิว่าเมื่อไรจะมีหลานให้อุ้มบ้าง?”

ฮั่วซิวเฉิงไม่คิดว่าพ่อจะเอ่ยถึงทายาท

เขารีบเปลี่ยนหัวข้อทันที แล้วหันไปคุยกับเสี่ยวเถียน “มานี่มาสาวน้อย มาดูทีว่าหยกที่ฉันเอามาให้เธอเป็นยังไงบ้าง”

ฮั่วซิวเฉิงแสร้งทำเป็นยุ่งและเปิดกระเป๋าออก แต่เสี่ยวเถียนไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเอาหยกมาให้

เธอตกใจมาก

ของขวัญชิ้นนี้แพงไปหน่อยนะ

เธอรีบปฏิเสธทันที “หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ มันแพงเกินไป!”

ฮั่วซิวเฉิงกลอกตา “เด็กคนนี้นี่ ไม่จริงจังเอาเสียแล้ว ยังไม่ทันดูเลย แล้วรู้ได้ยังไงว่ามีค่า? ดูก่อนแล้วค่อยพูดซี่!”

ยังไม่ทันเปิดกล่องดูเลย ทำไมปฏิเสธเสียแล้ว?

เสี่ยวเถียนเอ่ยตรง ๆ “ถ้าคุณให้หยกแก่หนูได้ มันก็ต้องไม่ใช่ของธรรมดาสิคะ”

ล้อกันเล่นแล้ว ถ้าหยกธรรมดาจะเอามาให้กันหรือ?

“มันก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น แค่ได้มาโดยบังเอิญเอง”

ฮั่วซิ่วเฉิงเริ่มคิดจริง ๆ แล้วว่ามันมีค่าหรือไม่กันแน่

เขายังคิดด้วยซ้ำว่าถ้ามันไม่ดี และไม่มีค่าจริง ๆ เด็กคนนี้จะดูถูกหรือเปล่า? แล้วถ้ามีค่าและเธอไม่ต้องการขึ้นมา เราจะทำยังไงล่ะ?

เสี่ยวเถียนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่บอกไม่ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่

เธอแค่ไม่อยากยุ่งกับเขาแล้ว จึงไปทักทายสองสามีภรรยาฮั่วแทน

เธอเป็นเด็กหน้าตาสะสวยและปากหวาน แค่อ้าปากก็มัดใจคนรอบข้างได้แล้ว

สองสามีภรรยาฮั่วเหมือนดูเป็นคนซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ ถึงจะชอบเสี่ยวเถียนแค่ไหน แต่ตอนที่เธอพาเข้าไปนั่งในบ้าน พวกเขารู้สึกขัดเขินนัก

อวี่รุ่ยหยวนยิ้ม “หลานบุญธรรมของฉันเอง พวกคุณก็อย่าถือว่าเธอเป็นคนนอกเลยนะ!”

“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะ ให้เสี่ยวเถียนพาเข้ามานั่งเถอะ ซานกง อย่ายืนเฉย ๆ สิ รีบไปรินชาเร็ว ๆ”

ฮั่วซิวเฉิงยัง “พ่อครับ แม่ครับ ผมกับพวกเขารู้จักกันดีน่ะ เราต่างก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ!”

ว่าจบผู้เป็นบิดาก็จ้องมองมา

หมายถึงให้วางใจหรือ ฮั่วซิ่วเฉิงเป็นคนไม่รู้จักยั้งคิดจริง ๆ นะ

สนิทอะไรกันล่ะ?

ก็แค่เจอกันบรถไฟแล้วกินดื่มด้วยกันมาตลอดทางเองไม่ใช่หรือ?

ชายชราไม่สนใจลูกชาย เอ่ยเรื่องเงินกับตั๋วทันที

เสี่ยวเถียนขบขัน ไม่คิดเลยว่าครอบครัวฮั่วจะน่าสนใจขนาดนี้!

