บทที่ 457 กลับบ้าน
บทที่ 457 กลับบ้าน
“อาซือ เจ้าได้ยินเรื่องในวังมาแล้วใช่หรือไม่?”
เจี่ยงเถิงขยับเข้าใกล้อาซือที่จิตใจแตกสลายอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มค่อย ๆ เอ่ยอธิบาย “ทั้งหมดนี้ล้วนวางแผนมาอย่างดีแล้ว เพียงแต่เรื่องราวนั้นกระชั้นชิดมากจนไม่มีเวลาที่จะบอกเจ้า”
หลินซือค่อย ๆ วางเท้าของตัวเองลง เมื่อเท้าของนางสัมผัสกับพื้น เด็กสาวก็รู้สึกราวกับว่าตนนั้นหมดเรี่ยวแรงจนโซซัดโซเซ เจี่ยงเถิงใช้โอกาสนี้กอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน ค่อย ๆ ลูบหลังหลินซือที่กำลังตึงเครียดและประทับจูบศีรษะของนาง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่น “ไม่เป็นอะไรแล้ว อาซือ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพี่อาเถิง”
หลินซือไม่ได้ส่งเสียงอะไร แต่เจี่ยงเถิงรู้สึกว่าเสื้อบริเวณหน้าอกของตนนั้นเริ่มเปียกชื้นขึ้นมา เด็กสาวร้องไห้ออกมาโดยปราศจากเสียง เจี่ยงเถิงคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่ปลอบโยนอย่างทำอะไรไม่ถูก “ไม่เป็นอะไรแล้ว ๆ”
หลินซือค่อย ๆ หลั่งน้ำตาออกมา เสียงร้องของนางดังขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดเด็กสาวก็ระเบิดอารมณ์ ปล่อยโฮทันใด
เจี่ยงเถิงกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมา เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหลินซือได้ระบายความรู้สึกออกมาแล้ว
เสียงร้องของหลินซือดังขึ้นเรื่อย ๆ และจู่ ๆ ก็เบาลง เจี่ยงเถิงกอดเด็กสาวเงียบ ๆ ตรงบริเวณหน้าประตู คนอื่นรู้ว่าควรทำอย่างไรจึงได้ปลีกตัวออกไป ทำให้บริเวณถนนไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว
ม่านฝนได้ร่วงหล่นลงมาฟากฟ้าอีกครั้ง
“อาซือ เข้าห้องกันเถอะ”
เจี่ยงเถิงผลักหลินซือออกเล็กน้อย มองดวงตาแดงก่ำของเด็กสาว เอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ฝนตกแล้ว หากอยู่ข้างนอกจะหนาวเอาได้”
หลินซือปัดมือของเจี่ยงเถิงบนแขนของตนออก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “เจี่ยงเถิง เหตุใดท่านจึงเป็นเช่นนี้ทุกที เป็นเช่นนี้ตลอด คิดว่าตนทำได้ทุกอย่าง คิดว่าตนนั้นฟันแทงไม่เข้า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรท่านก็คิดได้หมด เพียงแค่คิดจะบอกข้ากลับคิดไม่ได้ เอาแต่ทำให้พวกเราต้องลนลานเฉกเช่นวันนี้”
เมื่อมองดูดวงตาสีเข้มของหลินซือ เจี่ยงเถิงก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มตื่นตระหนกกว่าตอนที่ต้องคุกเข่าอยู่ห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิเสียอีก เขาต้องการอธิบายเหตุผลแต่เวลานั้นกลับรู้สึกฝืดคอขึ้นมา เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัด “ครั้งนี้เรื่องราวมันเกิดขึ้นกะทันหันจริง ๆ พอข้าเข้าไปในพระราชวัง ข้าเองก็เพิ่งจะทราบเรื่อง แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เสี่ยงเลยจริง ๆ ข้ารับรองได้ เพียงแต่ขั้นตอนมันอาจจะดูน่าหวาดกลัวไปหน่อย ข้าไม่คิดว่า….ไม่คิดว่าจะทำให้พวกเจ้าเป็นกังวลใจเช่นนี้”
