บทที่ 455 รอดพ้นจากอันตราย
บทที่ 455 รอดพ้นจากอันตราย
โชคดีที่เซี่ยเชียนไม่ได้ทำให้เจี่ยงเถิงผิดหวัง ตอนที่เจี่ยงเถิงกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ประตูห้องทรงงานก็ถูกเปิดออกพร้อมเซี่ยเชียนและคนกลุ่มหนึ่งที่ปรี่เข้ามาประคองทั้งสองขึ้น ในตอนที่เจี่ยงเถิงคุกเข่าอยู่นั้น เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนที่เขาลุกขึ้นมากลับพบว่าขาทั้งสองข้างของตนไร้ความรู้สึกไปแล้ว ต้องถูกคนหามไปอย่างไม่เหลือภาพลักษณ์
ทั้งสองคนถูกพยุงไปตำหนักตะวันออก ตรงนั้นได้มีหมอหลวงรออยู่แล้ว เมื่อทั้งสองไปถึงก็ได้รับการตรวจชีพจรและให้ยา ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามกว่าเจี่ยงเถิงจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา ส่วนองค์รัชทายาทหมดสติไประหว่างทาง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ
“ใต้เท้าเซี่ย หากท่านช้ากว่านี้เพียงอึดใจเดียว ตอนนี้พวกเราคงคว้าน้ำเหลวแล้วขอรับ” เจี่ยงเถิงหยอกล้อกับเซี่ยเชียน
“องค์จักรพรรดิได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว” สีหน้าของเซี่ยเชียนดูไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ดูเหมือนว่าทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
“ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้างขอรับ?”
“องค์รัชทายาทถูกกักบริเวณเป็นเวลาครึ่งปี แล้วให้เจ้าพิจารณาตนเองหนึ่งเดือน”
เจี่ยงเถิงประหลาดใจเล็กน้อย “แค่นี้หรือขอรับ?”
เดิมทีเด็กหนุ่มคิดว่าตนนั้นจะถูกพักงานช่วงหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าองค์จักรพรรดิจะสามารถปล่อยวางได้
“อย่างไรก็เป็นเพียงองค์หญิงพระองค์หนึ่ง องค์รัชทายาทคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงงานเป็นเวลานาน ขุนนางที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็มองเห็น ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะได้รับโทษประหารหรอก สวีกุ้ยเฟยเองก็เป็นคนฉลาด แต่กลับไม่ได้ต้องการสิ่งใด”
เจี่ยงเถิงครุ่นคิดก่อนถอนหายใจ “เมื่อมองดูเช่นนี้แล้วมันไม่ได้มีผลประโยชน์กับข้าตรงไหนเลยขอรับ”
เซี่ยเชียนส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ไม่ พอมีเจ้าแล้ว พวกขุนนางเหล่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นอำนาจขององค์รัชทายาทที่ยังเยาว์วัย และหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นก็สามารถเชื่อใจองค์รัชทายาทต่อไปได้”
สมองที่อ่อนล้าหลังจากตากฝนของเจี่ยงเถิงเข้าใจได้ถึงต้นสายปลายเหตุ เด็กหนุ่มทำความเคารพเซี่ยเชียนอย่างจริงใจ “เห็นชัดว่าองค์รัชทายาทมีปัญหา แต่ใต้เท้าเซี่ยกลับใช้โอกาสนี้ปูทางให้เขาในอนาคต กลยุทธ์อันชาญฉลาดดังกล่าว เป็นที่ชื่นชมของคนรุ่นหลังนักขอรับ”
“ทั้งหมดนี้ฝ่าบาทล้วนกำชับไว้หมดแล้ว” หลังจากพูดประโยคนี้จบลง เซี่ยเชียนก็จากไปเพื่อไปดูองค์รัชทายาท
