บทที่ 456 หนังสือ
บทที่ 456 หนังสือ
ที่หลินซือกล่าวว่าสักครู่นั้นก็คือสักครู่จริง ๆ ไป๋หรูปิงจึงขึ้นไปหยิบร่มบนรถม้าเพื่อไปหาเด็กสาวที่ร้านหนังสือ กลับพบว่านางปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูร้านแล้ว เมื่อหลินซือพบกับไป๋หรูปิง เด็กสาวจึงรีบโบกมือด้วยความร้อนใจให้กับนาง
ไป๋หรูปิงคาดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น จึงรีบวิ่งข้ามไปที่ร้านหนังสือ “เกิดอะไรขึ้นหรือเอ้อเป่า?”
“พี่ไป๋ ข้ายืมเงินสักนิดจะได้หรือไม่? กลับไปแล้วจะคืนให้ท่าน” หลินซือเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าอ้อนวอน
ไป๋หรูปิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่งถุงเงินให้กับหลินซือ หลินซือร้องออกมาด้วยความดีใจและรีบวิ่งเข้าไปในร้านหนังสือ และไม่นานเด็กสาวก็กลับออกมาพร้อมกับถุงเงินเปล่า ๆ สองใบและหนังสือหนึ่งเล่มที่มองเพียงแวบแรกก็รู้ว่ามีอายุมามากแล้ว
“ไม่คิดเลยว่ามันจะแพงเช่นนี้” หลินซืออุ้มหนังสือออกมาด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย เด็กสาวส่งถุงเงินคืนให้กับไป๋หรูปิง “ถ้ากลับไปแล้วข้าจะให้พี่ใหญ่เอาไปคืนให้”
“นี่มันหนังสืออะไรกัน?” ไป๋หรูปิงมองดูหนังสือเล่มหนาที่หลินซือไม่น่าจะอ่าน แล้วคนแบบไหนเล่าที่จะอ่านหนังสือประเภทนี้ และยังสามารถทำให้หลินซือห่วงใยไปสอบถามให้เขา ไม่ต้องเอ่ยชื่อออกมาก็รู้ว่าเป็นใคร
“นี่คือหนังสือเล่มสุดท้ายที่พี่เถิงตามหามาตลอดน่ะ” หลินซือเขินอายเล็กน้อย “ครั้งก่อนที่พวกเรามา เถ้าแก่บอกว่าจะช่วยสืบถามให้ วันนี้ข้าอยากลองเสี่ยงโชคดู คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีจริง ๆ แต่เมื่อครู่มีคนต้องการเล่มนี้เช่นกัน ข้าทำได้เพียงต่อรองราคากับเขา คาดไม่ถึงว่าจะจ่ายไปจนหมด”
ไป๋หรูปิงพยักหน้ารับรู้ ในขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง หลินซือก็รีบผลักนางขึ้นรถม้าอย่างเร่งรีบ “พี่ไป๋ นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้ายังต้องไปส่งหนังสือให้กับพี่เถิงที่บ้าน พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
ไป๋หรูปิงคลี่ยิ้ม เด็กสาวมองดูใบหน้าของหลินซือที่ขึ้นสีแดงราวกับลูกตำลึงสุก นางจึงหยอกล้อกลับไป
ระหว่างทางไปจวนตระกูลเจี่ยง ในตอนที่แวะส่งไป๋หรูปิงที่จวน ขณะที่เด็กสาวกำลังจะลงจากรถก็ไม่ลืมที่จะเตือนขึ้น “เอ้อเป่า ตอนกลางคืนอย่าลืมกลับบ้านเสียล่ะ”
“พี่ไป๋!” หลืนซือหน้าแดงขึ้นทันที ในท้ายที่สุดก็หันกลับไปและจากไปด้วยรอยยิ้ม
หลินซืออยู่คนเดียวบนรถ เด็กสาวรู้สึกว่าตนนั้นสับสนจนหน้าแดง จึงเปิดหน้าต่างและปล่อยให้ละอองฝนสาดกระทบใบหน้า
หลินซือหลับตาลงพยายามปล่อยวางกับตนเองและรอให้ความร้อนลดลง ที่ตั้งจวนตระกูลเจี่ยงค่อนข้างไกล ใบหน้าของหลินซือเกือบจะถูกแช่แข็งไปตลอดทาง และทันใดนั้นรถม้าก็ค่อย ๆ ช้าลงเรื่อย ๆ
“คุณหนู ถึงแล้วขอรับ” เสียงของคนคุมรถม้าดังขึ้น
