บทที่ 375 องค์หญิง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 375 องค์หญิง

จิ้งไท่เฟยกำพระราชโองการไว้แน่น

แม่นมไช่คุกเข่าพลางคว้าข้อแขนของจิ้งไท่เฟยไว้ “ไท่เฟยเพคะ! หม่อมฉันขอร้องล่ะ! อย่าเพิ่งวู่วาม ฝ่าบาทแค่อยู่ในอาการมึนงงชั่วขณะเท่านั้นเพคะ! ไม่นานเดี๋ยวก็ทรงกลับไปเป็นอย่างเก่าแล้วเพคะ!”

แน่นอนว่าที่พูดออกไปนั้นเป็นเพียงแค่คำโน้มน้าว แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อแม่นมไช่นึกไม่ออกแล้วว่าจะต้องใช้คำพูดอะไรแล้ว

“ถือว่าหม่อมฉันขอนะเพคะ วางพระราชโองการนั้นกลับที่เดิมเถิด…วางกลับที่เดิมนะเพคะ…”

“จิ้งไท่เฟยไม่ได้มีแค่ฝ่าบาทเท่านั้นนะเพคะ ยังมีองค์หญิงหนิงอันอีก…ทรงอย่าเพิ่งวู่วามนะเพคะ…คิดถึงองค์หญิงหนิงอันสิเพคะ”

จิ้งไท่เฟยเอ่ยด้วยท่าทีผวา “หนิงอันไม่กลับมาแล้ว…ไม่กลับมาแล้ว…”

“ไม่ใช่นะเพคะ!” แม่นมไช่ส่ายหัว “ที่ตอนนั้นไทเฮาทรงบอกว่าหากนางแต่งออกไปจะไม่ยอมให้กลับมาอีก…ทรงพูดด้วยอารมณ์โทสะก็เท่านั้นเจ้าค่ะ ไทเฮาทรงรักองค์หญิงขนาดนั้น หากองค์หญิงต้องการกลับมา มีหรือไทเฮาจะกล้าไล่องค์หญิงได้ลง”

จิ้งไท่เฟยพึมพำ “หนิงอันจะกลับมาอีกรึ”

“กลับมา…ต้องกลับมาได้สิเพคะ!” เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของจิ้งไท่เฟย แม่นมไช่จึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือเข้าไปกุม “ไท่เฟยเพคะ หม่อมฉันขอพระราชโองการคืนเถิดเจ้าค่ะ…หม่อมฉันจะเอาไปวางคืนกลับที่เดิมอย่างดี…ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปฝนหมึกให้แล้วให้ไท่เฟยเขียนจดหมายถึงองค์หญิงหนิงอันนะเพคะ…บอกว่าทรงคิดถึงองค์หญิงนะเพคะ…”

“เขียนจดหมาย ให้หนิงอัน …” จิ้งไท่เฟยเอ่ยอย่างเลื่อนลอย

แม่นมไช่ค่อยๆ ดึงม้วนพระราชโองการออกจากมือจิ้งไท่เฟยทีละนิด “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! เขียนจดหมายถึงองค์หญิง! เดือนนี้ยังไม่ได้เริ่มเขียนหนังสือเลยใช่ไหมเพคะ”

ท้ายที่สุดจิ้งไท่เฟยก็ยอมปล่อยมือลง

แม่นมไช่หยิบมันมาเก็บไว้อีกที่หนึ่ง

ในเมื่อที่เก่าไม่เป็นความลับอีกต่อไป ก็เลยต้องหาที่เก็บใหม่ซึ่งอยู่ใต้พื้น

แม่นมไช่เกรงว่าจิ้งไท่เฟยจะเปลี่ยน จึงรีบกุลีกุจอฝนหมึกให้ “มาเจ้าค่ะ เขียนจดหมายหาองค์หญิงนะเพคะ!”

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่นมไช่ต้องเบี่ยงเบนความสนใจของจิ้งไท่เฟยก่อน

จิ้งไท่เฟยค่อยๆ หยิบพู่กันขึ้น

นางหลับตาลง น้ำตาที่เอ่อล้นค่อยๆ รินไหลลงมา

เซียวลิ่วหลังออกไปนอกเมือง ส่วนเสี่ยวจิ้งคงไปที่จวนของสวี่โจวโจว อีกทั้งกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นก็ออกไปเรียนงานฝีมือ เวลาแบบนี้นี่แหละที่เหมาะแก่การหาอะไรทำมากที่สุดสำหรับกู้เจียว

