จิ่งหมิงฮ่องเต้ประสงค์จะเรียกอวี้จิ่นเข้าวังอีกครั้งเพื่อเอ่ยถามถึงความสามารถจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้ แต่เมื่อนึกไปว่า หากเรียกเขาเข้าวังบ่อยๆ เช่นนี้อาจทำให้คนอื่นสงสัยได้ จึงได้ละทิ้งความคิดไป
ด้านของอวี้จิ่นเองเมื่อเดินทางออกจากพระราชวังไปถึงจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว ก็ได้ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
หากจะกล่าวว่าเขาจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้ก็คงจะเกินความเป็นจริงไป แต่ความจำของเขานั้นไม่เลวเลย
บันทึกเล่มนั้นที่ได้อ่านในพระราชวัง ในความคิดของพานไห่เข้าใจว่าเขาอ่านทุกหน้าตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ แท้จริงแล้วเขามุ่งความสนใจไปยังกลุ่มคนที่เข้ามาในพระราชวังเมื่อสิบห้าปีก่อนเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้สิ่งที่เขาต้องจดจำก็น้อยลงมาก
เขารีบพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือแล้วคว้ากระดาษกับหมึกมาฝน ก่อนเขียนรายชื่อและเรื่องต่างๆ ของคนเหล่านั้นที่จำได้ลงไปบนกระดาษทันที
ภายในเรือนอวี้เหอย่วน เจียงซื่อเดินเล่นอย่างช้าๆ
อากาศหนาวเหน็บเหลือเกิน หิมะตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า กิ่งไม้ตรงกำแพงถูกหิมะเกาะอยู่เป็นเวลานานโดยไม่ละลาย
และถนนหนทางที่เจียงซื่อเดินไปนั้นถูกปูด้วยเสื่อซึ่งปลอดภัยไม่ลื่น
เมื่อพบว่าใกล้ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันแล้ว เจียงซื่อก็กำชับกับอาหมานว่า “ไปถามดูว่าท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือยัง”
อาหมานรีบออกไปด้วยความว่องไว ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับรายงานว่า “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อกลับมาถึงจวนก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือยังไม่ออกมาเลยเจ้าค่ะ”
เรื่องที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกอวี้จิ่นเข้าไปในพระราชวังนั้นเจียงซื่อก็รู้ เมื่อนางได้ยินอาหมานกล่าวเช่นนี้จึงได้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ
อาหมานรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็วแล้วพยุงเจียงซื่อไว้ไม่ให้นางลื่นล้ม
ในท้องของเจ้านายมีเจ้านายน้อยอยู่ หากนางล้มลงคงจะแย่
ถุยๆ เจ้านายคงไม่ลื่นล้มแน่ ต่อให้ลื่นล้มก็คงจะล้มลงบนตัวของนาง
ที่ปากประตูห้องหนังสือนั้นยังคงเป็นบ่าวรับใช้คนเดิม เมื่อเขาเห็นอาหมานพยุงเจียงซื่อเดินตรงเข้ามาก็รีบเข้าไปทักทายคำนับเจียงซื่อ
“ท่านอ๋องยังอยู่ข้างในหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้เปิดประตูให้เจียงซื่อด้วยท่าทางขยันขันแข็ง
เขาคือผู้ที่รู้เหตุการณ์ต่างๆ ดี ครึ่งปีมานี้ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาเช่นไรล้วนเห็นอยู่ในสายตา ในเวลานี้ ความจงรักภักดีต่อหน้าที่อะไรนั่นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ หากเขารั้งพระชายาเอาไว้ไม่ให้เข้าไป คาดว่าคงจะถูกดุด่าก็เท่านั้น
อาหมานเหลือบตามองดูบ่าวรับใช้ผู้นี้แล้วนึกอยู่ในใจว่า บ่าวผู้นี้เติบโตขึ้นไม่น้อย
เจียงซื่อส่งสัญญาณให้อาหมานรออยู่ด้านนอก ส่วนตนก้าวขาเข้าไปด้านใน เมื่อประตูห้องถูกปิดลง อาหมานและบ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ยืนอยู่ตรงประตูด้านซ้ายขวาแล้วหันมามองหน้ากันและกัน
“แหะๆ พี่อาหมาน” บ่าวรับใช้รู้จักความยืดหยุ่นดี เขารีบกล่าวทักทายก่อนเป็นอันดับแรก
เดิมทีอาหมานตั้งใจจะเหล่ตามอง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของพระชายา ควรจะมีท่าทีใจกว้างมากกว่านี้ ดังนั้นนางจึงได้ตอบรับว่า “อืม” เบาๆ แล้วกล่าวถามขึ้นอย่างเฉียบขาดว่า “เจ้าชื่ออะไร”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะเช็ดเหงื่อของตน
นางเรียกเขาว่าเจ้าทาสมากกว่าครึ่งปี ในที่สุดก็ได้เอ่ยถามชื่อเขาออกมาสักที ช่างซาบซึ้งจนโลกแทบแตกสลาย
“ข้าชื่อว่าหยวนเป่า”
“หยวนเป่าหรือ…” อาหมานลากเสียงยาว
บ่าวผู้นั้นเตรียมพร้อมกับการถูกนางหัวเราะเยาะเอาไว้แล้ว
เนื่องจากชื่อของเขานี้ แม่นางบางคนมักรู้สึกว่ามันค่อนข้างล้าหลังและเชย
อาหมานยิ้มแล้วกล่าวว่า “หยวนเป่า เป็นชื่อที่ดีจริง”
“จริงหรือ” หยวนเป่าชะงัก
อาหมานมองไปทางหยวนเป่าด้วยแววตาประหลาดใจ “จริงสิ หยวนเป่าเป็นชื่อที่ดียิ่งนัก ทั้งเป็นสิริมงคลและน่าฟัง เรียกได้คล่องปากดีเหลือเกิน”
นางชื่นชอบชื่อที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชายบางคนชื่อว่ามั่วอวี่ ชิงเฟิงอะไรทำนองนั้น พวกเขาจะทะยานขึ้นสู่สวรรค์หรือไร!
