บทที่ 450 เทพเซียนโกรธา ดวงจิตอัปมงคล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 450 เทพเซียนโกรธา ดวงจิตอัปมงคล

ระบบวิวัฒนาการของหานเจวี๋ยเทียบได้กับมุมมองพระเจ้าที่ส่องดูเส้นเรื่องของคนอื่นได้ เทพมารอนธการทำลายล้างเหล่าอริยะ ฟังดูเหมือนหานเจวี๋ยจะอันตรายอย่างยิ่ง หากแต่ความจริงกลับไม่ใช่เลย

ภายใต้มรรคาสวรรค์ ตัวตนของหานเจวี๋ยต่ำต้อยอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่สู้ปุถุชนทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

ราวกับเขากำลังดูหนังอยู่ สามารถข้ามไปดูตอบจบล่วงหน้าได้

สิ่งนี้ยิ่งทำให้หานเจวี๋ยมีความมั่นใจมากขึ้น

ขอเพียงหานเจวี๋ยไม่เปิดเผยฐานะเทพมารอนธการของตน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ถึงอย่างไรเหล่าอริยะก็ไม่รู้ว่าเทพมารอนธการเป็นเช่นใด

หานเจวี๋ยไม่คิดต่ออีก ฝึกบำเพ็ญต่อไป และอดทนรอคอยให้มหาเคราะห์สิ้นสุดลง

ฉิวซีไหลรับปากแล้วว่าจะปกป้องคนรอบตัวของเขา หากทำไม่ได้ หานเจวี๋ยย่อมไม่มีทางยอมไปข้องเกี่ยวกับสำนักพุทธ

ส่วนสหายเหล่านั้นจะสิ้นชีพในมหาเคราะห์หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเอง หานเจวี๋ยเคยเตือนพวกเขาไว้แต่แรกแล้ว แต่เป็นพวกเขาที่อยากต่อสู้แย่งชิงเอง

หานเจวี๋ยสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่ก็ไม่มีอาจยอมสละทุกสิ่งเพื่อพวกเขาเช่นกัน

‘ฉิวซีไหลบอกว่าจะมีอริยะดับสูญ เป็นฝูซีเทียนจริงๆ น่ะหรือ’

หานเจวี๋ยตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง

ต้าหลัวดับสูญ พิรุณทองโปรยปราย ถ้าหากอริยะดับสูญ จะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกัน

เขาจะต้องกำหนดเป้าหมาย บรรลุระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ให้ได้ก่อนที่มหาเคราะห์จะสิ้นสุดลง

หลังจากบรรลุระดับครึ่งอริยะแล้ว ค่อยกลับสู่แดนเซียน!

….

เรื่องที่สำนักพุทธล่มสลายก่อให้เกิดความโกลาหลอย่างใหญ่หลวงต่อปวงสวรรค์หมื่นโลกา เริ่มจากบรรพชนพุทธของแดนเซียนประกาศยุบสำนักพุทธ จากนั้นเครือข่ายสาขาของสำนักพุทธในปวงสวรรค์หมื่นโลกาก็ค่อยๆ หายไปอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ที่เคยแผ่ขยายครอบคลุมสรวงสวรรค์มรรคาฟ้าหายไปแล้ว ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกใจหาย

ชั่วขณะนั้น กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ล้วนตื่นตระหนกและหวาดผวา รวมถึงเผ่ามนุษย์และวังสวรรค์

ณ พระราชวังเทียมเมฆา

ฟางเหลียงกำลังหารือเรื่องสงครามกับเหล่าเทพเซียน ฉับพลันทหารสวรรค์นายหนึ่งก็ถลันเข้ามา

“รายงาน…อริยะหนี่ว์วาลงไปเยือนโลก กำลังแสดงธรรมแก่เผ่ามนุษย์อยู่พ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของเหล่าเทพเซียนพลันเปลี่ยนไป ฟางเหลียงเองก็ขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน

ฝูซีเทียนคนเดียวก็เพียงพอจะทำให้เหล่าเทพเซียนรู้สึกสิ้นหวังได้แล้ว ตอนนี้ยังมีอริยะเพิ่มเข้ามาอีกท่าน จะมีเทพเซียนต้องสิ้นชีพอีกมากมายเพียงใดกัน

พวกเขาต่างก็มองออกแล้ว ถึงแม้วังสวรรค์จะมีอริยะค้ำจุนอยู่เช่นกัน แต่ก็กลับอริยะไม่ได้ให้ความช่วยเหลือกับพวกเขาเลย มีแต่จะเข่นฆ่าเผ่ามนุษย์ไปเรื่อยๆ เท่านั้น

จำนวนประชากรของเผ่ามนุษย์และวังสวรรค์ลดน้อยลงเรื่อยๆ หากปล่อยไว้นานเข้า ทั้งสองฝ่ายล้วนต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก พ่ายแพ้กันทั้งคู่

