นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 345 ไม่รู้จัก

สุดท้ายนางก็วิ่งไปที่คอกม้าและเช่ารถม้าหนึ่งคัน หลังจากขึ้นนั่งในรถม้า แล้วสั่งให้คนขับรถม้าไปที่จวนหู้กั๋วกง

รอรถม้ามาถึงจวนหู้กั๋วกง โจวกุ้ยหลานก็เปิดม่านรถเตรียมจะลงรถ พอเห็นทหารยามสองคนที่ยืนอยู่เฝ้าหน้าประตู นางกำลังคิดว่าจะเข้าไปในจวนหู้กั๋วกงได้อย่างไร

ขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น ยามสองทั้งคนก็เดินเข้ามาหานาง

ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงล้อรถดังมาจากข้างหลัง นางหันกลับไปมอง และเห็นรถม้าสี่ถึงห้าคันหยุดจอดหลังรถม้าของนาง ม่านรถม้าถูกยกขึ้น สวีฉางหลินลงจากรถม้า กลุ่มคนที่ตามหลังเขาลงมา คือกลุ่มขุนนาง

แค่ดูเสื้อผ้าของพวกเขาก็สามารถบอกได้ว่าพวกเขาร่ำรวยและยศสูงน่าดู

โจวกุ้ยหลานเปิดม่านรถม้าและกระโดดลงจากรถม้า ทันทีที่เท้าของนางกระทบพื้น นางก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าขวา

แต่ในเวลานี้นางไม่มีเวลามาสนใจ นางเดินผ่านรถม้า และปรากฏตัวต่อหน้าสวีฉางหลินและขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น

“สวีฉางหลิน!” โจวกุ้ยหลานตะโกนเสียงดัง

พอได้ยินเสียงของนางสวีฉางหลินก็หันไปมองนาง

พอเห็นว่าเป็นนาง เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย แม้แต่คนที่เดินตามหลังมาก็หยุดเดินตาม

ยามรีบเข้ามาล้อมนางไว้ทันที เพื่อรอคำสั่งจากสวีฉางหลิน

โจวกุ้ยหลานจ้องมองไปที่สวีฉางหลินที่สวมเครื่องแบบตรงหน้านาง ดวงตาของนางเริ่มร้อนผ่าว

นางไม่ได้มองเขาอย่างละเอียดมาเป็นเวลานานกว่าสามปีแล้ว ถึงแม้นางจะรู้ว่าเขามองมาที่นางตลอด และอยู่กับนางมาตลอด แต่นางก็ไม่เคยมองเขาอย่างจริงจังสักครั้ง

นอกจากครั้งล่าสุดที่เหลือบมอง จากนั้นก็ไม่มีอีกเลย

ที่แท้ เขาก็ยังเหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว แต่ดูผิวคล้ำและซูบผอมลง

“บังอาจ!” ยามเฝ้าประตูตะโกนใส่ ดึงสตินางกลับมา

โจวกุ้ยหลานมองไปรอบๆ พบว่าตนเองถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายแล้ว

และเหล่าขุนนางเหล่านั้นก็ดูระแวดระวังตัวเช่นกัน

นางระงับอารมณ์ และถามเขาด้วยน้ำเสียงที่สงบจนแทบไม่อยากเชื่อ “เจ้าไม่คิดจะอธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือ”

อธิบายอะไร นางคิดว่าเขาคงเข้าใจดี

นางจ้องเข้าไปในดวงตาของสวีฉางหลินอย่างไม่เกรงกลัว ไม่อยากพลาดการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยในแววตาของเขา

แต่สวีฉางหลินที่นางคิดว่าเข้าใจเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ในเวลานี้นางกลับมองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย

ราวกับว่า… ราวกับว่าเขาไม่ใช่สวีฉางหลินที่นางเคยรู้จักอีกต่อไป

ในใจของนางรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย นางอยากให้สวีฉางหลินยืนยันกับนาง อย่างน้อยก็ส่งสายตาให้นางได้มั่นใจ