อาหมานเอ่ยชมหยวนเป่าจากใจจริง ทำให้หยวนเป่ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขารู้สึกมองแม่นางผู้นี้ที่มีกรงเล็บและฟันที่แหลมคมว่าดูเข้าตาน่าดึงดูดทีเดียว
ที่จริงแล้ว พี่อาหมานก็งดงามไม่น้อย…
ในห้องหนังสือ เจียงซื่อพบว่าอวี้จิ่นนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือแล้วขมวดคิ้วทำท่าครุ่นคิด นางจึงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
“อาจิ่น”
เมื่อได้ยินนางเรียกชื่อเขา อวี้จิ่นก็เงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มออกมาทันที
“ถนนด้านนอกนั้นลื่นนัก เจ้าเดินทางมาที่นี่ทำไม”
“เจ้าให้คนปูเสื่อไว้ตามทางเดินแล้วไม่ใช่หรือ ถนนไม่ลื่นสักนิด” เจียงซื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วมองดูกระดาษที่อยู่ตรงหน้าของอวี้จิ่น
บนกระดาษนั้นเป็นชื่อของผู้คนมากมาย
“นี่คือ…”
อวี้จิ่นดึงนางเข้ามานั่งข้างกายแล้วอธิบายว่า “รายชื่อผู้ที่เดินทางเข้าไปในพระราชวังเมื่อสิบห้าปีก่อนอีกทั้งยังอยู่ในพระราชวังจนบัดนี้”
เจียงซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เสด็จพ่อให้เจ้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องการสืบสวนในพระราชวังหรือ”
เมื่อเกิดเรื่องขององค์หญิงฝูชิงขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้และฮองเฮาจะปล่อยเรื่องนี้ให้ตายไปเช่นเดียวกับเฉินเหม่ยเหริน แน่นอนว่าจะต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติม
นี่คือสิ่งที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้แล้วก่อนหน้า
“ใช่แล้ว ในวันนี้เสด็จพ่อเรียกข้าเข้าไปในพระราชวังก็เพื่อสิ่งนี้” แม้ว่าบัดนี้ยังไม่มีเบาะแสอะไรมากนัก แต่อวี้จิ่นก็รู้สึกอารมณ์ดีไม่น้อย
เมื่อเทียบกับพานไห่แล้ว พวกเขามีข้อได้เปรียบอย่างแน่นอน นั่นก็คือพวกเขารู้อยู่ถึงการมีตัวตนของยายหลานเผ่าอูเหมียว
การอนุมานจากผลลัพธ์ แน่นอนว่าสบายและง่ายกว่ามากทีเดียว
“เป็นเช่นนี้ก็ดี” นางกำลังปวดหัวเนื่องจากหาตัวผู้ที่นำหนอนกู่ไปใส่องค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่เจอพอดี
เจียงซื่อมองไปยังรายชื่อที่อยู่บนกระดาษเหล่านั้น “มีผู้ใดน่าสงสัยหรือไม่”
อวี้จิ่นใช้นิ้วชี้ไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าดูสิ ผู้คนเหล่านี้พานไห่ได้บันทึกประเด็นสำคัญของพวกเขาไว้ตั้งแต่เข้าวังมาจนปัจจุบัน ระยะเวลาสิบห้าปีไม่ใช่สั้นๆ พวกเขาที่อยู่มาจนถึงบัดนี้ โดยมากก็ล้วนเปลี่ยนสถานที่ไปหลายแห่ง มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่เคยโยกย้ายไปที่ใดเลย”
อวี้จิ่นชี้ไปที่พวกเขาเหล่านั้น ท้ายที่สุดแล้วนิ้วมือของเขาก็ชี้ไปที่ชื่อของคนสี่คน “หากว่ารายชื่อของคนผู้นั้นปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกนี้ ข้ารู้สึกว่าสี่คนนี้น่าสงสัยที่สุด”
เจียงซื่อมองไปยังชื่อทั้งสี่นั้น สายตาของนางมองไปยังหมายเหตุที่กำกับเอาไว้ด้านหลัง
ทั้งสี่คนนั้นเป็นชายสองหญิงสอง สถานที่รับใช้ก็คือตำหนักฉือหนิง
“เหตุใดจึงรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสี่คนน่าสงสัยที่สุด”
