นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 343 การค้าขาย
“รวมถึงป้ากุ้ยหลาน นางยังซื้อตำราให้พวกข้าคนละเล่มเพื่อปลอบใจพวกข้าด้วย แล้วยังให้กำลังใจพวกข้าให้ตั้งใจเรียน ถึงวันแข่งขันเอาชนะคนอื่นให้ได้!”
“ถ้ารู้อย่างนี้พวกข้าไปด้วยก็ดี เช่นนี้เราจะได้มีตำราเพิ่มอีกสิบเล่ม!”
“ใช่แล้ว หวังว่าคราวหน้าเห้อเฟิงจะพาคนมาหาเรื่องอีก!”
ท่านอาจารย์ “…”
มียศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยไม่ควรทำตัวเหลวไหล ตกอับยากจนแค่ไหนอุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน
น่าเสียดาย ที่ในเวลานี้ นักเรียนที่เคยเคารพเขายังคงลุ่มหลงอยู่กับความดีใจที่มีตำราเล่มใหม่ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าสีหน้าท่านอาจารย์ของพวกเขากำลังบึ้งตึงแล้ว
“แต่ว่า นี่ก็เป็นเพราะพี่ไป๋กับป้ากุ้ยหลานเป็นคนดี ถ้าเป็นเถ้าแก่ร้านคนอื่น ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะปล่อยให้เสี่ยวเอ้อร์เหล่านั้นถูกลูกค้ารังแกไปแล้ว”
“เฮ้อ การทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อร์มันไม่ง่ายเลย หาเงินก็ได้ไม่มาก เสี่ยวเอ้อรในร้านของเราต้องทำงานทั้งวันหนึ่งเดือนได้ค่าจ้างเพียงหนึ่งตำลึง และอาหารหนึ่งมื้อ ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นค่าจ้างที่สูงมากแล้ว!”
“ที่นี่ครอบคลุมทุกอย่าง จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่างได้เปรียบจริงๆ”
“การดำรงชีวิตลำบากมาก แม้แต่คนในเมืองหลวงยังมีชีวิตที่ลำบากเช่นนี้ แล้วที่อื่นๆ ที่ยากจนกว่าล่ะ จะไม่ลำบากกว่านี้หรอกหรือ?”
“จนถึงตอนนี้ข้าถึงเข้าใจ ว่าถ้ากินไม่อิ่มยังพอจะทนหิวได้ แต่ถ้าถูกรังแก มันช่างน่าอึดอัดในจริงๆ และอาจโมโหจนตายได้”
ทุกคนพูดคุยกัน ก่อนจะถอนหายใจออกมา ในช่วงหลายวันมานี้ พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับชะตาชีวิตมาไม่น้อย
ท่านอาจารย์ที่ถูกเมินเฉยชักสีหน้า แล้วตะโกนด้วยความโกรธ “พวกเจ้าท่องเนื้อหาในตำราได้แล้วหรือ”
พอเสียงตะโกนดังขึ้นมา นักเรียนที่รวมตัวกันอยู่รอบๆ ก็สะดุ้งตกใจ แล้วรีบกลับไปนั่งที่ แล้วหยิบตำราขึ้นมาเริ่มท่องจำตำราต่อ
ท่านอาจารย์โมโหแล้วถลึงตาใส่
พอโจวกุ้ยหลานกลับมาถึงร้าน นางพบไป๋ยี่เซวียนอยู่ที่สวนหลังบ้าน และจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังเติมโค้กใส่โถ
นางไม่ได้รบกวนไป๋ยี่เซวียน แล้วเดินออกมา ช่วยต้อนรับลูกค้า
ในเวลาต่อมา มีลูกค้สหลายคนเข้ามาถามนางว่าเสี่ยวเอ้อร์ที่รูปร่างซูบผอมกลุ่มนั้น เป็นนักเรียนจากสถานศึกษาจริงๆ หรือ?
โจวกุ้ยหลานจึงใช้โอกาสนี้ ในการประกาศว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นซิ่วฉาย และมีการศึกษา ทำให้ลูกค้าในร้านต่างก็อ้าปากค้างไปเลย
“พวกเขาเป็นถึงซิ่วฉาย แต่กลับมาที่นี่เพื่อเป็นเสี่ยวเอ้อร์อย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มที่ถามโจวกุ้ยหลานอุทานออกมา
ถึงแม้พวกเขาจะพบเจอขุนนางในเมืองหลวงบ่อยครั้ง ซิ่วฉายก็เจอบ่อยจนแทบจำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นคนคนมีการศึกษากลับมารับใช้พวกเขา และทำความสะอาดโต๊ะที่พวกเขาทำสกปรกอย่างนั้นหรือ?
