บทที่ 374 บดขยี้ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 374 บดขยี้ (1)

กู้เจียวเล่นหมากรุกกับขอทานชราอยู่พักหนึ่งแล้วก็ขอตัวกลับ แน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะเอาแท่งทองคำและ ‘ค่าจ้าง’ ที่ได้รับไปด้วย

ด้วยความที่ฟ้ายังไม่มืด กู้เจียวจึงไปที่สำนักฮั่นหลินเพื่อที่จะรอกลับพร้อมกับลิ่วหลัง แต่กลับได้คำตอบมาว่าวันนี้เซียวลิ่วหลังออกไปทำงานที่นอกเมืองอีกแล้ว

แต่ครั้งนี้เขาไปไม่ไกลนัก และจะกลับมาภายในคืนนี้

“ขอบคุณท่านมาก” กู้เจียวเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินออกจากสำนักฮั่นหลิน

วันนี้เสี่ยวจิ้งคงบอกกับนางในตอนเช้าแล้วว่าหลักเลิกเรียนเขาจะไปเล่นที่เรือนของสวี่โจวโจว และจะให้คนมาส่งที่โรงหมอ

กู้เจียวจึงมุ่งหน้าไปยังโรงหมอ

สิ่งที่กู้เจียวไม่คาดคิดก็คือ ระหว่างทางกลับไปที่โรงหมอ นางได้พบกับกลุ่มอันธพาล

กู้เจียวนึกสงสัย นี่มันก็ยังไม่ถึงช่วงปีใหม่เลยนี่นา ไฉนคนพวกนี้ถึงเริ่มมาออกหากินแล้วเล่า

กลุ่มอันธพาลมีด้วยกันทั้งหมดหกคน ดูจากการแต่งกายแล้วพวกเขาดูเหมือนโจรและผู้ลี้ภัย แต่พวกเขากล้ามเป็นมัด มือถือมีดและดาบ ดังนั้นพวกเขาคงมีพื้นฐานศิลปะการต่อสู้มาบ้าง

หลายคนปิดหน้าด้วยผ้าพันคอและจ้องมองเธออย่างโลภ

“จะปล้นรึ” กู้เจียวเปิดถามก่อน

กู้เจียวคิด คนพวกนี้คงไม่ได้จะมาลวนลามหรอกใช่ไหม แต่ก็ไม่แน่ บางคนอาจจะของขาดมานานก็เป็นได้

เฮ้อ

กู้เจียวทำเป็นไม่สนใจ

ก่อนจะเดินออกไป

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

หนึ่งในกลุ่มอันธพาลที่ดูเหมือนเป็นหัวโจกตะโกนขึ้น

ผลคือคนพวกนั้นถูกกู้เจียวรุมกระทืบจนต้องร้องขอชีวิต

กู้เจียวคร้านจะวิ่งไปแจ้งความ เพราะดูท่าทางแล้วไม่นานก็คงถูกจับได้เอง ไม่ต้องเปลืองแรงนางด้วยซ้ำ

กู้เจียวดึงแขนเสื้อลง แล้วมุ่งหน้าไปยังโรงหมอตามเดิม

เหตุผลที่เลือกเดินเท้าไม่ใช่เพราะว่างหรือเพราะประหยัดเงินที่จะจ้างรถม้า แต่เพราะต้องการสำรวจร้านค้าตามถนน

ยังดีที่ไม่เจอเรื่องวุ่นวายอะไรอีก

“แม่นางกู้! กลับมาแล้วรึ!”

เป็นเสียงของเถ้าแก่รอง

กิจการของโรงหมอดีขึ้นมากและปริมาณการสั่งซื้อของโรงงานผลิตยาก็เพิ่มขึ้นด้วยนอกจากจะผลิตยาแก้ปวดตำรับของโรงหมอแล้วยังผลิตยาบำรุงชี่และเลือดอีกด้วย

เถ้าแก่รองงานยุ่งเสียจนผมร่วงหมดหัว นานๆ ครั้งถึงจะได้เจอหน้ากู้เจียวที

“ว่าอย่างไรล่ะลุงหู” กู้เจียวเอ่ยทักทาย “วันนี้มีเรื่องน่ายินดีอะไรอีกหรือ”

เถ้าแก่รองยิ้มอ่างมีเลศนัย “ข้ามีของมาอวดเจ้าด้วยล่ะ!”

