บทที่ 373.2 เจียวเจียวสวนกระแส (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 373 เจียวเจียวสวนกระแส (2)

“แม่นาง”

เขาเรียกกู้เจียวอีกครั้ง

แต่กู้เจียวยังคงไม่สนใจเขา

ชายคนนั้นก้าวไปด้านข้าง พยายามที่จะไม่บังแสงของกู้เจียว และเพื่อจะได้เห็นว่ากู้เจียวกำลังทำอะไรอยู่

ที่แท้ก็กำลังเล่นหมากรุกอยู่นี่เอง

อาจฟังดูเกินจริงไปสักหน่อยหากจะบอกว่ามันคือหมากรุก มันเป็นเพียงกระดานหมากรุกที่วาดอย่างคดเคี้ยวบนกระดานไม้เก่าๆ โดยมีก้อนหินเป็นตัวหมากรุก ซึ่งแต่ละก้อนมีลักษณะไม่สม่ำเสมอ และหมากสีดำเป็นเพียงหยดหมึกบนก้อนหิน

ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นอย่างสงสัย

นี่นางจนขนาดนี้เชียวรึ

ไหนบอกว่าพักอยู่แถวตรอกปี้สุ่ยใกล้กับกั๋วจื่อเจียนมิใช่รึ บ้านเรือนตรงนั้นราคาสูงมากเลยนะ

นอกจากนี้ เขาเคยเห็นของกระจุกกระจิกของเณรน้อย ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นเรียกได้ว่าราคาสูงลิ่ว และชิ้นใดชิ้นหนึ่งสามารถขายได้ในราคาสูงลิ่ว ถ้าชีวิตลำบากจริงๆ เป็นเขา เขาจะเอาของพวกนั้นมาขาย!

ไม่เห็นต้องมานั่งขอทานแบบนี้เลย!

ว่าไปแล้ว มีหรือคนจนจะเล่นหมากรุกเป็น

ชายหนุ่มมองไปที่กระดานหมากรุก ก่อนจะมองไปทางกู้เจียวด้วยสายตาประมาณว่าถ้าเจ้าเล่นไม่เป็นข้าพอสอนให้ได้นะ

แวบแรกเขามองอย่างไม่ใส่จากมากนัก เพียงแค่รู้สึกกระอักกระอ่วนเท่านั้น

พอมองครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่

สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจจ้องอย่างใจจดใจจ่อ

ไม่ใช่หรอกกระมัง นี่เขากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ท่านชายอย่างเขาจะมายื่นจ้องสตรีขอทานตัวเล็กๆ เช่นนี้ …เอ เดี๋ยวก่อนนะ นี่เขากำลังมาดูหญิงสาวตัวเล็กๆ เล่นหมากรุกอยู่งั้นหรือนี่

ทุกคนรู้ว่าท่านปรมาจารย์เมิ่งคือเซียนหมากรุกแห่งแคว้นทั้งหก เขาได้สร้างด่านกลหมากรุกมานับไม่ถ้วนในชีวิตของเขา ในบรรดาด่านทั้งหมดมีแปดด่านที่โด่งดังที่สุดและมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแก้กลเหล่านี้ได้โดยเฉพาะด่านเฉียนคุน ซึ่งไท่จื่อเฟยคือหนึ่งในนั้นที่สามารถแก้เกมได้

แต่ไม่มีใครรู้ว่าท่านปรมาจารย์เมิ่งยังมีด่านหมากรุกสุดโหดเหลืออยู่อีกด่าน นั่นก็คือด่านเซิงสื่อลิ่วจวี๋!

ด่านนี้ต่างหากที่ยังไม่มีใครสามารถแก้มันได้ หรือเรียกได้ว่าเป็นด่านต้องห้ามเลยทีเดียว

ที่บอกว่าเป็นด่านต้องห้าม เพราะอานุภาพของมันช่างรุนแรงยิ่งนัก ผู้เล่นอาจเกิดอาการปวดประสาทจนเลิกเล่นกันไปข้าง

เขาจำได้ว่าเขาเคยเจอด่านนี้มาก่อน และเขาเลือกที่จะยอมแพ้ไปก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นบ้าไปมากกว่านี้ และในตอนนี้ เขาไม่คาดฝันเลยว่าจะได้มาเห็นเกมนี้อีกครั้ง

แล้วไฉนนางถึงไม่เป็นอะไรเลยเล่า

ดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลย หรือว่าความรุนแรงของด่านนี้ไม่สามารถทำให้นางหวั่นไหวได้เลยหรือ

“เจ้า…” ชายหนุ่มค่อยๆ ละสายตาออกจากกระดานหมาก

กู้เจียวชี้นิ้วไปทางถ้วยขอทาน

ชายหนุ่มร้องอ๋อ ก่อนจะรีบควักเงินที่มีอยู่ออกมาแล้วโยนเข้าถ้วยนั้น

ในที่สุดกู้เจียวก็ยอมพูดกับเขาสักที “มีอะไรหรือ”

มีเงินมันดีอย่างนี้นี่เอง สั่งในคนเปิดปากได้

ชายหนุ่มสะบัดพัดในมือ พลางถาม “หมากด่านนี้…เจ้ามีความเห็นอย่างไร”

