บทที่ 431 การเลือกของพิชิต

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

พิชิตเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าน่ารักสดใสเหมือนตุ๊กตา เต็มไปด้วยความตึงเครียดและเศร้าหมอง “จะให้ฉันไปยังไง แกไม่เห็นเหรอว่านวิยาไม่ได้อยากให้ฉันอยู่กับเธอ? ฉันมานานขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่มีท่าทีจะพาฉันไปรู้จักกับคนในครอบครัวผดุงธรรม”

นัทธีขมวดคิ้วเป็นปม “แล้วแกคิดยังไง?”

พิชิตดื่มไวน์หนึ่งอึก “นัทธี พูดตาม ฉันไม่รู้ว่าตนเองจะยืนหยัดอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“หมายความว่าอะไร?” นัทธีมองเขา

พิชิตยิ้มเศร้า “ความเป็นจริงฉันรู้มาโดยตลอด นวิยาไม่ได้รักฉัน ตอนแรกฉันคิดว่า หลังจากที่ฉันกับนวิยาคบกัน ฉันจะทำให้เธอค่อยๆหวั่นไหวได้ แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว กลับไม่มีผลแม้แต่น้อย แกอย่ามองว่าเธอคุยโทรศัพท์กับฉันทุกวัน ไปกินข้าวกับฉัน แต่ความเป็นจริงโดยมากฉันเป็นคนชวน เธอยังคงเฉยชากับฉัน”

นัทธีเงียบ

เขาเพิ่งรู้ ที่แท้ความสัมพันธ์ของพิชิตนวิยา เป็นแบบนี้

ไม่ใช่คนรักกัน ในทางกลับกันเหมือนคนทั่วไปมากกว่า

“ดังนั้น แกคิดที่จะเลิกกับนวิยา?” นัทธีส่ายแก้วไวน์ในมือแล้วถาม

พิชิตขยับแว่น “มีความคิดนี้ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉัน ฉันรั้งเธอเอาไว้กับตนเองแบบนี้ เธอเองก็อึดอัด อีกทั้งฉันรู้สึกได้ว่า นวิยากำลังรอให้ฉันบอกเลิก”

นัทธีเม้มริมฝีปากล่าง “ในเมื่อเป็นแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นก็เลิกกันเถอะ พวกแกเข้ากันไม่ได้”

“แกสนับสนุนฉัน?” พิชิตมองเขา “ตอนนั้นแกเป็นคนเชียร์ให้ฉันสารภาพรักกับนวิยานะ”

“ตอนนั้นฉันเชียร์แก แค่เพราะเห็นว่าแกรักเธอมากจริงๆ แต่ตอนนี้ความจริงพิสูจน์แล้วว่า นวินาไม่ได้รู้สึกอะไรกับแก พวกแกคบกันต่อ ก็ไม่มีบทสรุป สู้เลิกกันยังดีกว่า” นัทธีพูดเสียงเรียบ

พิชิตกุมหน้าอก “เพื่อนรัก ประโยคนี้แทงใจจริงๆ”

นิทธีหัวเราะในลำคอ หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม “เอกสารที่มารุตส่งให้แก แกดูรึยัง?”

เมื่อได้ฟัง สีหน้าของพิชิตจริงจังขึ้นมา “ดูล่ะ”

“แกคิดยังไง?” นัทธีถาม

พิชิตเงียบไปสองสามวินาที “นัทธี ความเป็นจริงฉันไม่ได้บอกแก ข้อมูลในเอกสารเหล่านี้ มีส่วนหนึ่ง ที่ฉันรู้มานานแล้ว”

ม่านตาของนัทธีหดเล็ก “แกรู้?”