สองสามีภรรยาฮั่วไม่ยอมนั่งเฉย ๆ พวกเขาต้องการทักทายทุกคนก่อน หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รู้จักทุกคนอย่างเป็นทางการ

พอรู้ว่าพ่อฮั่วกับแม่ฮั่วเกี่ยวข้องกับตระกูลตู้ในอดีต ทุกคนต่างขอบคุณคนทั้งสองอย่างจริงใจและปฏิบัติต่อกันเหมือนผู้อาวุโสแท้ ๆ และทั้งสองก็รับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น ก่อนค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

ตอนนั้นคิดว่าในเมืองจะดูถูกพวกเรา แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกันเองขนาดนี้

คุณย่าซูกำลังยุ่งกับการทำอาหาร อวี่รุ่ยหยวนจึงเสนออาสาเข้าไปช่วย

วันนี้มีคนมากินข้าวเยอะเลย เถาฮวาเองก็ยังไม่มา เธอจึงไม่อยากรอให้พี่สะใภ้ซูทำอาหารให้

คุณย่าซูฉวยโอกาสถามเรื่องราวจากรุ่ยหยวน ก่อนจะรู้ว่าสองสามีภรรยาฮั่วมาถึงเมืองหลวงเมื่อเย็นวาน

ตอนนั้นอวี่รุ่ยหยวนนึกถึงลูกชายทั้งสอง ใบหน้ามีความเศร้าประดับอยู่

ผ่านมานานหลายปี ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เห็นอัฐิของลูกชายเลย เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยคิด ตอนนี้ได้เห็นจึงยิ่งเสียใจกว่าเดิม

“อย่าเสียใจไปเลย เธอยังมีเรื่องอื่นให้ต้องคิดนะ!” คุณย่าซูรีบปลอบ

“ฉันรู้เรื่องนี้ดี แต่หัวใจของคนเป็นแม่น่ะ!”

“คุณป้า คุณต้องมีความสุขให้มาก ๆ นะคะ ไม่งั้นพี่ใหญ่จะหลับไม่สบายเอานะ!” เหลียงซิ่วช่วยพูดอีกแรง

เธอคิดด้วยซ้ำว่าจะพาลูกสาวมาปลอบดีไหม

“เข้าใจแล้ว วันดี ๆ แบบนี้อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย” อวี่รุ่ยหยวนกลัวจริง ๆ ว่าจะเสียการควบคุม จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“มาช่วยทำอาหารกันนะ คืนนี้มีแขกมาเยอะเลย บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ ฉันจัดการไม่ไหว! น่าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมได้ยาก เดี๋ยวจะต้องทำอาหารให้พวกเธอชิมอีก!”

เมื่อได้ยินว่าคุณย่าซูอยากให้เธอไปช่วย อารมณ์พลันดีขึ้นเยอะ

ทักษะการทำอาหารของเธอไม่ดีเท่าไร แต่ทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้

เพราะงั้นจึงเสนอช่วยปอกหัวหอมและกระเทียมแทน ตอนนั้นเองที่เสี่ยวเถียนพาแม่ฮั่วเดินเข้ามา

“เสี่ยวเถียน ทำไมพาแขกเข้ามาในครัว? เด็กคนนี้ยิ่งโตยิ่งไม่ได้เรื่องเลยนะ!” คุณย่าซูเอ่ยอย่างโกรธ ๆ

แต่ถึงจะเป็นน้ำเสียงตำหนิ แต่ฟังแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ไม่ทันให้เด็กสาวได้ตอบ แม่ฮั่วเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“พวกผู้ชายนั่งคุยกันอยู่ ฉัน…ฉันไม่มีอะไรทำน่ะค่ะ ก็เลยอยากมาช่วย ถ้าไม่สะดวก งั้น…”

สองสามีภรรยาฮั่วพูดภาษาถิ่นเสียส่วนใหญ่ จึงยากจะเข้าใจ

แต่ก็ไม่ได้คุยกันยาก

คุณย่าซูนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนคิดเยอะ จึงรีบจับมือ “ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก ถ้าไม่รังเกียจว่าที่นี่คือห้องครัว ก็นั่งคุยกันแทนก็ได้”

“อย่างที่บอกนั่นแหละ แขกมาทั้งที ฉันควรดูแลให้ดี แต่คุณก็เห็นสถานการณ์แล้ว อย่าหาว่าหยาบคายกันเลยนะ”

“ผู้คนมักจะบอกว่าห่างไปสามลี้ วัฒนธรรมก็ต่างกันแล้ว รบกวนคุณช่วยเล่าวัฒนธรรมของคุณให้พวกเราฟังก็ได้นะ พวกเราจะได้เรียนรู้ไว้!”

