บทที่ 454 ตกทุกข์ได้ยาก
บทที่ 454 ตกทุกข์ได้ยาก
เมื่อเลือกคนได้แล้ว เซี่ยเชียนจึงได้ส่งคนไปเรียกองค์จักรพรรดิกลับมา
เจี่ยงเถิงส่งสมุดในมือให้เซี่ยเชียนอ่าน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเซี่ย จุดประสงค์ของข้าวันนี้คือการส่งรายงานเล่มนี้ขอรับ บางทีฝ่าบาทคงไม่ได้สนใจข้าเท่าไรนัก แต่รายงานเล่มนี้ท่านโปรดบอกฝ่าบาทให้อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนนะขอรับ”
เซี่ยเชียนอ่านจบจึงรู้ถึงความสำคัญของรายงานฉบับนี้ เขาพลันพยักหน้า “ได้”
ทั้งสองคนรอให้องค์จักรพรรดิเสด็จกลับมาอย่างเงียบงัน ภายในห้องทรงงานที่เงียบสงัด เซี่ยเชียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่กี่ครั้ง ทว่าภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น
ภายนอกของห้องทรงงาน องค์รัชทายาทยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ น้ำหนักเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มกดทับร่างกาย เขามองดูเงาของตนที่สะท้อนออกมาจากแอ่งน้ำ และแค่นยิ้มออกมา
เมื่อสักครู่ที่เจี่ยงเถิงผ่านไป เขาจะต้องเห็นตนในสภาพที่จนตรอกเช่นนี้เป็นแน่แท้ ภายในใจเวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะเยาะตัวเองอย่างไรดี ไม่แน่ว่าเมื่อเขากลับไปแล้วก็อาจจะเล่าเรื่องราวเกินจริงให้กับอาซือ ภาพลักษณ์ของเขาก็จะไม่เหลืออีกต่อไป
ในหัวขององค์รัชทายาทกำลังครุ่นคิดเรื่องฟุ่งซ่านมากมายไปหมด ผ่านไปเวลาหนึ่งก็มีคนเดินผ่านตนไป องค์รัชทายาทก้มหน้าอยู่จึงเห็นเพียงแค่ชายอาภรณ์สีเหลืองเท่านั้น
น่าแปลกเหลือเกิน เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงกลับมาจากตำหนักของสวีกุ้ยเฟยรวดเร็วถึงเพียงนี้
องค์รัชทายาทเห็นองค์จักรพรรดิเสด็จเข้าห้องทรงงานไป จู่ ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่เจี่ยงเถิงก็เพิ่งจะเข้าไป และในห้องก็ควรจะมีเซี่ยเชียนอยู่ด้วย
หรือว่าเซี่ยเชียนจะร่วมมือกับเจี่ยงเถิงเพื่อจัดการกับตน เช่นนั้นตนเองก็คงจะหมดหนทางแล้ว ใบหน้าขาวนวลขององค์รัชทายาทแปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียว ความแค้นของตนระหว่างเซี่ยเชียนและเจี่ยงเถิงกลับเข้ามาในหัว
บรรยากาศในห้องทรงงานเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ องค์รัชทายาทก็ได้ยินเสียงของเครื่องกระเบื้องเคลือบแตกสนั่น และตามมาด้วยเสียงตำหนิขององค์จักรพรรดิ
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน พลันพบกับเจี่ยงเถิงที่ออกมาในสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิง ตัวของเด็กหนุ่มเปียกโชกไปด้วยน้ำชา นอกจากนี้ยังมีบาดแผลที่เห็นได้ชัดบนหน้าผาก คาดว่าเกิดจากเศษถ้วยชากระเด็นบาดเข้า
เจี่ยงเถิงกระตุกยิ้มมุมปากให้แก่องค์รัชทายาท เด็กหนุ่มคุกเข่าลงท่ามกลางสายตาประหลาดใจของอีกฝ่าย
“เจ้าคิดทำอะไร?” องค์รัชทายาทมองดูเจี่ยงเถิงที่มีสภาพน่าอับอายเหมือนกับตนอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาท วันนี้ใต้เท้าเซี่ยกล่าวกับกระหม่อมอยู่สองประโยค ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ” ครั้นกล่าวถึงตรงนี้เจี่ยงเถิงก็ได้นิ่งไปครู่หนึ่ง