“อืม”

สีหน้าของนัทธีไม่สู้ดีนัก “ในเมื่อแกรู้นิสัยที่แท้จริงของนวิยา รวมถึงเรื่องที่เธอทำ ทำไมแกถึงไม่บอกฉัน”

“เป็นเพราะนวิยาขอร้องฉันไม่ให้พูด แกก็รู้ ฉัน……”

“เพราะรักเธอ ดังนั้นก็เลยช่วยเธอปิดยัง?” นัทธีมองเขาแล้วหัวเราะเย้ยหยัน

พิชิตก้มหน้าลงด้วยความรู้ตัว “ขอโทษ”

“พิชิต” นัทธีวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะอย่างแรง “แกรู้ไหม นิสัยแบบนี้ของนวิยาคือการต่อต้านสังคม”

“ฉันรู้” พิชิตจับแก้วไวน์แน่น

“ในเมื่อรู้ ทำไมแกไม่พูดออกมา ถ้าหากพูดเร็วกว่านี้ ไม่แน่นิสัยของนวิยา อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้” นัทธีขมวดคิ้วเป็นปม

พิชิตส่ายหน้า “นัทธี แกไม่เข้าใจด้านการแพทย์ นิสัยแบบนี้ไม่ได้แก้ง่ายๆแบบที่แกพูด เพราะเป็นนิสัยที่มีมาตั้งแต่เกิด ถ้าหากฝืนแก้นิสัยของเธอ มีแต่จะทำให้เกิดการต่อต้าน ทำให้นิสัยของนวิยาแย่ยิ่งกว่าเดิม ทำในสิ่งที่ยิ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้ อย่างเช่นฆ่าคน แกเข้าใจไหม?”

เขารู้ครั้งแรกตอนอายุสิบขวบ เขาพบว่านวิยาแตกต่างกับเพื่อนคนอื่นๆ

ครั้งนั้น เพื่อนคนหนึ่งถูกแมวที่บ้านข่วน ทุกคนต่างไปช่วยกันปลอบเด็กคนนั้น มีแค่นวิยาที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วพูดด้วยหน้าหงิกหน้างอ ถ้าแมวนั้นข่วนฉัน ฉันจะหักคอมัน ถลกหนังมัน’

ตอนนั้น เด็กทุกคนที่ได้ยินคำพูดของนวิยาต่างตกตะลึง แม้แต่เขาเองก็ตกใจไม่น้อย กลับไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกว่านวิยาอาจจะป่วยทางจิต

เพราะเขาชอบนวิยาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นหลังจากรู้ว่านวิยาป่วย เขาจึงเลือกที่จะเป็นหมอเหมือนพ่อ อยากจะเรียนจิตวิทยา เพื่อรักษานวิยาให้หาย แต่ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ที่จะเรียนจิตวิทยา สุดท้ายจึงเปลี่ยนไปเรียนเป็นหมอศัลยกรรม

แต่ว่าระหว่างที่เขาเรียน เขาได้ปรึกษาอาการของนวิยากับจิตแพทย์หลายคน จิตแพทย์พวกนั้นล้วนบอกกับเขาว่า ห้ามรักษานวิยาสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากนวิยายินยอมด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการกระตุ้นเธอ ทำให้นวิยาบ้าคลั่งมากกว่าเดิม

แต่ว่า นวิยาดันไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย แล้วจะไปรักษาได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงปิดเรื่องนี้มาโดยตลอด ปิดมาจนถึงตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากนั้นนวิยาตื่นขึ้นมา เธอก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เกินกว่าเหตุ

นัทธีไม่รู้ว่าภายในใจของพิชิตกำลังคิดอะไร เขาหรี่ตาลงมองพิชิต “ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่าตอนนี้นวิยามีพฤติกรรมที่มีความเป็นไปได้ว่าจะฆ่าคนแล้ว

สีหน้าของพิชิตเปลี่ยนไป ลุกขึ้นพรวด “แกบอกว่าอะไร? นวิยาเธอฆ่าคนแล้ว?”

“ฉันแค่บอกว่ามีความเป็นไปได้” นัทธีขมวดคิ้วแล้วพูด

พิชิตพูดติดๆขัดๆ นั่งลงด้วยความตื่นตกใจ “คือใคร?”