“เนื่องจากข้อมูลของพวกเขามีน้อยเกินไป” อวี้จิ่นอธิบายต่อไปว่า “อาซื่อเจ้าดูนี่ สี่คนนี้เข้ามาในว่างตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน มีอยู่สองคนถูกส่งไปรับใช้ที่ตำหนักฉือหนิงโดยตรง และอีกสองคนก็ได้ทยอยติดตามไปที่ตำหนักฉือหนิง นับจากนั้นเป็นต้นมาเป็นเวลาสิบกว่าปี มีบันทึกเพียงว่าพวกเขาไปทำธุระที่ใดบ้าง นอกจากนั้นก็ไม่มีเรื่องอื่นเลย”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย
“เหตุการณ์เช่นนี้ ข้าคิดดูแล้วคาดว่าเป็นเพราะสี่คนนี้อยู่ไหนตำหนักของไทเฮา ดังนั้นพานไห่จึงไม่ได้สนใจไปตรวจสอบรายละเอียด หากว่าคนคนนั้นอยู่ในกลุ่มนี้ ข้ารู้สึกว่าสี่คนนี้มีความเป็นไปได้”
“ตำหนักฉือหนิง…” เจียงซื่อพึมพำออกมาแล้วพยายามนึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว
น่าเสียดายเหลือเกิน เมื่อชาติที่แล้วนางเดินทางมายังเมืองหลวงได้เป็นระยะเวลาอันสั้นก็ตายเสียก่อน จู่ๆ ให้นางหวนนึกถึงความทรงจำเดิมจึงทำให้นึกอะไรไม่ออก
เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วเข้าหากัน อวี้จิ่นก็ยกมือขึ้นไปสัมผัสที่คิ้วของนางยิ้มแล้วกล่าวว่า “บัดนี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวลใจไปมากนัก ข้าค่อยๆ สืบสวนไปก็ได้ คนคนนั้นซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังมาเนิ่นนาน เราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก”
“ข้ารู้ว่าไม่มีประโยชน์หากรีบร้อน แต่การอยู่เฉยๆ ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน” จู่ๆ เจียงซื่อก็หยุดพูด ท่าทางของนางดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อวี้จิ่นรู้สึกประมาทขึ้นมาทันที “เป็นอะไรหรือ”
เจียงซื่อชี้ไปที่ท้องของตนแล้วกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “เมื่อครู่ดูเหมือนข้าจะสัมผัสได้ว่าลูกดิ้น”
“จริงหรือ” อวี้จิ่นเอื้อมมือไปแตะหน้าท้องอันอ่อนนุ่ม จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
อวี้จิ่นเบิกตากว้าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นประหลาดใจ “อาซื่อ ลูก ลูกดิ้น!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการที่เด็กน้อยกำลังจะเกิดมา ทั้งสองคนล้วนเป็นพ่อแม่มือใหม่ การสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ เป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกแปลกใหม่และตื่นเต้น
……
ในพระราชวัง จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังประสบกับปัญหาใหญ่
ไทเฮาจะเสด็จไปถวายธูปเทียนเครื่องหอมที่วัดต้าฝู
สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่พบเข้ากับคดีฆาตกรรมเมื่อครั้นเดินทางออกไปนอกพระราชวังแล้ว การที่ไทเฮาจะเสด็จออกจากพระราชวังเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน
แม้เขาจะพบเข้ากับการลอบปลงพระชนม์ก็ไม่เท่าไร แต่ไทเฮาอายุมากแล้ว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะทำเช่นไร
ผลที่ตามมานั้นไม่อาจจินตนาการได้
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว สู้รอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึง สภาพอากาศอบอุ่นแล้วค่อยเดินทางไปเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้ใช้กลอุบายในการผัดวันประกันพรุ่งมาใช้