บทที่ 448 ตอบแทน

บทที่ 448 ตอบแทน

ระหว่างมื้อค่ำ ฮั่วซิวเฉิงเอ่ยถึงสหายร่วมรบคนหนึ่งของเขาที่ได้ก่อตั้งทีมรถขนส่ง และตอนนี้กำลังรับสมัครคนขับ

คุณปู่กับคุณย่าซูได้ยินเรื่องนี้ก็เหมือนโดนล่อลวงโดนไม่รู้ตัว

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสหายาก

เด็กหญิงคิดในใจอย่างเงียบ ๆ ไว้กลับไปคุยเรื่องนี้กับฮั่วซิวเฉิงแล้วกัน ดูว่าพ่อของเธอพอจะทำงานในทีมรถได้ไหม เสี่ยวเถียนคิดเรื่องที่ครอบครัวจะกลับมารวมตัวกันตลอด แต่ตอนนี้พ่อยังมาเมืองหลวงไม่ได้ จึงยังไม่รับรู้

ถ้าเรารวมตัวได้เมื่อไร จะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าอย่างมีความสุขสักที

ไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไรในใจ เขาจะยอมลาออกมาอยู่ทีมขนส่งส่วนตัวที่นี่ไหม ทีมขนส่งในเมืองหลวงมีองค์กรด้วย เป็นอาชีพมั่นคงที่ใครต่อใครก็อิจฉา

มีแค่เสี่ยวเถียนที่รู้อย่างชัดเจน ตอนนี้มันอาจจะดูเหมือนอาชีพมั่นคง แต่พอผ่านไปอีกหลายปี มันคงยากที่จะเลือกงานอย่างอิสระแล้ว

เมื่อก่อนคนอาจจะร้องห่มร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องเริ่มใหม่แต่แรกไม่ใช่หรือ?

ถ้ารอเริ่มใหม่ตอนนั้น สู้เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ

หลังมื้ออาหาร พวกผู้ใหญ่ยังพูดคุยกันอยู่ ส่วนเสี่ยวเถียนหาโอกาสคุยเรื่องงานกับฮั่วซิวเฉิง

ซึ่งทำให้อีกฝ่ายค่อนข้างประหลาดใจ

“เสี่ยวเถียน พ่อเธอเป็นพนักงานประจำนะ!”

ฮั่วซิวเฉิงรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่า

เพราะมันมีความแตกต่างระหว่างพนักงานประจำกับคนทั่วไปอยู่ การปฏิบัติต่อพวกเขาเวลาเข้าทีมขนส่งส่วนบุคคลมันไม่เหมือนกันเลย

“เป็นพนักงานประจำแล้วยังไงล่ะ? ภรรยากับลูกไม่อยู่ข้างกาย อยู่คนเดียวก็เหงาเปล่า ๆ!” เสี่ยวเถียนพูดจาแหน็บแนม

ส่วนไอ้เรื่ององค์กรอะไรนั่น เธอไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

การหางานให้พ่อก็เพื่อให้เขามีอะไรทำ

บ้านเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเขาในการเลี้ยงดูอยู่แล้ว

ฮั่วซิวเฉิงไม่เคยนึกมาก่อนเลย กลับกันเขาคิดว่ามันก็อาจเป็นไปได้นะ? อีกอย่างเขามองออกนะ ถึงร้านจะเปิดได้ไม่นาน แต่กิจการของพวกเขาดีมาก

ขอแค่นโยบายไม่เปลี่ยนไป ร้านหออีหมิงที่มีทักษะการทำอาหารดี ไม่มีทางแย่ได้หรอกนะ

การที่คนบ้านซูตั้งหลักได้ เก้าในสิบไม่น่าได้กลับบ้านเกิดหรอก

ส่วนพ่อของเสี่ยวเถียนก็ไม่ต่างอะไรไปจากอยู่คนเดียวจริง ๆ นั่นแหละ

“เสี่ยวเถียน แล้วพ่อเธอเห็นด้วยหรือเปล่า?”

เพราะเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ จึงดึงดูดความสนใจได้อยู่แล้ว แต่กลัวว่าพ่อของเด็กคนนี้จะไม่ชอบ

“หนูจะบอกพ่อเองค่ะ พ่อรักหนู เขาจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน”

ในฐานะลูกสาวคนโปรด เสี่ยวเถียนมีความมั่นใจมาก

“เข้าใจแล้ว เธอไปถามเขาแล้วกันนะ ถ้าตกลงอะไรยังไงก็มาหาแล้วกัน ที่นั่นมีสหายร่วมรบของฉันอยู่ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาให้!”

ฮั่วซิวเฉิงตกปากรับคำ

ฝั่งหนึ่งหางาน อีกฝั่งหาคน เขาก็แค่ทอดสะพานให้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นแบบนี้

เธอจึงรีบยิ้มกว้างแล้วกล่าวขอบคุณ

“สาวน้อย ยังสุภาพกับฉันอีกหรือ?” ฮั่วซิวเฉิงอดไม่ได้ที่จะลูบหัวเธอ

ผมของเด็กคนนี้นุ่มสลวยเชียว

“เดี๋ยวหนูจะไปเขียนจดหมายหาพ่อค่ะ!”

เสี่ยวเถียนก้าวถอยหลังด้วยความรังเกียจ ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย!