นางจึงแอบย่องไปที่จวนติ้งอันโหว

จวนแห่งนี้ยังคงเงียบสงบตามเดิม เดิมจะมีกู้เฉิงหลินที่คอยออกมาเล่นซนอยู่บ่อยๆ แต่ตั้งแต่ท่านโหวกู้ไม่มีรถม้า และเดินจากชนบทกลับมายังเมืองหลวงก็ทำเอาขาของเขาแทบหัก พอถึงจวนก็เกิดล้มป่วยลง

กู้เฉิงหลินเลยต้องอยู่เฝ้าไข้

ซึ่งก็เป็นทางสะดวกของกู้เจียว ด้วยความที่กู้เฉิงหลินและกู้เฉิงเฟิงพักอยู่จวนเดียวกัน หนึ่งในพวกเขาหายไปคนหนึ่งก็มิใช่เรื่องแย่อะไร

กู้เจียวใช้วิชาตัวเบาจนกระทั่งเข้ามาในจวนของกู้เฉิงเฟิงได้สำเร็จ

เวลานี้ กู้เฉิงเฟิงกำลังนอนแช่อ่างและร้องเพลงอย่างสบายใจเฉิบ

แม้กู้เจียวจะไม่รู้จักเพลงที่เขาร้อง แต่ก็พอฟังออกว่าเขาร้องได้เพราะน่าดู

“เฮ้~ เมื่อห่านบินบนท้องฟ้า~ เสียงของมันประทับลงมาบนภาพวาด~”

กู้เฉิงเฟิงร้องอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เจ้าร้องเสียงผู้หญิงได้ด้วยหรือนี่” กู้เจียวโน้มตัวลงแล้วพูดข้างหูเขา

น้ำเสียงของประโยคนี้เบาบางและปกติจนดูเหมือนว่าเป็นการทักทายคนรู้จักบนถนน แต่ความจริงก็คือ กู้เฉิงเฟิงกำลังอาบน้ำ ร้องเพลงอยู่ในห้องของเขาเอง อยู่ในโลกส่วนตัวของเขา!

เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยินเสียงร้องของเขา เขาจึงเลือกเวลาที่กู้เฉิงหลินรวมถึงบ่าวทั้งหลายออกไปข้างนอก

เลยไม่ได้ทำใจมาเผื่อว่าจะถูกพบเข้าได้

อย่าเรียกว่าถูกพบเลย แบบนี้เขาเรียกว่าไร้มารยาทและสร้างความตกใจต่างหาก!

กู้เฉิงเฟิงพอได้ยินเสียงกู้เจียวก็เกิดผงะจนเกือบสำลักน้ำในอ่างตาย!

เมื่อเขาลุกขึ้นนั่งโดยจับที่ขอบถังไม้ เขาก็ดื่มน้ำที่อาบของตัวเองไปสองสามคำแล้ว!

เขาคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนถังไม้เพื่อปิดของลับของเขา “เจ้าเป็นบ้าอะไรถึงชอบโผล่มาตอนข้ากำลังโป๊อยู่! นี่เจ้าคิดอะไรกันแน่! เจ้าเป็นคนมีรสนิยมแปลกๆ รึไง”

ครั้งก่อนก็ห้องส้วม มาคราวนี้ห้องอาบน้ำ กู้เฉิงเฟิงอดคิดไม่ได้ว่ากู้เจียวจงใจมาแอบดูของลับของเขาแน่ๆ !

กู้เจียวผายมือยักไหล่ “ข้าจะไปรู้ไหมล่ะว่าเจ้ากำลังอาบน้ำอยู่ แถมยังร้องเพลงเสียงผู้หญิงระหว่างอาบน้ำเสียด้วย”

กู้เฉิงเฟิงเถียงกลับพร้อมกับใบหน้าแดงที่ร้อนผ่าว “ละครงิ้วมันก็มีทุกบทบาทนั่นแหละ ร้องถึงท่อนไหนก็ต้องปรับเสียงตามแต่ละท่อน คนอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอก!”

“ใช่ ไม่เข้าใจ”

กู้เฉิงเฟิง “…”

กู้เฉิงเฟิง “เจ้า เจ้า เจ้า…ออกไปซะ!”

“อ้อ” กู้เจียวหันหลังแล้วเปิดประตูเดินออกไป ก่อนจะยื่นหัวกลับมาอีกรอบ “เจ้าร้องเพราะดีนะ”

กู้เฉิงเฟิง “…หุบปาก!”