หลินซือลูบใบหน้าของตน เด็กสาวเดินไปยังประตูที่นางเองก็เคยมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่วันนี้กลับแปลกไปเล็กน้อย ประตูจวนเจี่ยงปิดสนิทและยังไม่มีคนเฝ้าอยู่ หลินซือทำได้แค่เพียงใช้แรงเคาะประตู หากแต่ไม่มีเสียงตอบรับมาจากด้านใน หลินซือรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้วจึงใช้ออกแรงเคาะประตูอีกครั้ง แล้วตะโกนขึ้น “มีคนอยู่หรือไม่”
ครั้นผ่านไปหนึ่งถ้วยชาอุ่น หลินซือก็เห็นร่างของบุคคลหนึ่งวิ่งเข้ามาผ่านรอยแตกของประตู เมื่อคนผู้นั้นเห็นว่าเป็นหลินซือก็จึงได้เปิดประตูให้นางเข้าไป
เมื่อประตูปิดลง เด็กสาวก็มองไปรอบ ๆ ราวกับว่าตนนั้นเป็นหัวขโมย เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีผู้ใดจึงโล่งใจขึ้นมา
“ฉางป๋อ เหตุใดจึงเป็นเจ้ามาเปิดประตูล่ะ?” จิตใจของหลินซือเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข มองดูพ่อบ้านของตระกูลเจี่ยงและเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย
ฉางป๋อถอนหายใจอีกครั้งและเอ่ยขึ้น “คุณหนูหลิน มากับข้าสิขอรับ”
ฉางป๋อไม่ได้พอหลินซือไปห้องโถงรับรอง แต่กลับพาไปเรือนหลักของตระกูลเจี่ยงแทน
เจี่ยงฉีมองหลินซือด้วยดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งร้องไห้ไป
“ท่านป้าเจี่ยง เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”
ความไม่สบายใจของหลินซือเริ่มชัดเจนขึ้น ตระกูลเจี่ยงที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานกลับมีสภาพเช่นนี้
“อาเถิง หลังจากเข้าวังไปในตอนเที่ยงเขาก็ยังไม่กลับมา” เจี่ยงฉีกล่าวขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง “มีคนบอกว่า เห็นเขาคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงงานของจักรพรรดิคู่กับองค์รัชทายาท บนใบหน้ายังมีบาดแผล”
ดวงตาของหลินซืหม่นแสงลง เด็กสาวเซไปไม่กี่ก้าวก่อนจับโต๊ะเพื่อประคองตนไว้ หนังสือที่อุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนตกลงบนพื้น ตอนนี้ไม่มีใครสนใจหนังสือนั่นแล้ว
“ท่านป้าเจี่ยง คนคนนั้นมาบอกข่าวเวลาไหนเจ้าคะ?” หลินซือใช้ความพยายามอย่างมากในการข่มกลั้นความรู้สึกที่แตกสลาย
“เวลานั้นฝนตกแล้ว คนคนนั้นเขาบอกว่าเป็นสหายร่วมงานของอาเถิง เนื่องจากเขาเข้าวังไปส่งรายงานจนฝนตกแล้วก็ยังไม่กลับ จึงเข้าไปดูในวัง ก็ได้เห็นว่าอาเถิงคุกเข่าอยู่กับองค์รัชทายาทท่ามกลางสายฝน” น้ำเสียงของเจี่ยงฉีเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางเอ่ยขึ้นเป็นช่วง ๆ หลายครั้งกว่าจะพูดจบ
หลินซือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ความเจ็บปวดทำให้นางมีสติกลับขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่หลินซือคิดว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่เกิดในครอบครัวร่ำรวย ในหัวของเด็กสาวพลันคิดเรื่องดีและร้ายขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว “ท่านป้าเจี่ยง ท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลยเจ้าค่ะ ข้าจะให้พี่ใหญ่ไปตรวจสอบดู ความสัมพันธ์ของพี่อาเถิงกับองค์รัชทายาทไม่ค่อยดีนัก น่าแปลกที่ทั้งสองจะมายืนอยู่แนวเดียวกันเช่นนั้น ต้องมีความจริงอะไรบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้แน่เจ้าค่ะ”