“ของอะไรหรือ”

“นี่ไง!” เถ้าแก่รองหยิบป้ายสีทองออกมาจากกระเป๋าของเขา “ดูนี่สิ กว่าจะได้มันมานี่ไม่ง่ายเลยนะ แม้โรงหมอของพวกเราจะเปิดกิจการได้ไม่นาน แต่ใครใช้ให้ข้าเป็นคนเก่งกันล่ะ!”

กู้เจียวยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังบอก

เถ้าแก่รองจึงค่อยๆ อธิบายว่าโรงหมอของพวกเขานั้นได้โอกาสในการเข้าร่วมสมาคมการค้าแห่งเมืองหลวง

ในการเข้าร่วมสมาคม เป็นการเปิดโอกาสที่จะขยายกิจการและเพิ่มหุ้นส่วนได้มากขึ้น และยังมีสมาชิกทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ

เถ้าแก่รองใช้ความพยายามอย่างมากในการตามหาบัตรเชิญของการเข้าร่วมสมาคม ซึ่งมีกำหนดคือเดือนหน้า

เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของสมาคมการค้าเสียทีเดียว

“เราลองไปเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ กัน เจ้าว่าไงล่ะ” เถ้าแก่รองถาม

“เอาสิ” กู้เจียวไม่มีความเห็นอะไร พอเป็นเรื่องธุรกิจ นางเชื่อใจเถ้าแก่รองเต็มที่

การได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย

เถ้าแก่รองเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เช่นนั้นข้าไปจัดการก่อนนะ เจ้าก็ทำตัวให้ว่างด้วยล่ะช่วงนั้น!”

“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า

“ตกลงนะ เอาละ เจ้ายุ่งของเจ้าก่อน เอ๊ะ เห้ยยย!” เถ้าแก่รองร้องอุทานขึ้นทันทีที่เห็นรอยเลือดตรงแขนเสื้อกู้เจียว “เจ้าบาดเจ็บนี่นา!”

เสียงของเถ้าแก่รองดังเสียจนทำเอาคนทั้งโรงหมอได้ยิน แม้กระทั่งเว่ยกงกงที่เพิ่งลงจากรถม้าตรงหน้าโรงหมอยังได้ยิน

“เกิดอะไรขึ้น ใครบาดเจ็บ แม่นางกู้หรือ แม่นางกู้เป็นอะไรไป” เว่ยกงกงรีบย่ำเท้าปรี่เข้ามาด้วยความกังวล

กู้เจียวยกแขนขึ้นมาให้ดู ซึ่งก็มีรอยเลือดติดอยู่จริงๆ แต่กู้เจียวไม่ได้เจ็บอะไรตรงไหน น่าจะเป็นเลือดของพวกอันธพาลมากกว่า

“รอยเลือดนี้ไม่ใช่ของข้า”

“แล้วมันมาได้อย่างไรเล่าแม่นางกู้” เว่ยกงกงเอ่ยถาม

“เมื่อครู่ข้าเจอพวกอันธพาลมาน่ะ ก็เลยสั่งสอนพวกมันไป”

เว่ยกงกงยังไม่นิ่งนอนใจ ดึงข้อแขนของกู้เจียวมาสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง

พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีรอยแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆ เขาถึงถอนหายใจโล่งใจ

เว่ยกงกงรีบดึงแขนเสื้อกู้เจียวลงมาให้มิดชิดที่สุดเพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นมาเห็น

“ท่านเว่ยกงกงมาที่นี่ทำไมหรือ” กู้เจียวถาม

เว่ยกงกงอธิบาย “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมนำขนมมามอบให้แม่นางกู้ ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงอารมณ์ไม่ดี ก็เลยไม่พูดคุยกับแม่นางกู้ พอตอนหลังทรงเริ่มไม่สบายพระทัยที่รู้สึกเช่นนั้น กระหม่อมก็เลยต้องมาที่นี่ขอรับ”

แน่นอนว่าเว่ยกงกงพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้า

ฮ่องเต้ทรงเข้าใจผิดว่าจิ้งไท่เฟยเป็นคนผลักเว่ยกงกง ก็เลยทั้งโกรธและสับสนพระทัยเป็นอย่างมาก ก่อนจะเดินเข้าห้องทรงอักษร

ฮ่องเต้ที่ถูกฤทธิ์ของยาสีดำครอบงำมีแต่จะเก็บความทรงจำด้านที่ไม่ดีของคนๆ นั้นไว้ ขณะที่ความทรงจำของคนอื่นๆ ไม่ได้มีผลอะไรมาก สำหรับฮ่องเต้แล้ว กู้เจียวยังคงเป็นหมอเทวดาตัวน้อยสำหรับพระองค์อยู่วันยังค่ำ