พอนึกได้เช่นนี้ ในใจพวกเขาจึงรู้สึกพึงพอใจเป็นพิเศษ
“นักเรียนในสำนักบัณฑิตที่นี่เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต ในอนาคตพวกเขาจะต้องเป็นข้าราชการ ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจความทุกข์ยากของชาวบ้าน พวกเขาจะเป็นข้าราชการที่ดีได้อย่างไร”
โจวกุ้ยหลานรีบกล่าวชมสำนักบัณฑิตหนานซานให้เอะอะในเวลาที่เหมาะสม เพราะถ้าบอกว่าพวกเขายากจนแทบใกล้อดตายต้องมาทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาเป็นค่าอาหาร เหตุผลแบบนี้จะส่งผลอันตรายต่อสำนักบัณฑิตหนานซานมากเกินไป
นี่มัน…ฉลาดจริงๆ!
“แล้ว…แล้วพวกเขายังเรียนอยู่หรือ”
“ยังร่ำเรียนอยู่ ช่วงกลางวันมาฝึกประสบการณ์ทำงานที่นี่ แล้วช่วงกลางคืนก็กลับไปศึกษาตำรา ที่พวกเขาซูบผอมเช่นนี้ เพราะเหน็ดเหนื่อย เฮ้อ ทั้งหมดก็เพื่อชาวบ้านแท้ๆ …”
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจออกมา
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พูดต่อกันไป และลูกค้าที่เข้ามาใหม่ก็ได้ยินทุกคนพูดถึงเรื่องของซิ่วฉาย ดังนั้นเขาจึงไปสอบถามอีกครั้ง พอเข้าใจเรื่องร่วทั้งหมด เขาก็รู้สึกชื่นชมในใจ
“นี่มันน่าทึ่งมาก นี่ถึงเรียกว่าสถานศึกษาที่แท้จริง สั่งสอนและให้ความรู้ผู้คน! มีซิ่วฉายเยอะเช่นนี้ ในอนาคตจะต้องเป็นขุนนางที่ดี ช่างหาได้ยากจริงๆสำนักบัณฑิตหนานซานช่างเป็นสถานศึกษาที่สั่งสอนและให้ความรู้แก่ผู้คนจริงๆ!”
“เฮ้อ แต่ดูสำนักบัณฑิตไป๋ลู่สิ แต่ละคนมีแต่อวดเบ่ง เคยลำบากเมื่อไหร่กัน ข้าว่า ถึงแม้ในอนาคตพวกเขาจะได้เป็นขุนนาง คงเป็นขุนนางทุจริตแน่นอน!”
ถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็หยุดพูด แล้วกลับไปทำงานต่อ
แต่การพูดคุยเรื่องนี้ยังคงคุยกันในร้านไม่หยุด และพอนักเรียนของสำนักบัณฑิตหนานซานมารับประทานอาหารเย็น คนเหล่านั้นก็ชี้มาที่พวกเขาแล้วซุบซิบคุยกันเช่นกัน
ในขณะที่กำลังกินข้าวลูกค้าบางคนถึงกับเช็ดโต๊ะที่พวกเขานั่งไปด้วย เพื่อให้ซิ่วฉายเหล่านั้นได้พักผ่อนบ้าง
พอถึงตอนกลางคืน หลังจากที่โจวกุ้ยหลานคิดบัญชีกับไป๋ยี่เซวียนเสร็จแล้ว นางก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
“ในเมื่อโอกาสมาหยุดอยู่ตรงหน้า เหตุใดเราถึงไม่ใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ไป๋ยี่เซวียนวางเงินลง แล้วถามโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานยกยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งร้านของเรา พวกเมิ่งเจียงและสำนักบัณฑิตไป๋ลู่”
ไป๋ยี่เซวียนหยุดมือ “เจ้าหมายถึงหมายถึงเหยียบย่ำสำนักบัณฑิตไป๋ลู่หรือ”
โจวกุ้ยหลานส่ายนิ้วชี้ “เหยียบย่ำพวกเขาจะเอามาเป็นจุดประสงค์หลักไม่ได้ เราควรทำให้ร้านไก่ทอดของเรามีชื่อเสียงยิ่งขึ้น ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างสำนักบัณฑิตไป๋ลู่กับสำนักบัณฑิตหนานซานนั้น สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้ก็ยังสามารถเล่าลือออกไปปากต่อปาก จนฝังแน่นเข้าไปในหัวใจของทุกคน”
ถึงอย่างไร สำนักบัณฑิตไป๋ลู่ก็เป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ส่วนสำนักบัณฑิตหนานซานถึงแม้จะไม่โด่งดังมากนัก แต่เรื่องที่สำนักบัณฑิตไป๋ลู่พ่ายแพ้ให้กับสำนักบัณฑิตหนานซานมาหลายปีแล้ว ถ้าเป็นเรื่องจริง ทุกคนคงไม่ตื่นเต้นเหรอ?