เมื่อหลินซือฟังเด็กหนุ่มอธิบายจบ เด็กสาวก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและเดินจากไป เจี่ยงเถิงจึงรีบรั้งนางไว้ ทันใดนั้นหลินซือก็ระเบิดออกมาทันที จังหวะที่ถูกเจี่ยงเถิงดึงไว้ให้หันกลับมา เด็กสาวก็ได้ยกมือขึ้น
เจี่ยงเถิงคิดว่าฝ่ามือนั้นจะประทับลงบนหน้าของตน จึงรีบหลับตาทันที
เมื่อรอไปสักพัก ก็มีแต่ความเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงลมจากฝ่ามือ เจี่ยงเถิงลืมตาขึ้นก็พบกับหลินซือที่มองมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ท่านกลับไปเถิด ท่านป้าเจี่ยงเป็นห่วงท่านมาก นี่ก็มืดแล้ว ข้าเองก็ต้องกลับบ้าน”
หลินซือก้มหน้าลง เจี่ยงเถิงจึงเห็นน้ำตาที่ร่วงหล่นลงพื้นชัดเจน
หลินซือปลดมือของเด็กหนุ่มออกอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และขึ้นรถม้าไป
เหลือเพียงเจี่ยงเถิงเท่านั้นที่มองดูรถม้าหายลับไปจากสายตาของตน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตนนั้นทำอะไรผิดไป
ตนไม่ควรเอาความสำเร็จมาเป็นตัวชี้วัด สิ่งที่อาซือต้องการอาจจะเป็นเพียงการใช้ชีวิตที่สงบสุขกับนางเพียงเท่านั้น
เมื่อเจี่ยงเถิงกลับมาถึง ก็มีคนไปแจ้งให้กับเจี่ยงฉีทราบ เจี่ยงฉีได้มาถึงหน้าประตูตั้งแต่แรกแล้ว แต่เห็นว่าสถานการณ์ระหว่างลูกชายและหลินซือดูไม่ค่อยดีนัก นางจึงไม่ได้แสดงตัว
เมื่อฟังทั้งสองสนทนากันเสร็จ ภายในใจของนางก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เจี่ยงเถิงยืนอยู่หน้าประตูได้พักหนึ่งก็หันมาพบกับเจี่ยงฉี “ท่านแม่? ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรขอรับ?”
เจี่ยงฉีเดินเข้ามากอดลูกชายร่างสูงของตน นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เจ้าทำแม่ตกใจจนเกือบแย่”
ทั้งสองไม่ได้ยืนอยู่ที่หน้าประตูนาน เจี่ยงฉีเพียงแค่ได้กอดลูกชายก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้ว หญิงสาวจึงจูงมือลูกชายกลับเข้าบ้าน และกำชับให้คนไปเรียกหมอมา
“ท่านแม่ ข้าเพียงแค่มีบาดแผลบนศีรษะเท่านั้น หมอหลวงดูให้ข้าแล้วขอรับ” เจี่ยงเถิงรู้สึกไม่สบอารมณ์กับท่าทางของเจี่ยงฉีที่ปฏิบัติกับตนราวกับว่าเพิ่งผ่านศึกใหญ่มา เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ แต่กลับถูกเจี่ยงฉีจ้องเขม็ง จึงทำได้แค่ปิดปากอย่างเชื่อฟังและยอมให้ผู้อื่นตรวจอาการของตน
หลังจากที่เจี่ยงฉีแน่ใจแล้วว่าลูกชายของตนสบายดี บาดแผลบริเวณศีรษะเป็นเพียงแค่รอยถลอกเท่านั้น ต่อให้ต้องตากฝนเป็นเวลานานเขาก็ไม่เป็นอะไรเพราะยังเด็กและแข็งแรง ในที่สุดเจี่ยงฉีก็สนทนากับลูกชายอย่างมีความสุข
เจี่ยงฉีถือหนังสือที่หลินซือซื้อเข้ามาให้ท่ามกลางแววตาสับสนของเจี่ยงเถิง สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
“ท่านแม่ ท่านไปซื้อมาจากที่ไหนขอรับ? ข้าตามหามานานมาก” เจี่ยงเถิงพลิกหนังสือที่ตนชอบไปมาอย่างระมัดระวัง
“แม่ไม่ได้เป็นคนซื้อ”