ฟางเหลียงเอ่ยปากถาม “ระยะนี้มีเผ่าพันธุ์ใหม่ๆ ผงาดขึ้นมาในแดนเซียนบ้างหรือไม่”

เซียนเฒ่าคนหนึ่งเอ่ยตอบ “มีพ่ะย่ะค่ะ มีมากมายหลายเผ่าพันธุ์ แต่ล้วนไม่เป็นภัยคุกคามเลย”

เหล่าเทพเซียนมองหน้ากัน

พวกเขาต่างมิใช่คนโง่ ทราบดีว่าเหตุใดฟางเหลียงจึงให้ความสนใจกับข่าวคราวในด้านนี้

การกระทำของอริยะทำให้เผ่ามนุษย์และเทพเซียนต่างรู้สึกหนาวสะท้าน ต่างฝ่ายต่างก็คาดเดาเจตนาของเหล่าอริยะได้ นั่นคือต้องการจะให้ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันสังหารกันเอง จากนั้นก็ค่อยคัดสรรตัวเอกมรรคาสวรรค์รายใหม่!

ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าต่อต้าน ด้วยเกรงว่าอริยะจะพิโรธ

ยิ่งไปกว่านั้นคือกลุ่มอิทธิพลทั้งสองฝ่าย รบราฆ่าฟันกันมานานหลายปี ก่อหนี้เลือดบัญชีแค้นมากมาย ฝังลึกเข้าไปถึงในกระดูก ไม่อาจลี่คลายได้ ทหารสวรรค์และผู้บำเพ็ญระดับล่างล้วนไม่ทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของอริยะ เพียงคิดว่าเบื้องบนยอมประนีประนอมแล้ว

นี่ก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ในตอนนี้!

พวกเขาไม่อาจถอนตัวกลางคันได้

หลี่เต้าคงเอ่ยถาม “จะไปช่วยซูฉีเมื่อไร”

แม่ทัพเทพยุทธ์ที่อยู่ไม่ไกลนักส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “เขาถูกอริยะคุมตัวไว้ ช่วยเหลือได้ยาก”

หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยถากถาง “เช่นนั้นหากเจ้าถูกอริยะควบคุมตัว พวกเราต้องช่วยเจ้าหรือไม่เล่า”

แม่ทัพเทพยุทธ์ฟังแล้วรู้สึกขุ่นเคืองใจ ทว่าก็ไม่กล่าวตอบโต้

เวลานี้เอง ทหารสวรรค์อีกนายก็วิ่งเข้ามารายงาน

“รายงาน…เผ่ามนุษย์ปรากฏจักรพรรดิมนุษย์คนใหม่แล้ว คือโจวฝานที่เคยวิวาทกับเทพแห่งความโชคร้ายก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ!”

บรรดาเทพเซียนส่งเสียงฮือฮา

“โจวฝานตายไปแล้วมิใช่หรือ”

“เขารอดพ้นจากเงื้อมมือของอริยะมาได้หรือ”

“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกรงว่าเขาคงจะเป็นคนแรก เขาเพิ่งมีตบะระดับจักรพรรดิเซียนมิใช่หรือ”

“ใช่จักรพรรดิเซียนเสียที่ไหนกัน เขาเข้าสู่ระดับเทพแล้ว!”

“หรือว่าอริยะจะเมตตาไว้ไมตรี”

“เช่นนั้นพวกเรานับจะเป็นตัวอันใดกันเล่า อริยะเล่นละครใส่พวกเรา ใช้พวกเราเป็นหินลับคมให้เผ่ามนุษย์เช่นนั้นหรือ”

เมื่อได้รู้ว่าโจวฝานยังมีชีวิตอยู่ เหล่าเทพเซียนต่างรู้สึกโกรธเกรี้ยว รู้สึกว่าถูกอริยะหยอกเล่นแล้ว

นอกจากเหล่าอริยะด้วยกันเองแล้ว ยังจะมีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของอริยะไปได้อีกเล่า

สีหน้าของฟางเหลียงซับซ้อนยิ่งนัก สภาพอารมณ์ก็เช่นเดียวกัน

แม้เขาจะมุ่งหวังให้โจวฝานรอดชีวิต แต่ก็รู้สึสกขุ่นเคืองกับการทำตามอำเภอใจของอริยะอยู่ดี

‘หรือว่าผู้ที่ถูกกำหนดให้พินาศย่อยยับจะมิใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเทพเซียน’

ฟางเหลียงยิ้มขื่น

สงครามที่ยาวนานต่อเนื่องกันมาหลายร้อยปีทำให้เขาใกล้จะรับไม่ไหวแล้ว เขาไม่มีเวลาพักผ่อนมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญตบะเลย

….