วันนี้ทั้งวันลูกค้าในร้านยังพูดเรื่องนี้กันไม่หยุด
“ถ้าทำได้ดี เดือนนี้รายได้ของเราอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าเลยก็ได้?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็มีความสุขมาก
การหาเงินทำให้คนมีความสุข
ไป๋ยี่เซวียนครุ่นคิดอยู่สักพัก และรู้สึกว่าความคิดของโจวกุ้ยหลานนั้นไม่เลว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า และพอเขามองไปที่โจวกุ้ยหลานอีกครั้ง เขาก็ถอนหายใจออกมา “เจ้านี่มันเก่งมาก”
“ชมกันเกินไป ชมกันเกินไป” โจวกุ้ยหลานตอบกลับ
นางเก่งตรงไหนกัน? ฝีมือการตลาดของพวกดาราในชาติที่แล้วดีกว่านี้เยอะ นางก็แค่เรียนรู้จากพวกเขา
ไป๋ยี่เซวียนเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงโจวกุ้ยหลาน แล้วไปจัดการในคืนนั้นเลย
หลังจากทำความสะอาดร้านเรียบร้อย โจวกุ้ยหลานกลับมาถึงบ้าน แล้วเห็นท่านผู้เฒ่ารอนางอยู่ที่หน้าประตู
ทันทีที่นางเปิดประตู นางก็เห็นชายชราสีหน้าเย็นชา โจวกุ้ยหลานเดินเข้ามาอย่างสงบ และปิดประตู ก่อนจะเดินเข้ามา
พอกำลังจะกล่าวทักทาย ชายชราก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความโกรธ แล้วตะโกนพูด “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป นักเรียนของข้าทุกคนจะอยู่นั่งเรียนที่สถานศึกษา!”
“แล้วพวกท่านจะกินข้าวที่ไหน” โจวกุ้ยหลานถาม
ชายชราปากแข็ง “พวกเขาออกไปรับจ้างเขียนจดหมายได้”
โจวกุ้ยหลานพูดติดตลก: “แล้วถ้าพวกเขาหรือท่านหิวจนเป็นลมไปอีกล่ะ?”
คำพูดนี้ทำให้ชายชราอับอายมาก ปกติถ้าคนข้างนอกเห็นเขาก็จะทักทายเขา และเรียกเขาว่าท่านอาจารย์? แต่ตอนนี้เพื่อให้ตนเองและนักเรียนได้อิ่มท้องถึงต้องก้มหน้าให้ผู้หญิงตรงหน้า?
“นั่นเป็นเรื่องของพวกข้า ท่านไม่จำเป็นต้องมายุ่ง!”
โจวกุ้ยหลานเข้าใจว่าตอนนี้ชายชราโกรธมากจริง ๆ นางเดินเข้ามา และประคองชายชรานั่งบนเก้าอี้ พอเห็นเช่นนี้ ชายชราก็สะบัดมือของนางออก อยากจะบอกว่าชายหญิงใกล้ชิดกันไม่ได้ แต่เขาก็ต้องกลืนคำพูดนั้นกลับไป และนั่งลงบนเก้าอี้เอง
“ศักดิ์ศรีนั้น ตนเองเป็นคนไขว่คว้ามาเอง ไม่ใช่คนอื่นมอบให้ แล้วอีกอย่าง สำนักบัณฑิตหนานซานของท่านจะมีชื่อเสียงแล้ว นักเรียนของท่านจะไม่ถูกรังแกอีก”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า: “อีกไม่นานท่านก็จะรู้เอง เอาล่ะ ไปพักผ่อนได้แล้ว ท่านแก่แล้วยังไม่ยอมพักผ่อนดีๆ อีก ถ้าท่านป่วยขึ้นมา ใครจะจ่ายค่ารักษาให้ท่านกัน”