“ถูกต้อง” นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย “ทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่า เป็นฝีมือของนวิยา ขาดก็แต่หลักฐานจากทางนายท่านบุญชัย ขอเพียงได้หลักฐานจากทางนายท่านบุญชัย ฉันก็จะส่งนวิยาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ขณะพูด เขาเรียกบริกรมา เติมไวน์ แล้วพูดต่อ: “แกเป็นแฟนของนวิยา แกมีสิทธิ์รู้เรื่องพวกนี้ ฉันบอกแก ก็เพราะอยากจะรู้ความคิดของแก แกจะหลับหูหลับตาปล่อยให้นวิยาทำตามใจชอบ หรือว่าจะสนับสนุนฉันส่งนวิยาเข้าคุก”

พิชิตยิ้มเศร้า “ไม่ว่าฉันจะเลือกแบบไหน แกก็จะส่งนวิยาเข้าคุกใช่ไหม?”

นัทธียกมุมปากขึ้น “ใช่”

“แล้วแกยังจะถามฉัน?” พิชิตชำเลืองมองเขา

นัทธีเขย่าแก้วไวน์ “ทำตามพิธีเท่านั้น ให้แกรู้ว่าฉันไม่มีวันเปลี่ยนใจ สุดท้ายตอนที่แกรู้จะได้ไม่ต้องมาโกรธฉัน”

พิชิตเงียบ ไม่พูดไม่จา

นัทธีเองก็ไม่รีบร้อน รอเงียบๆ

ผ่านไปพักหนึ่ง พิชิตหันไปมองเขา “นัทธี ปล่อยนวิยาไปสักครั้งไม่ได้จริงๆเหรอ?”

นัทธีหรี่ตาลง “นวิยาลงมือฆ่าวารุณีสองครั้งแล้ว แกจะให้ฉันปล่อยเธอไปได้ยังไง ถ้าฉันปล่อยเธอไป แกรับประกันได้เหรอว่าเธอจะไม่ลงมือฆ่าวารุณีอีก?”

“ฉันรับประกันได้!” พิชิตรีบพยักหน้า “ฉันจะพานวิยาไปต่างประเทศ ไปให้ไกลจากที่นี่ ไม่กลับมาอีก”

มุมปากของนัทธียิ้มเย้ยหยัน “แกก็บอกแล้ว นิสัยต่อต้านสังคมของนวิยาเป็นมาโดยกำเนิด การพาเธอออกนอกประเทศสามารถจัดการทุกอย่างได้เหรอ แกเคยคิดรึเปล่า เธอไม่อยากออกนอกประเทศ แล้วแกพาเธอไป เธอจะเกลียดแก ฆ่าแกแล้วหนีกลับประเทศ?”

“เรื่องนี้……” พิชิตถึงกับพูดไม่ออก

เพราะว่า เขาไม่ได้คิดถึงข้อนี้จริงๆ

ถึงแม้เพื่อนสนิทจะพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นกลับสูงมาก

ซึ่งก็หมายความว่า ปฏิบัติต่อนวิยามีแค่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือให้เธอติดคุก

คิดถึงตรงนี้ แผ่นหลังของพิชิตทรุดลงทันที เขาดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก

นัทธีเห็นแบบนั้น ลุกขึ้น “ดูเหมือนว่าแกจะคิดได้แล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็หวังว่าแกจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง และอย่าให้นวิยารู้ตัว ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่จะตามมา แกรับผิดชอบไม่ไหว”

พูดจบ เขาก้าวเท้าเดินออกไป เตรียมที่จะไปห้องน้ำ

ขณะที่เขาเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ ภาพตรงหน้ามืดไปครู่หนึ่งอย่างกะทันหัน

เขารีบพิงผนังนอกห้องน้ำ ทำให้เขาไม่ล้มลง

แต่เขากลับรู้สึกว่าการมองเห็นของเขามัวมาก เวียนหัวไปหมด รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน แม้แต่ทางก็มองไม่ชัด

สีหน้าของนัทธีแย่มาก

เขาไม่โง่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอาการของตนเองในตอนนี้ผิดปกติอย่างมาก มีความเป็นไปได้ว่าถูกวางยา