เหลือเพียงเจี่ยงเถิงที่อยู่ในห้องอันเงียบสงบ สมองของเขาพลันนึกถึงคำพูดขององค์รัชทายาทที่เอ่ยขึ้นอยู่ข้างหูของตน ‘ข้าไม่สามารถออกจากวังได้ เจ้าดูแลอาซือให้ดีล่ะ’
เจี่ยงเถิงพลันหัวเราะออกมา ออกวังไม่ได้อะไรกัน ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะเสนอตนต่อหน้าหลินซือในทุก ๆ วัน เจี่ยงเถิงก็มั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วหลินซือก็จะเป็นสะใภ้บ้านตน
“ฮัดชิ่ว!” สายฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่ตกต่อเนื่องทำให้หลินซือจามออกมาเสียงดัง เด็กสาวลูบจมูกของตนพลางบ่นพึมพำ “ใครกำลังคิดถึงข้าอยู่นะ”
ไป๋หรูปิงสวมผ้าคลุมให้กับหลินซือด้วยความตื่นเต้น นางจับหลินซือแล้วเอ่ยถาม “ข้าเองที่นึกถึงเจ้า ต้องคอยยืนมองดูฝนที่หน้าประตู ลมพัดจนจะเป็นหวัดอยู่แล้ว”
ในตอนสายหลังจากงานชมดอกเบญจมาศจบลง ทั้งสองคนบังเอิญพบกันที่หน้าประตู ภายในพระราชวังแออัดเป็นอย่างมาก หลินซือจึงตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นซื้อของตามท้องถนน ไป๋หรูปิงจึงตกลงไปกับนางด้วย
ทั้งสองทิ้งรถม้าไว้หนึ่งคัน และปลีกตัวออกมาจากฝูงชน
พวกนางเดินเล่นจนถึงช่วงบ่าย เดิมทีว่าจะมาเดินผ่อนคลาย แต่กลับเดินไปถึงร้านขายหยกโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมองดูก็รู้สึกว่าร้านตรงนี้ดีไม่น้อย ร้านตรงนั้นก็ไม่เลว พอดู ๆ ไปก็ได้ของมากมายมาเพิ่มให้กับร้านของตน รู้ตัวอีกทีก็กลับมายืนอยู่หน้าร้านของตนที่ยังไม่ได้เปิดแล้ว
เด็กสาวทั้งสองสบตาและยิ้มให้กัน เมื่อเห็นว่าฝนทำท่าจะตกลงมาอีกครั้ง จึงรีบเดินเข้าไปในร้าน
หยกจากเหมืองถูกทยอยนำมาส่ง ยังไม่ทันจะถึงคลังสินค้าก็ถูกนำมาไว้ที่ห้องโถง
ไป๋หรูปิงเคยเห็นแต่เครื่องประดับหยกสำเร็จรูปแล้ว ไม่เคยเห็นก้อนหยกดิบสีเทาเช่นนี้มาก่อน เด็กสาวจึงเข้าไปดูด้วยความประหลาดใจ
“พี่ไป๋ เป็นเช่นไรบ้าง พอใช้ได้ไหม?”
หลินซือมองหยกกองนั้น รู้สึกราวกับว่านี่เป็นรางวัลแห่งชื่อเสียงเกียรติยศ นางจึงไม่อาจเก็บน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีเอาไว้ได้
ไป๋หรูปิงพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ นางยื่นมือเข้าไปลูบสิ่งของที่ดูคล้ายกับก้อนหินพวกนั้น และยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “เอ้อเป่า ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเวลาที่หยกถูกขุดขึ้นมาก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหิน ไม่ได้แตกต่างจากหินธรรมดาเลย ”
หลินซือเหลือบมองกำไลข้อมือหยกสีขาวของไป๋หรูปิงซึ่งเป็นวัตถุหายากแม้แต่ในโรงผลิตอวี้หยวน ตอนนี้มันปรากฏขึ้นพร้อมกับแร่หยกเหล่านั้น ทำให้แร่หยกธรรมดาเหล่านั้นเป็นเพียงหินทั่วไป นางขยิบตาแล้วเอ่ยหยอกเย้า “พี่ชายข้าไม่ยอมให้ของประเภทนี้ส่งไปถึงหน้าพี่ไป๋หรอกนะ”