เจี่ยงฉีเปิดปากหมายจะพูดสิ่งใด แต่ในท้ายที่สุดนางก็ส่งเสียงพึมพำเบา ๆ และหลินซือก็หันหลังและจากไปทันที
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังบางของหลินซือ น้ำตาของเจี่ยงฉีก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
นางรู้ดีว่าเจี่ยงเถิงเป็นคนที่ระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขายืนหยัดตัวคนเดียวในราชสำนักมานานหลายปี ไม่เคยประสบปัญหาอะไร เรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ต้องเป็นเรื่องที่เขาเองไม่สามารถควบคุมได้
สิ่งที่เขาควรทำตอนนี้คือปล่อยให้พวกหลินซือจัดการแทน แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาลุยน้ำโคลนนี้
แต่เจี่ยงเถิงเป็นลูกชายของตนเอง เพียงแค่มีความหวัง ต่อให้ตนเองจะต้องคุกเข่าร้องขอต่อผู้คน นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องรีบทำ
เจี่ยงฉีลุกขึ้นยืนเชื่องช้า นางหยิบหนังสือที่หลินซือทำตกลงอยู่บนพื้น ก็เห็นว่าเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ลูกชายของนางพูดถึงมานาน หลินซือที่ไม่เข้าใจต่อสิ่งนี้แม้แต่น้อยกลับซื้อมันได้
นี่ต้องใช้กำลังไปมากเท่าใด
เจี่ยงฉีปัดฝุ่นบนหนังสือให้สะอาดและวางไว้บนโต๊ะ นางค่อย ๆ ปิดหน้าตัวเอง น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง
หลินซือใช้เวลาไม่นานก็วิ่งไปถึงหน้าประตู เด็กสาวเหยียบแอ่งน้ำไปตลอดทางจนรองเท้าเปียก ชายกระโปรงเปื้อนไปด้วยโคลน ท่าทางจนตรอกของนางทำให้คนขับรถตกใจจึงรีบประคองนางขึ้นมา และคิดว่านางถูกรังแกที่จวนตระกูลเจี่ยง
“รีบกลับจวน!” หลินซือรีบผลักคนขับรถม้าออกและเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
คนขับรถโดนหลินซือที่มีท่าทางมืดมนกระโดดข้ามไป เขาจึงจ้องมองไปที่คุณหนูผู้เคยอ่อนโยน กลับถูกหลินซือตะคอกออกมาอีกครา “มองอะไรเล่า ไม่ได้ยินหรืออย่างไร?! ส่งข้ากลับจวนให้เร็วที่สุด”
“อาซือ? เจ้าเป็นอะไรไป?”
หลินซือก้าวขึ้นรถม้าได้ครึ่งหนึ่ง ก็ได้หยุดลงกลางคันด้วยท่าทางน่าขบขัน และหันกลับไปมองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เหตุใดเสื้อผ้าจึงได้สกปรกเช่นนี้? ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง โตขนาดนี้แล้วยังไปมีเรื่องชกต่อยกันคนอื่นอีกหรือ?”
เจี่ยงเถิงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เด็กหนุ่มยังมีอารมณ์ที่จะหยอกล้อเล่น แต่เมื่อเดินเข้าไปและเห็นท่าทางของหลินซืออย่างชัดเจน เด็กหนุ่มพลันยิ้มไม่ออกทันใด
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อย่างนี้เขาเรียกว่ามีใจให้นะคะ ถึงกับพยายามซื้อของที่อีกฝ่ายอยากได้มาจนได้แบบนี้
ไหหม่า(海馬)