“นายพลสวี ท่านรู้จักแม่นางผู้นี้ด้วยหรือ” ผู้ชายหน้ากลมที่อยู่ข้างๆ มองโจวกุ้ยหลานด้วยรอยยิ้ม แล้วถามสวีฉางหลิน

ท่าทางของเขา เหมือนมีเมตตามาก

สวีฉางหลินที่สีหน้าเย็นชามองข้ามโจวกุ้ยหลานไปอย่างไม่แยแส และหันไปมองชายหน้ากลม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่รู้จัก”

หัวใจของโจวกุ้ยหลานจมดิ่งลงในเงามืด และรู้สึกหมดเรี่ยวแรง

มีเพียงคำพูดที่เย็นชาไม่แยแสของสวีฉางหลินเท่านั้นที่เข้ามาในหูของนาง ไม่รู้จัก…

ไม่รู้จัก……

ไม่รู้จัก……

หลังจากพูดแบบนี้ สวีฉางหลินก็หันหลังกลับ แล้วเดินนำเข้าไปในจวน

โจวกุ้ยหลานไม่รู้ว่าทำไม นางแค่อยากจะหัวเราะ และนางก็ทำเช่นนั้นจริงๆ ในตอนแรกมีแค่เสียงหัวเราะเบาๆ จากนั้นเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ ดังขึ้น

นางหัวเราะอยู่อย่างนั้น ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัว นางยกมือขึ้นลูบหน้า และพบว่าใบหน้าของนางยังแห้ง นางไม่ได้ร้องไห้เลย

“สวีฉางหลิน นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดเอง อย่ามาเสียใจทีหลัง” โจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงของตัวเองดังก้องอยู่ในหู และข้อเท้าของนางก็รู้สึกเจ็บมาก

ถึงแม้นางจะพูดคำที่โหดร้ายเช่นนี้ แต่ฝีเท้าของสวีฉางหลินก็ไม่มีความคิดที่จะหยุด

เขาเดินนำกลุ่มขุนนางเดินเข้าไปในจวน จากนั้นประตูสีชาดก็ปิดลงต่อหน้า ทิ้งให้นางยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางทหารยามที่ยืนล้อมรอบ

จับกำชายเสื้อของนางไว้แน่น แล้วเดินกะเผลกไปทางรถม้าทีละก้าว

ทหารยามเหล่านั้นมองหน้ากันอย่างงุนงง ในเมื่อคุณชายของพวกเขาไม่ได้สั่งการใดๆ ในตอนนี้ แม่นางผู้นี้ก็กำลังจะจากไปแล้ว พวกเขาต้องทำอย่างไร?

โจวกุ้ยหลานเดินไปที่รถม้าทีละก้าว แล้วเหยียบเก้าอี้ขึ้นนั่งบนรถม้าด้วยตัวเอง พอขึ้นรถม้าแล้ว ก่อนที่จะเข้าไปในรถม้า นางก็หันไปมองคนขับรถม้าที่หวาดกลัวจนขาอ่อนตัวสั่นอยู่บนพื้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลับกันเถอะ”

“เจ้าไปไม่ได้! เจ้าต้องเข้าไปในจวนหู้กั๋วกงกับพวกข้า แล้วสารภาพมาว่าเจ้ามาที่นี่ทำอะไร!” ยามคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าแล้วขวางรถม้าไว้

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่ามันตลกมากจริงๆ นางชี้มาที่ตัวเอง แล้วพูดเยาะเย้ย “เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ ไม่รู้จักจริงๆ หรือ ข้านั่งอยู่ในโรงน้ำชาตรงข้ามมาเกือบหนึ่งเดือน และเห็นเจ้ามาเกือบหนึ่งเดือน แต่เจ้ากลับไม่รู้จักข้าเลย”

ทหารยามคนอื่นๆ มองหน้ากัน

“ท่านนายพลสวีของพวกเจ้าไม่อยากเจอข้าหรอก อย่าสร้างปัญหาให้เขาเลย” โจวกุ้ยหลานยืนไม่ไหวอีกต่อไป นางไม่อยากพูดอีก นางเดินเข้าไปในรถม้า แล้วนั่งปิดตา พิงศีรษะไว้บนแคร่

นางเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อนเป็นอย่างมาก

คนขับรถม้าก็ยืนขึ้นมาด้วยตัวสั่นเทา และถามทหารยามเสียงสั่น “นายท่าน…ข้า…พวกข้าไปได้หรือยังขอรับ”

ทหารยามที่พูดเมื่อสักครู่หันกลับไปมองเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างหลัง และเห็นว่าสีหน้าทุกคนกำลังงุนงง

เขากัดฟัน และเตรียมจะหยุดไว้อีกครั้ง แต่ยามที่อยู่ข้างๆ เขาจับไหล่ของเขา และส่ายหัวมาให้เขา “ข้าเคยเห็นนางมาก่อน ปล่อยนางไปเถอะ”

ทหารยามลังเลไปสักพัก จากนั้นจึงถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าวและหลีกทางให้

พอเห็นเช่นนี้ คนขับรถม้าก็รีบขับรถออกไป

หลังจากวิ่งออกไปไกลแล้ว เขาหันศีรษะไปมองทหารยามที่ยืนอยู่ข้างหลัง รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย “ข้าเกือบถูกจับไปแล้ว! นายหญิง ท่านต้องจ่ายเงินเพิ่มนะขอรับ!”

ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาจากในรถ เขาพูดพึมพำอีกครั้ง “ถ้าข้ารู้ว่าอันตราย ข้าคงไม่พาท่านมาที่นี่ นี่มันน่ากลัวมาก! ข้ายังมีครอบครัวต้องดูแล แต่มันไม่ง่ายเลย เทียบกับพวกท่านไม่ได้!”

โจวกุ้ยหลานไม่อยากพูดอะไรมาก นางจึงตอบได้เพียงว่า “ข้าจะเพิ่มให้ท่านครึ่งราคา”

ทันทีที่เขาได้ยินว่าได้ค่าจ้างเพิ่ม คนขับรถที่อยู่ข้างหน้าก็รีบพูดเสริมอย่างรวดเร็ว “งั้นท่านช่วยเอาเงินนี้ให้ข้าได้ไหม ถ้าให้เถ้าแก่ ข้าจะไม่ได้อะไรเลย…”

หลังจากได้ยินเสียง “อืม” ออกมาจากรถม้า ความตกใจที่เขาเพิ่งได้รับก็เจือจางลงและความดีใจเข้ามาแทนที่

เขาอารมณ์ดีมาตลอดทาง และพยายามหาอะไรคุยกับแขกในรถ แต่ดูเหมือนแขกในรถจะไม่สนใจ และแทบจะไม่ตอบคำพูดของเขาเลย

เขาเบะปาก และไม่พูดอะไรอีก

พอพวกเขามาถึงคอกม้า ลูกค้าในรถม้าก็พูดขึ้นมา ว่าจะพานางไปส่งที่ร้านไก่ทอด

เขาขับรถม้าต่อไป พอมาถึงหน้าร้านไก่ทอด เขาก็หยุดรถม้า เอาเก้าอี้เหยียบวางลงบนพื้น แล้วเรียกคนที่อยู่ข้างใน

หญิงสาวเปิดม่านรถเดินออกมาจากด้านใน บอกให้เขารอ แล้วเดินกะเผลกเข้าไปในร้านเพียงคนเดียว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีชายคนหนึ่งนำเงินมาให้เขา เขารับมันมาอย่างดีใจ จากนั้นก็ขับรถม้าจากไป

ไป๋ยี่เซวียนหันหลังรีบเดินกลับไปในร้าน แล้วเห็นโจวกุ้ยหลานนั่งอยู่บนโซฟา และกำลังดื่มน้ำ

เขารีบเดินไปหา และเห็นโจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้นมองมา และส่งยิ้มที่ไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา แล้วถามเขา “เถ้าแก่ไป๋ช่วยเอาปีกไก่และน่องไก่อะไรก็ได้มาให้ข้าหน่อยได้ไหม หรือเนื้อไก่ม้วนก็ได้?”