บทที่ 467 ไปเทศนาต่างโลก

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 467 ไปเทศนาต่างโลก

บทที่ 467 ไปเทศนาต่างโลก

อุกกาบาตตกลงจากนภา ชั้นเปลวเพลิงโชติช่วงที่ปกคลุมรอบนอกค่อย ๆ หายไป เผยให้เห็นเรือแห่งความว่างเปล่าขนาดเล็กสภาพสมบูรณ์

ความเร็วของมันค่อย ๆ ลดลง …ครั้งนี้มันไม่กระแทกพื้นที่อยู่อาศัยของภูตพฤกษา

เมื่อเห็นดังนี้ มังกรสองตนถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าประตูเปิดออก มนุษย์นอกโลกผมขาวก็เดินออกมาจากประตู

มังกรแดงซาข่าสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว จากนั้นมันเขินอายเล็กน้อยกับการตอบสนองของความกลัวในใจ จึงทำเป็นพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา และกางปีกบินออกไป ในขณะที่มังกรศักดิ์สิทธิ์หลัวซามองมนุษย์ต่างโลกที่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาดใจ ก่อนกางปีกแล้วจากไปตามซาข่า

ไป๋ชิวหรานย่อมสังเกตเห็นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์สองตนแต่เมินพวกมัน หลังจากลงมาถึงพื้น ไป๋ชิวหรานก็กวาดตาหาภูตพฤกษานามโส่วเฟทันที

“รอบนี้ข้าจอดเรือลงมาได้ดีทีเดียว!”

ไป๋ชิวหรานกล่าวกับนางอย่างติดตลก

“ข้ากลับไปฝึกขับมาใหม่แล้วล่ะ”

“ขอบคุณสวรรค์”

โส่วเฟถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกล่าวว่า

“คิดว่าจะชนบ้านข้าอีกรอบเสียอีก”

“ตอนนี้มหาปราชญ์อยู่ที่ไหน?”

ไป๋ชิวหรานถามนาง

“ยังอยู่ในเมืองหลวงที่ชั้นบนสุดหรือไม่? ครั้งนี้ข้ามีธุระกับนาง”

“มหาปราชญ์ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง… จะว่าไปทำไมถึงมาจอดที่ชั้นของพวกข้าล่ะ ไปจอดในเมืองหลวงโดยตรงเลยไม่ดีกว่าหรือ?”

โส่วเฟมองไป๋ชิวหรานด้วยความไม่พอใจ

ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่สำหรับภูตและมังกรผู้มีอายุขัยแทบไม่มีสิ้นสุด เวลาสิบกว่าปีก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน ตอนที่โส่วเฟติดต่อกับไป๋ชิวหราน นางไม่ได้รู้สึกนึกฉงนใจในตัวอีกฝ่ายแต่อย่างใดเช่นกัน

“เรื่องนั้นเป็นเพราะที่นั่นมีสิ่งปลูกสร้างมากเกินไป ข้าเกรงว่าจะไปพังอะไรเข้าน่ะ”

ไป๋ชิวหรานเขินอายเล็กน้อย

“ข้าเป็นมือใหม่หัดขับ ช่วยอดทนกับข้าหน่อยแล้วกัน”

“อย่างนี้นี่เอง ก็จริง… ข้าเองก็เผลอทำลูกศรตกใส่คนมาเยอะเหมือนกันสมัยที่หัดยิงธนูใหม่ ๆ… แค่ก ๆ ไม่ใช่สิ”

โส่วเฟกลบเกลื่อนก่อนรีบกล่าวต่อไป

“ถ้าเจ้ากำลังตามหามหาปราชญ์ ตอนนี้นางน่าจะอยู่ในป้อมปราการเยือกแข็งที่ชั้นสอง กำลังช่วยภูตน้ำแข็งสร้างบ้านขึ้นมาใหม่อยู่”