ระหว่างที่หานเจวี๋ยบำเพ็ญอยู่เวลาก็ผ่านไปอีกสี่สิบปีแล้ว

วันนี้ เขาทำการสาปแช่งอริยะมิ่งจีพลางตรวจดูจดหมายไปด้วย

[หานมิ่งสหายของท่านพบซากแดนศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ได้รับยอดสมบัติ ดวงชะตาเพิ่มพูน]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากยอดฝีมือระดับเทพของเผ่ามนุษย์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทะลวงระดับในสภาวะวิกฤต พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์] x4309

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์] x122382

[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านเนื่องจากแบกรับแรงกรรมมหาศาล ฝ่าทะลวงระดับ พลังแห่งความโชคร้ายเพิ่มพูน]

[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน]

[เจียงตู๋กูสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากอริยะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

….

เมื่อไล่อ่านลงไป หานเจวี๋ยก็นึกออกมาได้สองคำ

อนาถนัก!

ทั้งหมดล้วนต่อสู้กันอยู่ทั้งสิ้น!

ทุกคนราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว สู้รบอตลอดเวลส ถึงขึ้นที่ว่าไม่ตายไม่เลิกรา

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าฉิวซีไหลเผชิญหน้ากับคำสาปแช่งลึกลับ

นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี แบบนี้แสดงให้เห็นว่านอกจากเขาแล้ว ยังมีคนอื่นที่คิดสาปแช่งอริยะอยู่อีก

กล่าวอีกอย่างคือ ในหมู่อริยะมีบางคนกำลังก่อเรื่องอยู่

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เวลานี้ จู่ๆ เกาะสำนักซ่อนก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา

เผชิญกับการโจมตีจากวิญญาณมานับร้อยครั้งแล้ว นี่มิใช่ครั้งแรก ทุกคนจึงยังสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยก็รับรู้ถึงบางอย่างได้ เขาเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย จากนั้นก็ปล่อยดวงจิตประหลาดออกมาจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร

ดวงจิตประหลาดลอยมาอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย มันหมุนวนไม่ยอมหยุด ราวกับรู้สึกร้อนรนยิ่งนัก

หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานการณ์ในครั้งก่อนที่มีดวงจิตประหลาดชั้นรองปรากฏตัวขึ้น

หรือว่าจะมีดวงจิตประหลาดชั้นรองปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว

หานเจวี๋ยตรวจสอบหาศัตรูผู้แข็งแกร่งในบริเวณรอบๆ

เป็นอย่างที่คิด!

[ดวงจิตอัปมงคล: ไม่ทราบตบะ ตัวตนลึกลับ ถือกำเนิดในแดนต้องห้ามอันธการ ก่อตัวขึ้นจากความอาฆาตพยาบาทนับไม่ถ้วนที่สั่งสมมาตามกาลเวลา เต็มไปด้วยความเกลียดชังและจิตสังหาร]

ดวงจิตอัปมงคล ไม่ใช่ดวงจิตประหลาด!

ดวงจิตประหลาดก่อตัวขึ้นจากปราณเทพมารฟ้าบุพกาล ดวงจิตอัปมงคลก่อตัวขึ้นจากความอาฆาตพยาบาท

หานเจวี๋ยมิได้ตื่นตระหนกเลย ขณะนี้ดวงจิตอัปมงคลไม่มีทางฝ่าค่ายกลป้องกันของอาณาเขตเต๋าเข้ามาได้

‘ถ้าจะรับดวงจิตอัปมงคลไว้ต้องเสียค่าตอบแทนอันใดหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ดวงจิตอัปมงคลเป็นสิ่งชั่วร้ายอย่างยิ่ง ไม่อาจกำราบให้เชื่องได้ หากเก็บไว้กับตัว จิตมารจะถือกำเนิดขึ้นอย่างง่ายดาย]

ยุ่งยากขนาดนี้เชียวหรือ

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น

เขาเพียรบำเพ็ญเซียนโยกไหวอย่างรุนแรง เสียงตะโกนด้วยความตกใจของไก่คุกรัตติกาลแว่วมาจากนอกถ้ำ “นั่นมันตัวอะไร!”

ดวงจิตอัปมงคลบุกเข้ามาแล้ว!

หานเจวี๋ยส่งกระแสจิตออกไปทันที เห็นเพียงว่าบนอากาศเหนือมหาสมุทรริมฝั่งของเกาะสำนักซ่อนเร้น หลี่ว์ปู้กำลังต่อสู้กับเงาดำสายหนึ่ง

ความเร็วของทั้งสองฝ่ายรวดเร็วยิ่ง แต่ในมุมมองของหานเจวี๋ยนั้นเห็นว่าเงาดำเร็วกว่า พลังเวทของหลี่ว์ปู้ที่โจมตีใส่เงาดำถูกดูดกลืนเข้าไปในทันที

………………………………………………………………