แต่ว่าร่างกายไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่ยาแบบนั้น น่าจะเป็นพวกยาสลบ

นึกถึงตอนที่ตนให้บริกรเติมไวน์แก้วนั้น รอบตัวของนัทธีเต็มไปด้วยแรงอาฆาต

เขาจับผนัง เดินไปด้านหน้าด้วยความยากลำบาก เดินไปด้วย พร้อมกับเอามือที่สั่นเทายื่นเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เตรียมที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามารุต

ทว่าภาพตรงหน้าของเขากลับไม่ชัดเจน มือไม่มีเรี่ยวแรง กดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถปลดล็อกโทรศัพท์ได้ สุดท้ายถือโทรศัพท์เอาไว้ไม่แน่น โทรศัพท์ตกลงบนพื้น

ขณะที่เขาย่อตัวลงจะเก็บโทรศัพท์ กลิ่นหอมหวานฟุ้งมาตรงหน้า

จากนั้น ร่างอรชรของหญิงสาวก็ซบลงในอ้อมกอดของเขา กอดเขาไว้แน่น “ประธานนัทธีคะ คุณเป็นอะไรไปคะ ดูอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่?”

“ไสหัวไป!” นัทธีตวาดด้วยเสียงเยือกเย็น

แต่เขาไม่มีเรี่ยวแรง คำว่าไสหัวไปนี้ ฟังดูแล้วไม่มีความน่าเกรงขาม ในทางกลับกันให้ความรู้สึกยั่วยวนที่ยากจะบรรยาย

หญิงสาวกลืนน้ำลาย แววตาที่มองเขา เต็มไปด้วยความเร่าร้อน

ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงคนๆนั้น เธอต้องลากผู้ชายที่คนทั้งจังหวัดจันทร์อยากจะแต่งงานไปขึ้นเตียงของตนเองแล้ว

น่าเสียดายจริงๆ……

แววตาของหญิงสาวมีความเศร้าฉายออกมา แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แนบตัวเข้าประชิดด้วยความใจกล้าอีกครั้ง “อย่าสิคะประธานนัทธี ฉันได้ยินว่าภรรยาของคุณไปต่างประเทศ คุณอยู่คนเดียวต้องเหงามากแน่ๆ ให้ฉันอยู่กับคุณนะคะ”

“เธออยากตาย?” ถึงแม้นัทธีจะมองไม่เห็นคนตรงหน้า แต่เขาได้ยิน

ดังนั้น เขาพอจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ไหน ก้มหน้าลง มองเธอด้วยแววตาเยือกเย็น

หญิงสาวเผชิญหน้ากับแววตาไร้ความรู้สึกของเขา อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ใบหน้าของเธอฉายความตกใจกลัว

นี่คือแววตาอะไรกัน แค่มองตา ก็รู้สึกเหมือนถูกฆ่า

เธอหนีไปตอนนี้ยังทันไหม?

ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดจะไปนั้น โทรศัพท์ของหญิงสาวสั่น

เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นข้อความๆหนึ่ง

ไม่รู้ว่าเนื้อหาในข้อความเขียนว่าอะไร สีหน้าของหญิงสาวแย่เล็กน้อย

สุดท้าย หญิงสาวกระทืบเท้า คล้ายว่าทุ่มสุดตัว ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มอีกครั้ง “ถ้าฉันได้นอนกับประธานนัทธีสักคืน ตายก็ไม่เป็นไรค่ะ อีกทั้งประธานนัที สภาพของคุณ คุณคิดว่าคุณจะสามารถขัดขืนได้เหรอคะ ยาที่วางให้คุณ คือยาสลบสองชุด”

“เธอเป็นคนวางยาฉัน?” นัทธีได้ยินว่าเป็นยาสลบสองชุด เขาหรี่ตาลงทันที

ดวงตาของหญิงสาวสั่นไหว “ใช่ค่ะ ดังนั้นประธานนัทธี คุณยอมฉันเถอะค่ะ”