กู้เจียวรับขนมไว้ พอเว่ยกงกงกลับไปที่วัง ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฝ่าบาท “…เป็นกลุ่มอันธพาลขอรับ โชคดีที่แม่นางกู้ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด…”

กลุ่มอันธพาลพวกนั้นคงเป็นระดับกระจอกๆ ไม่น่าจะเป็นลูกสมุนหรือมือสังหารที่ส่งมาจัดการกู้เจียว

ด้วยความที่ฝีมือพวกมันสุดจะไร้น้ำยา กู้เจียวแทบไม่ต้องลงแรกอะไรมากก็สามารถสั่งสอนพวกมันอยู่หมัด

แต่จู่ๆ ฮ่องเต้กลับนึกเป็นกังวลขึ้นมา จู่ๆ เงาร่างหนึ่งที่สะบัดไม่ออกผุดขึ้นมาในหัวเขา

ความรู้สึกหวาดกลัวค่อยๆ ถาโถมเข้ามาในห้วงความคิด

เหตุและผลของเขาบอกเขาว่าเป็นไปไม่ได้ แต่พอยิ่งคิด ภาพในหัวก็ยิ่งชัดแจ่มมากขึ้น

ในท้ายที่สุด ดูเหมือนฝ่ายบาทจะมึนงงและเริ่มเชื่อความไม่แน่นอนนี้

ฝ่าบาททุบโต๊ะ แล้วลุกขึ้น มุ่งหน้าไปยังสำนักชี

ณ ช่วงเวลาพลบค่ำ อันเป็นเวลาอาหารเย็น ที่สำนักชีก็เช่นกัน ควันขาวพุ่งพวยจากบริเวณห้องครัวพร้อมกับกลิ่นเผาฟืนจากห้องเตาเผา

แสงรำไรสุดท้าย ควรเป็นช่วงเวลาที่น่าอบอุ่นใจที่สุด

แต่ภายในพระทัยของฮ่องเต้กลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ

“ฝ่าบาท” แม่ชีที่กำลังกวาดลานสำนักอยู่พอเห็นฮ่องเต้เดินเข้ามาในสำนักก็รีบถวายบังคมให้

ฮ่องเต้เดินมุ่งหน้าเข้าไปในสำนักโดยที่ไม่ได้สนใจแม่ชีตัวเล็กๆ

จิ้งไท่เฟยไม่ได้อยู่ในห้องโถง แต่อยู่ในห้องนั่งสมาธิที่ตั้งอยู่ข้างๆ

นางกำลังนั่งยองๆ บนพื้นไม้ขัดเงา เบื้องหน้ามีกล่องใบเล็กๆ ซึ่งมีขวดและกระป๋องหลายขวดและวัตถุดิบบางอย่างในนั้น

นางถือบางอย่างในขวดโหลขนาดเล็กพร้อมกับสากและครกในมือ ที่นิ้วโป้งของมือซ้ายของนางถูกพันด้วยผ้าสีขาว เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลซึมออกมาจากหน้าผากของนาง เห็นได้ชัดว่านางกำลังตั้งอกตั้งใจทำมันอย่างขะมักเขม้น

โดยมีแม่นมไช่ที่อยู่ข้างๆ คอยเป็นลูกมือให้

จู่ๆ เสียงฝีเท้าดังขึ้น แม่นมไช่หยุดนิ่ง ก่อนจะหันไปทางจิ้งไท่เฟย

ส่วนจิ้งไท่เฟยก็กำลังง่วนอยู่กับการปอกหัวเผือกจนไม่รับรู้เสียงอื่น

แม่นมไช่วางมีดและเผือกบนโต๊ะเบาๆ ตั้งใจจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ทันไรก็พบว่าฮ่องเต้นั้นเข้ามาในห้องแล้วทันทีที่ตนลุกขึ้นยืน

ทรงกำลังวางฉลองพระบาทไว้ข้างนอกห้อง

แม่นมไช่ถวายบังคม “ฝ่าบาทเพคะ”

ในที่สุดจิ้งไท่เฟยก็รู้ตัวแล้วว่ามีคนเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นอย่างสงบ ดวงตาของนางแม้จะดูอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าโศก

นางได้แต่มองฝ่าบาทอย่างเดียว ไม่พูดไม่จา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาปอกหัวเผือกต่อ