“อย่างนั้นหรือ? ขอบคุณมาก เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ข้ามีสิ่งสำคัญที่ต้องทำกับมหาปราชญ์”

เมื่อกล่าวลาแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ดังกล่าว ก่อนจะพบว่ามหาปราชญ์เท่อหมีซื่ออยู่บนลานน้ำแข็ง

มหาปราชญ์ผู้นี้มีลักษณะเหมือนดังเดิม ยังคงสวมกระโปรงยาวสีขาวเป็นหลัก ดูสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้นางกำลังสนทนาบางสิ่งกับกลุ่มภูตน้ำแข็งและมังกรน้ำแข็ง เพื่อคิดหาทางว่าควรจะวางแผนอย่างไร

ไป๋ชิวหรานเข้าใกล้นางอย่างเงียบงัน รอมหาปราชญ์สนทนาเรื่องของพวกเขาจนจบ ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่าย

“ไม่ได้เจอกันนานนะ มหาปราชญ์เท่อหมีซื่อ”

ไป๋ชิวหรานยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหิมะ พลางเอามือไพล่หลัง

“สะดวกคุยหรือไม่?”

“ท่าน…”

เมื่อเห็นไป๋ชิวหราน เท่อหมีซื่อแข็งทื่ออยู่กับที่ เดิมทีนางคิดว่าหลังจากได้รับเบาะแสของเทพเจ้าแห่งยันต์สูงสุดแล้ว พวกไป๋ชิวหรานจะไม่มีวันปรากฏตัวในโลกใบนี้อีก

“ทุกท่าน…”

มหาปราชญ์มองไปที่ด้านหลัง มังกรน้ำแข็งและภูตน้ำแข็งเหล่านั้นเข้าใจทันที

“มหาปราชญ์… พวกข้าไม่รบกวนแล้ว”

พวกเขาต่างถอยออกไป

“พวกข้าจะรอท่านอยู่ในป้อมปราการ”

“ขอบคุณ”

หลังจากลูกน้องเหล่านี้จากไปแล้ว เท่อหมีซื่อและไป๋ชิวหรานก็มาถึงลานน้ำแข็งพร้อมกัน ขณะเดินบนลานน้ำแข็ง พวกเขาก็สนทนาไปพลาง

“พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นนะ”

ไป๋ชิวหรานยิ้มให้นางพลางกล่าวถาม

“เป็นอย่างไรบ้าง …ความเชื่อของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเป็นประโยชน์หรือไม่?”

“แน่นอน! เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน”

เท่อหมีซื่อพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ

“สิ่งที่เจ้าบอกกับข้าเป็นประโยชน์มาก หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าพยายามคิดค้นยันต์ใหม่ด้วยแนวคิดของระบบยันต์เดิม ทำให้ค้นพบหนึ่งถึงสองใบ”

“ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ดี ที่สำคัญเจ้าได้ทำลายความลุ่มหลงและอุปสรรคในหัวใจลงได้ ข้ายินดีด้วย!”

ไป๋ชิวหรานปรบมือ

“ถ้างั้น…”

เท่อหมีซื่อหยุด และหันหลังกลับมา

“ข้าขอถามได้หรือไม่… เจ้ามาที่โลกของพวกข้าในครั้งนี้ มีจุดประสงค์อันใด?”

“อย่างแรกเลย ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าสร้างวัฏจักรแห่งการกลับชาติมาเกิด”

ไป๋ชิวหรานชูสองนิ้ว จากนั้นงอลงไปหนึ่งนิ้ว

“หลังจากชีวิตของเจ้าที่นี่จบสิ้นลง วิญญาณย่อมล่องลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และปฐพีก่อนดับสูญไปตามธรรมชาติ และต้องออกนอกโลกวัตถุนี้ กลายเป็นอาหารสำหรับอาจารย์อสูร แต่หลังจากสร้างวัฏจักรการเกิดและการตายแล้ว มันอาจจะช่วยให้เจ้าพ้นจากความทุกข์ยากนี้ และช่วยทำให้ชีวิตที่ตายลงที่นี่กลับชาติมาเกิดใหม่แทน”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว!”