ฮั่วซิวเฉิงแปลกใจที่เด็กสาวถอยห่าง เขาทำได้เพียงผละมือออกด้วยความเสียใจ

“แค่โทรไปบอกก็พอแล้วนี่?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

อยู่ทีมขนส่งทั้งที มันก็น่าจะมีโทรศัพท์ใช่ไหมล่ะ

เสี่ยวเถียนก็นึกขึ้นได้ทันที เธอลืมได้ยังไงเนี่ย อันที่จริงใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาพ่อก็ได้นะ

“หนูลืมเลย เดี๋ยวออกไปโทรข้างนอกค่ะ” เธอตบหัวแล้วหัวเราะ

“เสี่ยวเถียน บ้านเธอก็ทำธุรกิจนี่นา ทำไมไม่ติดตั้งโทรศัพท์ไว้สักเครื่องล่ะ?”

เขาแปลกใจที่เด็กสาวจะออกไปโทรศัพท์ข้างนอก พออีกฝ่ายเตือนสติ เสี่ยวเถียนรู้สึกเห็นด้วยทันที บ้านเราไม่มีโทรศัพท์นี่นา

ถ้ามีติดไว้สักเครื่อง การติดต่อกับคนอื่น ๆ จะสะดวกมาก

อีกอย่าง ถ้ามีโทรศัพท์ติดไว้ เราจะสามารถรับออเดอร์ทางโทรศัพท์ได้ด้วยนะ

ตอนนั้นกิจการของเราอาจจะดีขึ้นก็ได้!

“ขอบคุณที่เตือนหนูค่ะลุงฮั่ว ทำไมหนูถึงคิดไม่ได้นะ” เด็กหญิงยิ้มอย่างมีความสุข กะว่ากลับไปจะหาคนมาติดตั้งโทรศัพท์ดีกว่า

สิ้นประโยค เธอก็จำได้ว่าโทรศัพท์ในยุคนี้ไม่ใช่แค่นึกก็ทำกันได้ง่าย ๆ ราคาแพงไม่พอ ต้องหาคนที่มีเส้นสายด้วยถึงจะทำได้

เพราะไม่มีคนช่วยโดยเฉพาะตอนติดตั้งเนี่ย ไม่งั้นนะคงใช้ได้จนแก่แล้ว

บ้านเราไม่ค่อยรู้จักคนในเมืองหลวงเท่าไร เลยไม่รู้จะไปหาใครมาช่วยดี เอาเถอะ ถ้าบอกปู่ต่ง เขาอาจจะจัดการเรื่องนี้ก็ได้นะ

แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เนี่ยนะ คุ้มค่าให้เขาช่วยเหลือหรือ?

ไม่รู้ว่าลุงเสิ่นจะรู้จักใครบ้างหรือเปล่า…

“ฉันรู้จักคนอยู่นะ”

ฮั่วซิวเฉิงมองคิ้วที่ขมวดแน่น ทำไมจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรล่ะ

เสี่ยวเถียนยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ นอกจากไม่น่าเชื่อถือ อันที่จริงเขาก็ดูเป็นคนดีอยู่นะ

ฮั่วซิวเฉิงชำเลืองมองแล้วพูดจาประจบประแจง

“น้องเสี่ยวเถียน พวกเรามาคุยกันเถอะนะ เธอเรียกฉันว่าพี่ใหญ่ได้ไหม? เนี่ย ฉันจะได้ช่วยเรื่องสำคัญแบบนี้ไง!”

เสี่ยวเถียน “…”

นี่คือจะให้เธอตอบแทนหรือ?

“เสี่ยวเถียนดูสิ ฉันเตรียมของขวัญไว้ให้เธอโดยเฉพาะเลยนะ ใครใช้ให้ฉันปฏิบัติต่อเธอเป็นเหมือนน้องสาวล่ะ ถึงได้เอาหยกเม็ดนี้มาให้เธอไง!”

ฮั่วซิวเฉิงหยิบหยกเขียวประกายม่วงแวววาวออกมาอย่างกระตือรือร้น และถือไว้ในมือ

เสี่ยวเถียนเหลือบมอง กลัวเหลือเกินว่าชายผู้นี้จะทำมันแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ

หยกเขียวประกายม่วงแวววาวมีขนาดเท่ากับฝ่ามือเด็ก ความเปล่งประกายและความมันเงาไร้ที่ติมาก

สีเขียวและสีม่วงส่งเสริมกันราวกับความแวววาวไหลเวียนอยู่

ถึงเสี่ยวเถียนจะไม่เข้าใจเท่าไร แต่ก็มองออกว่าหยกเม็ดเป็นสมบัติล้ำค่าท่ามกลางความล้ำค่า ในยุคนี้อาจจะไม่มีค่ามาก แต่ถ้าผ่านไปอีกหลายสิบปีมันจะมีค่าแน่นอน

ฮั่วซิวเฉิงมอบหยกชิ้นนี้ให้กับเธอ แต่เธอไม่กล้ารับมันเอาไว้

ซูเสี่ยวเถียน “…”

ชายหนุ่มไม่รอให้เด็กสาวตอบ เขาไม่อยากเสียเวลา เด็กคนนี้ แค่หยกเม็ดเดียวเองไม่ใช่หรือไง? ทำมาเขินอายอะไรอีกเนี่ย?

เขายัดใส่มือเด็กน้อยทันทีโดยไม่รอให้เธอพูดอะไร

เดิมทีเสี่ยวเถียนจะดันกลับ แต่หลังจากคิดถึงมูลค่าของมันจึงถืออย่างระมัดระวังไว้ในมือ

“ฮั่ว…เอ่อ พี่ใหญ่ พี่เอาหยกเม็ดนี้กลับไปเถอะ มันมีค่าเกินไปแล้ว!”

เธอต้องการจะเอาคืน แต่ก็กลัวทำแตก

เธอเชื่ออย่างสุดใจเลยว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้จริง ๆ ว่าหยกที่ให้มามันมีค่าขนาดไหน

“ฉันเห็นว่าสีสวยดี เลยอยากทำเป็นจี้ให้ใส่น่ะ”