“เช่นนั้น…” เจี่ยงเถิงสบตาของเจี่ยงฉี เวลานั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าใครสามารถทุ่มเทตามหาหนังสือโบราณสุดแสนจะเข้าถึงได้ยากเล่มนี้ให้กับตนได้ มือของเขาจึงเริ่มสั่นขึ้นมา
เจี่ยงฉีดูท่าทางของลูกชาย ภายในใจก็เกิดความเข้าใจต่อเรื่องทั้งหมด “อาซือเป็นเด็กดีคนหนึ่ง”
“ไม่มีใครที่ดีกว่านางแล้วขอรับ” เจี่ยงเถิงก้มหน้าลงและลูบหนังสือในมือเบา ๆ
“นั่นเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เจี่ยงเถิงเงียบไปสักพัก เด็กชายวางหนังสือลงแล้วกดเสียงลง “แต่ข้าไม่คู่ควรกับนาง”
เจี่ยงฉี่ส่ายหน้า “เจ้าควรจะรู้ว่าอาซือไม่ใช่ผู้หญิงที่ใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้”
“ข้ารู้ ข้ารู้ดีว่านางนั้นแสนดี ไร้เดียงสา” เจี่ยงเถิงหันหน้ามามองเจี่ยงฉี “เช่นนั้นนางควรคู่กับสิ่งที่ดีที่สุดขอรับ”
เจี่ยงฉีถอนหายใจ มองดูลูกชายที่ชาญฉลาดแต่ในเวลานี้มีแต่ความสับสน “เวลามีความรัก เราก็มักจะมองว่าคนคนนั้นดีไปเสียหมดทุกอย่าง ในทางกลับกันถ้านางไม่ชอบ ต่อให้เป็นถึงองค์รัชทายาทหรือองค์จักรพรรดิ นางก็จะมองว่าไม่ดี”
เจี่ยงเถิงเข้าใจในจุดนี้ดี เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่สามารถทะลวงด่านนี้ของตนเองไปได้
เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจี่ยงเถิง เด็กหนุ่มฝังตัวเองไว้ในผ้าห่มอย่างไร้เดียงสา และปฏิเสธที่พูดอะไรออกมา
เมื่อลูกชายอับจนหนทาง มารดาก็หมดหนทางเช่นกัน เจี่ยงฉีถอนหายใจ “วันรุ่งขึ้นข้าจะไปจวนท่านแม่ทัพ ถ้าเจ้าต้องการจะไปก็ตามไปได้”
เจี่ยงเถิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เจี่ยงฉีกำชับกับเด็กรับใช้ว่าให้ดูแลคุณชายให้ดี ๆ ก่อนที่นางจะจากไป
วันต่อมาในตอนเช้าตรู่เจี่ยงฉีที่เพิ่งตื่นนอน สาวใช้ก็มารายงานกับตนว่าคุณชายรออยู่ที่หน้าประตูลานบ้านได้ครึ่งชั่วยามแล้ว
ทั้งสองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าด้วยความเงียบ ระหว่างทางไปจวนท่านแม่ทัพ เจี่ยงฉีถามไถ่เรื่องหน้าที่การงานของลูกชาย เจี่ยงเถิงตอบกลับด้วยความกลุ้มใจว่าตนถูกพักงานหนึ่งเดือน
เจี่ยงฉีไม่ทราบสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ในสายตาของนางแล้วการพักงานหนึ่งเดือนก็ไม่ต่างอะไรกับการไล่ออก เวลานั้นนางรู้สึกเป็นทุกข์ใจกับลูกชาย นางจึงไม่อาจทำลายความรู้สึกของเด็กหนุ่มได้อีก
ทั้งสองมาถึงจวนท่านแม่ทัพ ผู้คนในบ้านต่างเร่งรีบ สาวใช้พาพวกเขาไปที่ลานบ้านของฮูหยิน และบอกพวกเขาให้รอสักครู่ ฮูหยินของพวกเขากำลังดูแลคุณหนูอยู่
ภายในใจของเด็กหนุ่มบีบรัดทันใด เขาไม่สนว่าจะควรหรือไม่ควร เจี่ยงเถิงพูดโพล่งออกไปว่า “อาซือเป็นอะไรไป?”
“เมื่อวานคุณหนูตากฝน กลับมาจึงเป็นไข้ตลอดทั้งคืน เช้านี้ถึงจะอาการดีขึ้นมาบ้าง ฮูหยินกำลังดูแลอยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
เจี่ยงเถิงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นในทันใด
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
น้องอาซือตากฝนไม่สบายเลย ดูแลน้องด้วยนะอาเถิง
ไหหม่า(海馬)