เท่อหมีซื่อกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้มจาง

“ถ้าเจ้าอยากสร้างบางสิ่งที่ลึกลับซับซ้อน ข้าผู้ไม่มีความรู้นั้นย่อมไร้ความหมาย ต่อให้ข้าไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเจ้าอยากสร้าง ข้าก็ห้ามไม่ได้ หลังจากตายไป พวกข้าก็ไม่สามารถควบคุมวัฏจักรที่เจ้ากำลังพูดถึงได้… แต่ว่า การที่เจ้ามาบอกข้าก่อนจะลงมือสร้าง นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังให้ความเคารพพวกข้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าขอขอบคุณจากใจจริง”

“อืม! ต่อไปก็เรื่องที่สอง ก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีข่าวดีจะบอกให้เจ้าทราบ!”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมา

“ก่อนหน้านี้ เผ่าพันธุ์… ของพวกเราในความว่างเปล่านอกโลกแห่งนี้ ได้ทำสงครามกับพวกหกอสูรแห่งความปรารถนา หรือที่พวกเจ้าเรียกว่าปีศาจกลืนกินวิญญาณ จนเราได้รับชัยชนะครั้งใหญ่มา! หลังจากนั้น ปีศาจเหล่านั้นน่าจะไม่สามารถมีอิทธิพลอะไรได้อีก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย!!”

เท่อหมีซื่อยิ้มอย่างมีความสุข

ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ

“เพราะพวกข้าเอาเบาะแสของเทพเจ้าแห่งยันต์สูงสุดไป จึงได้เบาะแสตามหาที่อยู่ของเทพเจ้าแห่งยันต์สูงสุดจนพบแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นกับเทพเจ้าแห่งยันต์สูงสุดงั้นหรือ?”

เท่อหมีซื่อเอ่ยถามด้วยความกังวล

“ไม่มีอะไรหรอก… แค่ตายแล้วเกิดใหม่! วิญญาณของเขาถูกข้าดึงกลับมาได้สำเร็จ ก่อนส่งกลับไปเกิดใหม่ ตอนนี้เขากำลังเริ่มต้นชีวิตที่สองอยู่”

ไป๋ชิวหรานตอบ

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเขา ในตอนนี้เขามีชีวิตสุขสบายดี มีอาหารให้กินเพียงพอในแต่ละวัน สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือ ถึงแม้เทพเจ้าแห่งยันต์สูงสุดจะถูกตามล่าโดยปีศาจมาก่อน จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้ไม่สามารถกลับมาที่โลกของเจ้าเพื่อชี้แนะต่อได้ แต่ระบบยันต์ที่เขาสร้างขึ้นมาอยู่ในขั้นที่สมบูรณ์แบบยิ่ง ตอนนี้มันถูกจัดระเบียบและอยู่ในระดับที่สูงมาก ข้าเคยเรียนรู้ยันต์พวกนี้มาก่อน ครั้งนี้ข้าพร้อมที่จะสอนมันให้เจ้าแล้ว”

“ขอบคุณสำหรับความเมตตา”

เท่อหมีซื่อก้มหัวให้

“ความเมตตาของท่าน พวกข้าจะไม่มีวันลืม”

“ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเจ้าจะลืมหรือไม่ …เพราะข้าไม่ได้ต้องการความเมตตาจากเจ้ากลับคืนมาเหมือนกัน”

ไป๋ชิวหรานโบกมือขณะกล่าวต่อ

“แต่ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า หากเจ้ามีโอกาสไปต่างโลกเพื่อเทศนาสิ่งมีชีวิตในโลกวัตถุอื่น เจ้าเต็มใจจะไปเพื่อเผยแผ่ความเชื่อเรื่องเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน และเทพเจ้าแห่งยันต์สูงสุดหรือไม่?”