ขณะพูด หยิงสาวพยุงตัวนัทธี แล้วเดินไปที่ห้องรับรอง

นัทธีอยากจะผลักเธอทิ้ง แต่ว่าเรี่ยวแรงในร่างกายหายไปเกือบหมดแล้ว

ฤทธิ์ยาสลบ ก็มากขึ้นเรื่อยๆ

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาต้องสลบแน่นอน

คิดถึงตรงนี้ รอบตัวของนัทธีเต็มไปด้วยออร่าสังหาร กัดลิ้มตนเองอย่างแรง เพื่อต้องการให้ตนเองมีสติ

แต่ฤทธิ์ย่าสลบรุนแรงเกินไป เขากัดลิ้น ไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ แล้วจะให้เขามีสติได้อย่างไร

ขณะที่นัทธีเตรียมที่จะข่มขู่ผู้หญฺงคนนี้อีกครั้ง ตอนที่จะไล่เธอไป

เสียงของนวิยาดังขึ้นกะทันหัน “เอ๊ะ นัทธี? คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ แล้วผู้หญิงที่อยู่ข้างคุณคือ…”

“ฉันเป็นคู่ควงของประธานนัทธี” หญิงสาวซบแขนนัทธี แล้วส่งยิ้มท้าทายให้นวิยา

สีหน้าของนวิยาเคร่งขรึม แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว มองนัทธีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “นัทธี คุณหาผู้หญิงมาควง คุณทำแบบนี้ได้ยังไงคะ คุณทำแบบนี้ไม่รู้สึกผิดต่อคุณวารุณีเหรอคะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น ผมถุกวางยา” หนังตาของนัทธีหนักอย่างมาก ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนแรง

ราวกับนวิยาเพิ่งเห็นความผิดปกติของเขา ถามด้วยความตื่นตระหนก “นัทธี คุณเป็นอะไรไปคะ?”

“ผมโดนวางยา” นัทธีตอบอีกครั้ง

ครั้งนี้ เสียงของเขาอ่อนแรงกว่าครั้งที่แล้ว

นวิยามองผู้หญิงที่อยู่ข้างเขา “เธอเป็นคนวางยานัทธีใช่ไหม?”

“ใช่ฉันแล้วจะทำไม?” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นด้วยความทระนง

นวิยาพูดเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใจกล้ามาก กล้าวางยาหัวหน้าตระกูลไชยรัตน์ ฉันว่าเธอคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ยังไม่รีบปล่อยนัทธีอีก”

“ฉันไม่ปล่อยทำไมห๊ะ?” หญิงสาวกอดแขนนัทธีแน่นกว่าเดิม

นวิยาหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าฉันก็แล้วกัน”

พูดจบ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา “รปภ. ที่นี่มี……”

“นี่ เธอเรียกรปภ.เนี่ยนะ เกินไปแล้ว ฉันให้เธอก้ได้” หญิงสาวดูเหมือนจะกลัวมาก รีบผลักนัทธีไปให้นวิยา จากนั้นก็หมุนตัวหันหลังแล้วรีบวิ่งหนี

นวิยาหัวเราะในลำคอ “รปภ. ปิดทุกทางเข้าออก มีผู้หญิงใส่ชุดเดรสสีเหลืองเตรียมที่จะหนี จับตัวเธอเอาไว้”

หลังจากสั่งจบ เธอวางโทรศัพท์ลง มือทั้งสองข้างพยุงนัทธีนแน “นัทธี คุณเป็นอะไรไหมคะ”

นัทธีแทบจะฝืนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว หลับตาลงแล้ว มีแค่ขนตาเท่านั้นที่ยังสั่นเทาเล็กน้อย “พาผมไปที่ห้องรับรอง แล้วบอกมารุตให้ตามหมอมา”

“ค่ะ” นวิยาตอบ แล้วพยุงเขาเข้าไปในห้องรับรอง

นวิยาวางนัทธีลงบนเตียง จากนั้นยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

หลังจากเช็ดเหงื่อเสร็จ เธอก้มหน้าลง มองเขาด้วยแววตาเศร้าหมอง ไม่มีทีท่าจะโทรหามารุตเลยสักนิด

ผ่านไปพักหนึ่ง เธอเปิดกระเป๋า หยิบของชิ้นเล็กๆออกมาจากกระเป๋าแล้วติดที่คอของตนเอง จากนั้นก็ร้องเรียกชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง: “นัทธี นัทธี?”