“วารุณี” นัทธีพูดออกมาสามพยางค์

พิชิตสูดลมหายใจเย็น แต่อย่างรวดเร็ว ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ นวิยาเคยลงมือฆ่าวารุณีตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“แกลืมเรื่องที่ก่อนหน้านี้วารุณีเกือบตายถึงสองครั้งไปแล้วเหรอ?” นัทธีเอียงคอ มองเขาด้วยความเยือกเย็น

แววตาของพิชิตสั่นเทา “ดังนัน้ แกสงสัยว่าเรื่องสองครั้งที่แล้ว นวิยาเป็นคนทำ? แต่ว่าตอนนั้นนวิยาอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่แม้แต่จะลงจากเตียงได้ แล้วเธอจะทำได้ยังไง……”

“ใครบอกว่าต้องลงมือฆ่าเองล่ะ” นัทธีพูดแทรกขึ้นมา

แววตาของพิชิตสั่นเทา ไม่อยากยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ แก้ตัวแทนนวิยาต่อ “แม้จะให้คนอื่นทำได้ แต่ว่าเงินล่ะ ตระกูลแก้วสุทธิล้มละลายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว นวินาจะเอาเงินมาจากไหนไปจ้างคนทำ?”

“แกยังไม่รู้เหรอ?” นัทธีหลบตาลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตระกูลแก้วสุทธิล้มละลายแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะล้มละลาย ประธานธนงค์โยกย้ายเงินด้วยช่องทางผิดกฎหมาย รอที่จะกลับมาผงาดอีกครั้ง แค่ว่าหลังจากล้มละลายได้ไม่นานท่านก็ตาย แน่นอนว่าเงินก้อนนั้นต้องกลายเป็นมรดกของนวิยา”

นี่เป็นผลการสืบที่ตระกูลจามจุรีศิลป์ส่งมาเมื่อช่วงบ่าย

ซึ่งตระกูลจามจุรีศิลป์ก็บังเอิญพบเข้า ไม่อย่างนั้นไม่มีวันรู้ นวิยายังมีมรดกมากขนาดนี้

อีกทั้งตระกูลจามจุรีศิลป์ยังสืบดูการเคลื่อนไหวของเงินก้อนนั้น พบว่าเมื่อหลายเดือนก่อน เงินนั้นถูกถอนไปสองครั้ง สองครั้งนั้น ตรงกับช่วงที่วารุณีถูกทำร้าย ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้ตระกูลจามจุรีศิลป์จะยังสืบไม่พบว่าสรุปแล้วนายท่านบุญชัยช่วยนวิยาปกปิดหรือไม่

แต่จากการเคลื่อนไหวของเงิน ก็มั่นใจได้แล้วว่า คนร้าย คือนวิยา

“เป็นไปได้ยังไง!” สีหน้าของพิชิตซีดขาว

นวิยามีมรดก

แล้วทำไมนวิยาถึงเอาแต่บอกว่าเธอไม่มีเงิน

นัทธีมองพิชิตที่รู้สึกไม่สบายใจ “ตอนนี้ แกยังไม่อยากจะเชื่ออีกเหรอ?”

พิชิตส่ายหน้า จับไหล่ของเขาด้วยความกระวนกระวาย “ไม่ นิทธี นวิยาจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง อีกทั้งคนร้ายไม่ใช่คนของตระกูลไวยนพเหรอ?”

“ทารีนาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เธอถูกนายท่านบุญชัยลากออกมา รับความผิดแทนนวิยา” นัทธีสะบัดแขนของพิชิต ที่อยู่บนหัวไหล่ทิ้ง

“นายท่านบุญชัย……” พิชิตกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก เงียบอยู่นานกว่าจะเปล่งเสียงออกมา “นายท่านบุญชัยก็มีส่วนร่วม”

นัทธีเชยคางขึ้นโดยไม่ให้คำตอบ

พิชิตรู้สึกหม่นหมองอย่างมาก ก้มหน้าลง ไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

นิทธีเองก็ไม่รบกวนเขา นั่งอยู่ข้างๆ ดื่มไวน์เงียบๆ

เขารู้ สำหรับพิชิตแล้ว เรื่องพวกนี้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก พิชิตต้องใช้เวลาในการตกตะกอนเรื่องที่เกิดขึ้น

ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะให้เวลากับพิชิต

หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที พิชิตเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ

เขาถอดแว่น ใบหน้าตุ๊กตาน่ารัก เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “นัทธี แกบอกเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟัง เพราะอยากให้ฉันเลือกใช่ไหม?”