คุณย่าซูพูดคลายกังวล แม่ฮั่วได้ฟังก็รีบตอบ “คุณทำงานของคุณดีกว่าค่ะ ฉันนั่งตรงนี้ช่วยพี่สะใภ้ตู้ปอกหัวหอมก็ได้”

อวี่รุ่ยหยวนยิ้ม “เรื่องเล็กน้อยเอง หัวหอมไม่กี่หัว ยังต้องให้คนช่วยอีกหรือ”

ทุกคนหัวเราะลั่น

หลังจากสนทนาพาคุย ในที่สุดก็ไล่แขกออกไปจากครัวได้

ครอบครัวเถาฮวาเพิ่งมาถึง ตอนที่เข้าประตูมาก็บอกว่าช่วงนี้รับงานมา เป็นงานด่วนจึงมาถึงช้า

คุณย่าซูให้พวกเขานั่งพักก่อน แต่เถาฮวาปฏิเสธแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง

ในครัวยุ่งมาก หญิงชราให้หลานสาวพาอวี่รุ่ยหยวนและแม่ฮั่วขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน

เมื่ออาหารจานสุดท้ายเสิร์ฟเสร็จ คุณย่าซูวานให้พนักงานคอยบริการคนอื่น ๆ ส่วนเธอกับเหลียงซิ่วขึ้นไปชั้นบน

อาหารจานหลักวันนี้คือ ซุปเนื้อแกะและซี่โครงหมูตุ๋น

เนื้อที่ตุ๋นไว้นานแล้วเปื่อยยุ่ย คุณย่าซูบอกว่าพอกินแน่นอน จึงไม่ต้องเตรียมจานอื่นให้มาก

เสี่ยวเถียนคิดว่าไว้กินซุปแกะเสร็จ พรุ่งนี้เช้าทำหม้อไฟกินดีกว่า

ต้องเตรียมผักสดและชิ้นเนื้อที่หั่นไว้แล้วด้วย

วันนี้คนเยอะเราจึงใช้สองโต๊ะ โต๊ะใหญ่สำหรับดื่มสุรา และอีกโต๊ะที่ไม่ดื่มสุรา

ถึงโส่วเวินจะไม่ดื่ม แต่คุณปู่บอกว่าอยากให้ลองสักหน่อย

เพราะงั้นเด็ก ๆ จึงนั่งที่โต๊ะสุรากัน

ส่วนพวกคุณย่าซูนั่งอีกโต๊ะที่มีพวกผู้หญิงกับเด็ก ๆ

พ่อฮั่วและคุณปู่ซูนั่งโต๊ะเดียวกัน หลังจากจิบไปสองสามแก้วก็รู้สึกถึงความเป็นกันเองมากขึ้น

ส่วนแม่ฮั่วไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

“น้องใหญ่ลองชิมดูสิ ฝีมือฉันไม่เลวเลยนะ ถูกปากไหม?”

แม่ฮั่วตอบคุณย่าซูด้วยความสุภาพ “อาหารอร่อยมากเลยค่ะ เนื้อเยอะเช่นกัน ปีใหม่ยังไม่เคยได้กินแบบนี้เลย”

เธอพูดจริงนะ เธอไม่เคยเห็นเนื้อเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย ต้องใช้เงินเท่าไรกัน?

ถึงลูกชายจะไม่ได้เรื่อง แต่ชีวิตบ้านเรายังถือว่าดีอยู่ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้กินข้าวข้างนอกบ้าน

“บ้านเราทำเองหมดเลย ไม่ได้ล้ำค่าอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ!” เหลียงซิ่วหัวเราะ

“เนื้อราคาแพงนะ ที่ชุมชนการผลิตของเรา เนื้อที่ทั้งบ้านได้มาตลอดทั้งปียังไม่ได้เยอะเท่านี้เลย!” แม่ฮั่วยิ้ม

แต่ก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ ชีวิตคนในเมืองดีจริง ๆ

“คุณป้า ฉันได้ยินว่าอาหารแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ลองชิมดูเถอะค่ะ อาหารบ้านเรากับบ้านคุณต่างกันเยอะไหม? ถูกปากหรือเปล่า”

“มาเถอะ กินเนื้อแกะสักชิ้นนะน้องใหญ่ เธอคงไม่รู้หรอกว่าสองแม่ลูกสะใภ้คู่นี้ฝีมือสูสีกันเลย”

เหลียงซิ่วกับรุ่ยหยวนเอาแต่ชวนแม่ฮั่วให้ชิมอาหาร และในที่สุดเธอก็โล่งใจลงเสียที

ก่อนนั้นจึงพยักหน้า

ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าร้านอาหารที่เปิดในเมืองหลวงจะฝีมือแย่ได้ยังไงล่ะ?