“อืม ก็สนุกดีนะ” กู้เจียวเอ่ย

สะ…สนุกเรอะ แค่นี้เนี่ยนะ

“เจ้าไม่รู้สึกว่ามันยาก…”

ยากลำบากและทรมานจิตใจ

“อ๋อ ก็ยากจริงๆ” เรื่องนี้กู้เจียวเห็นด้วย

ชายหนุ่มถึงกับงงในคำตอบของกู้เจียว

นี่นางยังเป็นคนอยู่รึเปล่า ถึงได้เล่นด่านนี้ได้สบายใจเฉิบ

ไม่สิ สิ่งที่เขาควรสงสัยคือผู้หญิงคนนี้เรียนหมากรุกมาจากไหนมิใช่หรือ

ด้วยความที่ด่านเซิงสื่อลิ่วจวี๋นั้นไม่เหมือนด่านหมากรุกทั่วไป อีกทั้งยังเป็นด่านต้องห้ามของแคว้นเยียน ดังนั้นคนทั่วไปไม่มีทางที่จะรู้จักด่านนี้ได้แน่ๆ

ทั้งระเบิดนั่น ไหนจะเรื่องหมากรุกนี่อีก สรุปแล้วแม่นางผู้นี้มีความสัมพันธ์อะไรกับแคว้นเยี่ยนกันแน่นะ

“แม่หนู!”

ขอทานชราเดินถือถุงเงินออกมาจากตรอกนั้น

ชายหนุ่มไม่อยากให้ใครมาพบเจอเขา จึงรีบเดินกลับไปที่โรงน้ำชาดังเดิม

ขอทานชราเดินเข้ามานั่งยองๆ ข้างกู้เจียว ก่อนจะยื่นถุงเงินสีขาวในมือให้ดูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่หนู ดูสิ ข้าชนะแล้ว!”

จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและมองดูถ้วยขอทานของเขา และต้องตะลึงกับแท่งทองคำแวววาวสองแท่งที่วางอยู่ในนั้น!

นอกจากทองคำแล้ว ยังมีเหรียญทองแดงไม่น้อยที่อยู่ข้างใต้อีก

ขอทานชราเริ่มติดอ่าง “น่ะ นี่ นี่ นี่ …อะ เอา เอามาจากไหน”

กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะเอ่ยตอบหน้าตาเฉย “อ้อ ก็คนที่เดินผ่านไปมายื่นให้ไง”

เขามองถุงเงินในมือของเขา สลับกับมองแท่งทองและกองเหรียญมากมายในนั้น จู่ๆ เขาเริ่มรู้สึกรังเกียจถุงเงินที่เพิ่งชนะมาเสียอย่างนั้น!

เขาเหนื่อยแทบตายกับการเล่นหมากรุกกับคนโง่พวกนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้รายได้มากเท่ากับเด็กสาวที่มานั่งยองๆ อยู่ที่นี่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น!

กู้เจียวกำลังจะอ้าปากถามเขาว่ามาเล่นหมากรุกด้วยกันไหม

แต่ถูกเขาสวนกลับว่า “ข้าขออยู่เงียบๆ คนเดียว เจ้าอย่าเพิ่งมาชวนข้าคุย!”

นี่มันแทงใจดำกันชัดๆ !

“ก็ได้”

กู้เจียวยังคงนั่งย่อตัวลงวาดกลยุทธ์หมากตามเดิมต่อ

ทันใดนั้น จู่ๆ มีรถม้าโอ่อ่าคันใหญ่จอดเทียบด้านหน้าพวกเขา

ม่านรถถูกเปิดออก กลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาจากด้านใน กู้เจียวที่เริ่มได้กลิ่นก็เกิดคันจมูกและในที่สุดก็จามออกมา!

นางกำนัลในชุดสีชมพูเดินลงมาจากรถม้า ใบหน้าของนางถูกปิดด้วยผ้าสีขาว นางหยุดยืนห่างจากขอทานชราระยะสามก้าว

นางไม่สนใจกู้เจียวที่กำลังนั่งยองอยู่บนพื้น แต่กลับหันไปทางขอทานชราแล้วเอ่ย “เจ้านายข้าจะขอเชิญท่านมาที่หอชิงเฟิง”

“ข้าไม่ไป” ขอทานชราปฏิเสธ

นางกำนัลเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่าท่านถูกชมรมหมากรุกชิงฮวนไล่ออก และไม่สามารถไปเล่นหมากรุกที่นั่นได้อีกต่อไป เจ้านายของข้ารู้สึกเสียใจมากเมื่อทราบข่าว”

กู้เจียวหันไปมองขอทานชรา พลางนึก ที่แท้ก็ถูกไล่ออกมานี่เอง เขาเลยไปเข้าที่อื่น

“พวกเขาไม่ได้ขับไล่ข้าออกไป! เป็นข้าเองที่ตัดสินใจที่จะไม่ไปที่ชมรมหมากรุกขยะแบบนั้นอีก! ให้ข้าแสร้งทำเป็นแพ้อย่างนั้นรึ เหอะ ช่างหน้าไม่อายเสียจริง!”

นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก มันคือเรื่องจริง เขาไม่มีทางเล่นแพ้คนพวกนั้นอยู่แล้ว!

นางกำนัลพยายามอย่างมากที่จะรักษาสีหน้าของตนเอง “นายของข้าอยากเชิญท่านเล่นหมากรุกอย่างจริงใจ โปรดตามข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และไปที่หอชิงเฟิงเพื่อพบเจ้านายของข้าด้วยเถอะท่าน”

ขอทานชราพูดด้วยเสียงหัวเราะ “แค่นี้ถึงกับต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเชียวรึ ใครเป็นนายของเจ้าล่ะ ฮ่องเต้หรือว่าฮองเฮา”

นางกำนัลกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่สะดวกเปิดเผยตัวตนของนายข้า แต่สถานะของเขาสูงส่งชนิดที่ท่านคาดไม่ถึงแน่นอน ด้วยการคุ้มครองของเจ้านายของข้า ไม่มีใครในชมรมหมากรุกในเมืองหลวงจะกล้าขับไล่ท่านอีก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

“ข้าไม่ไป!” ขอทานชรายังคงยืนกราน

“โปรดท่านพิจารณาด้วยเถิด” นางกำนัลเอ่ยต่อ

ขอทานชราเริ่มมีน้ำโห “ก็บอกแล้วยังไงว่าไม่ไป น่ารำคาญจริงๆ รีบออกไปได้แล้ว ข้าจะเล่นหมากกับแม่หนู! ไป ชิ่ว ชิ่ว ชิ่ว!”

ขณะที่กำลังถูกไล่ จู่ๆ นางกำนัลก็เหลือบไปเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่กำลังนั่งยองยู่ตรงนั้น

เป็นนางหรอกหรือ

นางกำนัลเดินเข้าไปในห้องรับรองในหอชิงเฟิง “ทูลไท่จื่อเฟย เขาผู้นั้นไม่ยอมมาเพคะ”

“เพราะเหตุใดล่ะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยถามอย่างสงสัย

ไท่จื่อเฟยลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจชวนขอทานชรา เดิมทีนางก็มิได้สนใจเขาเท่าใดนัก แต่พอเห็นว่าเขาเล่นชนะมาเรื่อยๆ จึงอดให้ความสนใจไม่ได้

“เขาต้องการเล่นหมากรุกกับอีกคนเพคะ” นางกำนัลเอ่ย

“ใครรึ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยถามพลางวางกาน้ำชาลง

“บุตรสาวของจวนติ้งอันโหวเพคะ คนที่มาจากชนบทคนนั้น”

ไท่จื่อเฟยเคยเห็นกู้เจียวเล่นหมากรุกกับชายขอทานชราด้วยตาตัวเอง ตอนแรกนางไม่ได้เก็บมาคิดอะไรนัก แต่ตอนนี้ กลับอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ากู้เจียวนั้นรู้จักขอทานชราได้อย่างไร

นางกำนัลเล่าให้ไท่จื่อเฟยฟัง “หม่อมฉันได้ยินมาว่าปกติขอทานคนนั้นมักจะเล่นหมากรุกอยู่ตรงถนนหลิ่วซู่ คนอื่นๆ มองเขาเป็นคนบ้าคนนหนึ่ง ไม่มีใครอยากเล่นหมากรุกกับเขา และเขาก็ได้เจอกับแม่นางกู้โดยบังเอิญ ไปๆ มาๆ ก็เริ่มรู้จักกัน แล้วนางก็ไปนั่งยองบนพื้นเพื่อเล่นหมากรุกกับเขา มีแต่คนแบบนางเท่านั้นแหละเจ้าค่ะที่ยอมลดตัวลงไปทำอะไรแบบนั้น ไม่ได้คำนึงเลยว่าตัวเองน่ะเป็นบุตรสาวจวนโหวรวมถึงศรีภรรยาของท่านจอหงวน”

ไท่จื่อเฟยนั้นเป็นคนระมัดระวังเรื่องภาพลักษณ์ ย่อมไม่มีทางจะลดตัวลงไปนั่งยองบนพื้นเพื่อเล่นหมากรุกกับเขาเป็นอันขาด

“ช่างเถอะ เขาไม่มาก็เรื่องของเขา” ไท่จื่อเฟยแสดงท่าทีเมินเฉย ก่อนจะถามต่อ “ทางนู้นมีข่าวคราวเรื่องท่านปรมาจารย์เมิ่งบ้างไหม”

นางกำนัลเอ่ยตอบ “ยังไม่มีข่าวจากแคว้นเยี่ยนนะเพคะ ส่วนแคว้นเหลียง แคว้นเฉิน และแคว้นจ้าว…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ ไท่จื่อเฟยก็เอ่ยขัดและพูดด้วยเสียงสูง “สิ่งที่ข้าต้องการคือข่าวจากแคว้นเยี่ยน และที่สำคัญคือข้าอยากได้ความสนใจจากปรมาจารย์เมิ่ง”