ตามที่ได้คาดเอาไว้ องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “อย่าเงียบไปสิ”
“ใต้เท้าเซี่ยกล่าวว่าเขามีชีวิตมาได้ขนาดนี้ก็มองผู้คนผิดไปมากมาย เช่นนั้นกระหม่อมจึงคิดว่า กระหม่อมเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังขาดประสบการณ์ เหตุใดจึงต้องรีบร้อนให้คำจำกัดความกับผู้คนเช่นนี้” เจี่ยงเถิงยิ้มให้กับองค์รัชทายาทอย่างจริงใจ “ดังนั้น กระหม่อมจึงมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
“กระหม่อมไม่ได้ช่วยเพียงฝ่าบาท แต่กระหม่อมกำลังช่วยองค์จักรพรรดิและต้าเยี่ยนเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทจ้องตาเจี่ยงเถิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนิ่งเงียบไป
ทั้งสองคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงงาน ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างจ้องมองทั้งสองอย่างไม่ปิดบัง องค์รัชทายาทเพียงแค่นั่งคุกเข่าลำตัวตั้งตรง ปล่อยให้ผู้คนจ้องมอง
เช่นนี้ เจี่ยงเถิงจึงทำได้แค่เพียงปัดความคิดอันเกียจคร้านทิ้งไป แล้วนั่งคุกเข่ากับองค์รัชทายาท
เมื่อเวลาเที่ยงวันผ่านไป แสงแดดของดวงอาทิตย์ก็ลดความร้อนแรงลง เจี่ยงเถิงถอนหายใจด้วยความสบายใจ มองดูรอบทิศทางอย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าจะไม่มีผู้ใด เด็กหนุ่มจึงขยับเข่าเล็กน้อย
อาการของเขาดีกว่าองค์รัชทายาทเพียงน้อยนิดเท่านั้น ถึงอย่างไรองค์รัชทายาทก็คุกเข่านานกว่าเด็กหนุ่ม ก่อนหน้านั้นก็ลงไปช่วยคนในสระ ตอนนี้เสื้อผ้าแห้งแล้ว หากแต่ยังมีโคลนและดินติดตามเสื้อผ้า คงรู้สึกน่าอึดอัดไม่น้อย ทว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้องค์รัชทายาทกลับสามารถคุกเข่าได้เป็นเวลานาน ทำให้เจี่ยงเถิงมองเขาในมุมใหม่อย่างอดเสียไม่ได้
โชคดีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำสอง เมื่อถึงช่วงบ่าย ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้โล่งใจกับอากาศที่เย็นลง จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาปรอย ๆ และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเม็ดฝนใหญ่ เสื้อผ้าที่กว่าจะแห้งขององค์รัชทายาทก็กลับมาเปียกอีกครั้ง
เจี่ยงเถิงสังเกตได้ว่าประตูห้องทรงงานเปิดอยู่ ดูเหมือนว่ามีคนในนั้นจ้องมองมา ไม่นานนักประตูก็ปิดลง
“ฝ่าบาท ท่านยังไหวอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เจี่ยงเถิงเช็ดใบหน้าและเอ่ยถามขึ้น
องค์รัชทายาทไม่ได้เอ่ยกล่าวคำใด ส่วนเจี่ยงเถิงรู้สึกว่าเขานั้นไม่มีเรี่ยวแรงที่จะส่งเสียงพูดแล้ว
เนื่องจากฝนตก จึงทำให้ประตูของห้องทรงงานสั่นไหวขึ้นมา โดยเฉพาะสายฝนที่โปรยปรายลงมา เจี่ยงเถิงที่ปล่อยวางได้มากแล้วจึงเริ่มชวนองค์รัชทายาทสนทนาเพื่อเบนความสนใจ
“ฝ่าบาท ท่านคิดว่าเมื่อใดองค์จักรพรรดิจะสงบลงเล่าพ่ะย่ะค่ะ? ใต้เท้าเซี่ยบอกว่าให้ข้าช่วยเจ้า ตอนนั้นจึงตัดสินใจรับปากไป เหตุใดจึงรู้สึกว่าขึ้นเรือโจรเลยเล่า?”