“เอ้อเป่า ข้าพูดกับเจ้าดี ๆ นะ” ไป๋หรูปิงดึงมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดง
“ข้าก็พูดดี ๆ อยู่นี่อย่างไรเล่า” หลินซือยิ้มแล้วเบียดเข้าไปที่ด้านหลังของไป๋หรูปิง “สองวันมานี้พี่ของข้าดูเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง ท่าทางมีลับลมคมใน จะต้องทำให้พี่ไป๋ประหลาดใจแน่ ๆ”
ไป๋หรูปิงมองดูกองหยกพวกนั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ รีบเปลี่ยนเรื่องที่อาซือพูดก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว “อาซือ ที่เจ้าให้ข้าตามหาช่างหยกฝีมือดี เริ่มจะได้เรื่องแล้วนะ”
ปรากฏว่าหลินซือไม่หยุดหยอกล้อกับไป๋หรูปิง เด็กสาวปรบมืออย่างมีความสุข “ความรักนั้นดีจริง ๆ ตอนนี้ก็พร้อมทุกอย่างแล้ว พวกเราเหลือแค่เลือกวันเวลาดี ๆ เท่านั้นเอง”
ภายในใจหลินซือดีใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวมองดูท้องฟ้าที่มืดมนอย่างมีความสุข
ฝนตกกระหน่ำแรงขึ้น หลินซือย้ายมานั่งที่ม้านั่งเล็ก ๆ หน้าประตูเพื่อนั่งชมฝน ในมือถือหยกดิบก้อนหนึ่งที่หยิบมาจากกองหยกเมื่อครู่นี้
หลินซือพิจารณาว่าเจี่ยงเถิงได้ให้ของบางอย่างไว้กับตน และเด็กสาวเองก็ต้องทำส่งคืนหนึ่งชิ้นเช่นกัน ดังนั้นเด็กสาวจึงเลือกหยกมาหนึ่งชิ้นก่อนเพื่อแกะสลักให้เจี่ยงเถิง
ฝีมือของเด็กสาวนั้นแย่เหลือรับ หลินซือจึงไม่คิดถึงมันอีกต่อไป ถึงอย่างไรในตอนสุดท้ายผลงานมันต้องออกมาเหมือนกับเป้าหมายที่วางไว้
เมื่อนึกถึงท่าทางของเจี่ยงเถิงได้รับสิ่งของหน้าตาแปลกประหลาดไปหนึ่งชิ้น หลินซือก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ไป๋หรูปิงสังเกตเห็นหลินซือถือหยกก้อนหนึ่งแล้วยื่นเข้าไปในม่านฝน ทำให้แขนเสื้อของนางเปียกปอน
ไป๋หรูปิงจึงรีบดึงนางกลับเข้ามา แล้วไปหยิบเสื้อคลุมให้กับเด็กสาว เมื่อหลินซือกลับเข้ามานางจึงจามขึ้น แต่กลับรู้สึกว่ามีคนคิดถึงนางอยู่
“รีบใส่เร็วเข้า” ไป๋หรูปิงใช้บุคลิกที่น่านับถือของสะใภ้ใหญ่สั่งหลินซือที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ให้สวมผ้าคลุมให้แน่นหนา
หลินซือเช็ดหยกที่นำไปล้างอย่างละมุนละไมและเก็บมันเอาไว้อย่างดี จากนั้นจึงใช้ผ้าคลุมห่อตนเองเป็นบ๊ะจ่างอย่างเชื่อฟัง
สายฝนเริ่มซาลงมาบ้างแล้ว เวลาก็เย็นย่ำลง ทั้งสองคนจึงเตรียมตัวกลับจวน
แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะออกจากร้านนั้น หลินซือกลับมองไปยังทิศทางหนึ่งและเด็กสาวก็ชะงักไป
“พี่ไป๋ ท่านขึ้นรถไปก่อนเลย ข้าจะไปดูร้านหนังสือตรงนั้น พวกท่านรอข้าที่หน้าประตูก็พอแล้ว”
กล่าวจบ ยังไม่ทันรอให้ไป๋หรูปิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลินซือก็วิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังร้านหนังสือที่อยู่ตรงข้ามแล้ว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลงโทษโหดจัง อาการร่อแร่ทั้งคู่เลย
อาซือไปร้านหนังสือทำไมกันนะ
ไหหม่า(海馬)