“เจ้าไม่ได้ทำเพื่อต้าเยี่ยน ทำเพื่ออาณาประชาราษฎร์หรอกหรือ?” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงแหบแห้ง
เจี่ยงเถิงคลี่ยิ้ม ขนาดนี้แล้วยังมีแรงมาปะทะกับตน ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะยังทนไหว
ความเงียบงันได้เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนอีกครั้ง เจี่ยงเถิงโดนฝนสาดจนไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “เจ้าชอบหลินซือใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาทเองก็ชอบไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เจี่ยงเถิงถามกลับ
องค์รัชทายาทหัวเราะอย่างเย็นชา และไม่ได้เอ่ยอะไร
หลังจากกลับมามีชีวิตใหม่ในชาตินี้ ทุก ๆ อย่างล้วนไม่เหมือนเดิมรวมไปถึงหลินซือด้วย
ก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นตอนไหน แต่เมื่อได้พบกับเหยาซูวันนี้ ครั้นมองดูอีกฝ่ายแล้ว ทันใดนั้นบางสิ่งบางอย่างก็บอกกับตนว่าเหยาซูคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด
นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าความคิดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากเหยาซูเป็นเหมือนกับตนเองเช่นกัน ทั้งหมดนั้นก็สมเหตุสมผล
หญิงสาวสามารถเปลี่ยนแปลงต้าเยี่ยนทั้งหมดได้ และก็สามารถอบรมหลินซือให้มีความอบอุ่นเช่นนี้ได้
หลินซือในชาติก่อนมีอารมณ์รุนแรงและมีแผนการชั่วร้าย ถึงเดิมทีเขาจะแต่งงานกับนางเพื่อใช้อำนาจของจวนท่านแม่ทัพ แต่เขาก็รักนางจริง ๆ
แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันภายหลัง ความรักอันหวานชื่นในไม่ช้าก็จางหายไปเพราะอารมณ์รุนแรงที่ไม่มีวันสิ้นสุดของหลินซือ ต่อมาทั้งสองก็เบื่อหน่ายกันไป
แต่ในชาตินี้ไม่เหมือนกัน เดิมทีองค์รัชทายาทมองว่าหลินซือคือทรัพย์สินของตนเองเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับรู้สึกว่าหากหลินซือที่เป็นเช่นนี้ได้อยู่กับตนไปชั่วชีวิต ก็คงจะเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก ๆ อีกหนึ่งเรื่อง
องค์รัชทายาทที่กำลังหวนคิดถึงอดีต ขณะที่เจี่ยงเถิงก็คิดถึงอะไรสักอย่าง แล้วจู่ ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “พูดความจริง กระหม่อมคาดไม่ถึงว่าฝ่าบาทที่เยาว์วัยเช่นนี้ จะมีสามารถ…พูดอย่างไรดีล่ะ…จะชอบหลินซือได้ พอรู้เช่นนี้แล้วกระหม่อมก็ตกใจเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะพระองค์ที่เห็นว่ากระหม่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่าบาท แต่ใครจะไปคาดคิดเล่าว่าเวลานี้กระหม่อมจะมาตกทุกข์ได้ยากกับพระองค์ ”
“เวลานี้ข้าอยากจะฆ่าเจ้าเสีย” องค์รัชทายาทปาระเบิดออกไปหนึ่งลูกด้วยท่าทางนิ่งเฉย
“ฝ่าบาท” เจี่ยงเถิงกลับส่งยิ้มให้ “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คาดเดาเช่นนี้มาก่อน แต่หลังจากผ่านเรื่องราวของวันนี้ไป ข้าไตร่ตรองได้ว่าตนนั้นจะเชื่อมั่นในตัวเองเกินไปหรือไม่ รวมไปถึงฝ่าบาทเองก็เช่นกัน ก่อนหน้าวันนี้พระองค์เคยคิดว่าพระองค์จะทำเรื่องเช่นนี้บ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
องค์รัชทายาทไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เจี่ยงเถิงเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจให้กับฝนที่กระหน่ำไม่ขาดสาย “โชคชะตาหลอกลวงคนเสียจริง ๆ ”
ท้องฟ้ามืดลง ฝนค่อย ๆ หยุดลง คุกเข่ากลางสายฝนมาเป็นเวลานานเช่นนี้ หลังจากที่ฝนหยุดตกแล้ว ก็ยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิม เสื้อผ้าที่เปียกชื้นและหนัก อากาศเย็นแทรกซึมจากพื้นดินมาที่ขา จนเจี่ยงเถิงตัวสั่นเทิ้ม
แต่สถานการณ์ขององค์รัชทายาทยิ่งร้ายแรงมากกว่าเดิม ถึงเขาจะก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้ใครเห็นการแสดงออกทางสีหน้า แต่ก็ไม่อาจควบคุมใบหน้าแดงก่ำของตนได้ ฝ่าบาทคงจับไข้เสียแล้ว
เจี่ยงเถิงหงุดหงิดเล็กน้อย ชายหนุ่มคิดว่าท้ายที่สุดเซี่ยเชียนจะสามารถทำได้หรือไม่ องค์จักรพรรดิก็ไม่ยอมลงง่าย ๆ ขณะที่องค์รัชทายาทเองก็จะทนไม่ไหวแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ความหวังหมู่บ้านอยู่ที่เซี่ยเชียนนี่แหละค่ะว่าจะทำให้จักรพรรดิคลายโทสะลงได้ไหม คนข้างนอกจะไม่ไหวกันแล้ว
ไหหม่า(海馬)