คราวก่อนที่พวกเขารวมหัวกันใส่ร้ายแม่นมไช่ กู้เฉิงเฟิงก็ใช้วิธีดัดเสียงกลบตัวตนของตนเอง ตอนแรกกู้เจียวก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าเป็นวิธีที่พวกโจรใช้ทำกันเป็นปกติ ที่นอกจากจะอำพรางตัวตนได้แล้ว ยังอำพรางเสียงได้อีกด้วย

แต่วันนี้พอมาฟังเขาร้องเพลง แบบนี้มันเรียกว่าเปลี่ยนเสียงต่างหากล่ะ!

“นี่ เจ้าเลียนเสียงอะไรได้อีก” กู้เจียวเอ่ยถามขณะที่กู้เฉิงเฟิงเดินออกมาจากห้องน้ำ

“ไม่มีแล้ว!” กู้เฉิงเฟิงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์

“อ๋อ”

ตอนแรกกู้เฉิงเฟิงนึกว่ากู้เจียวจะไม่ถามอะไรเขาต่อแล้ว แต่จู่ๆ “เจ้าทำเสียงน่ารักๆ ได้ไหม”

“หรือไม่ก็…เสียงขององค์หญิง”

“เสียงเด็กน้อย”

“เสียงราชินี”

กู่เฉิงเฟิงหยุดและมองไปที่กู้เจียว “ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร แต่…เจ้ากลายเป็นคนช่างพูดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”

ไหนว่ามีแค่เจ้าเณรน้อยนั่นที่พูดมากคนเดียวไม่ใช่หรือ!

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะโยนถุงเงินให้เขา

“อะไร” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม

“รางวัลให้เจ้าอย่างไรเล่า”

กู้เฉิงเฟิง “…”

ทั้งสองเดินออกมาข้างนอกอย่างเนิบๆ ด้วยความที่ท่านเหล่าโหวไม่อยู่ที่จวน ทหารยามที่อยู่ประจำจวนจึงมีไม่เยอะนัก

กู้เฉิงเฟิงกำชับกู้เจียว “ต่อไปถ้าเจ้าจะมาหาข้า อย่างน้อยช่วยส่งสัญญาณหรือไม่ก็เคาะประตูก่อนได้ไหม”

ขนาดวันนี้นางยังโผล่มาตอนเขาร้องเพลงงิ้วเลย แล้วถ้าต่อไป…

เขาไม่อยากให้ใครมาเจอในสภาพที่เขายังไม่พร้อม

“อ๋อ อย่างนั้นรึ” กู้เจียวยกมือขึ้น พลางยื่นมือเคาะประตูไปที่ห้องไม้ห้องหนึ่ง

แอ๊ดดด

ประตูห้องไม้ถูกเปิดออก

ทั้งคู่ผงะไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครบางคนอยู่ที่นี่จริงๆ และคนที่ออกมาดันเป็นกู้ฉังชิง

พวกเขาสวมชุดดำทั้งคู่พร้อมกับหน้ากากในมือ

กู้เฉิงเฟิงพอเห็นว่าเป็นพี่ชายตัวเองก็รีบใส่หน้ากากแล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง!

“ใครน่ะ” กู้ฉังชิงตะโกนถาม

แต่กู้เฉิงเฟิงหนีหายไปแล้ว

“เมื่อครู่นี้มีคนผ่านมาแถวนี้ไหม” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม

“ก็ไม่นี่…” กู้เจียวทำท่าแบมือ

เจ้านั่นไม่ใช่คนสักหน่อย

นางเปล่าพูดนะ!

กู้ฉังชิงถอนสายตาจากการมองไปรอบๆ และจ้องไปที่กู้เจียวอย่างสงสัย “มันดึกมากแล้ว ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ แล้วเหตุใดถึงใส่ชุดแบบนี้ออกมา”

กู้เจียว “คือว่า…”

กู้ฉังชิงถามต่อ “มาหาข้ารึ”

กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก “คงงั้นมั้ง”

กู้ฉังชิงคิดในใจ มาก็ได้ม้งได้มั้งอะไรกัน สรุปว่ามาหาข้าจริงๆ ใช่ไหม

“ข้าตั้งใจจะขโมยพระราชโองการนั่น” กู้เจียวตัดสินใจบอกไปตรงๆ ในเมื่อถูกจับได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกออกไปว่ามาเดินเล่นเฉยๆ ยังไงเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี

กู้ฉังชิงทำหน้าตกใจ “พระราชโองการอะไร ทำไมเจ้าต้องอยากขโมยมันมาด้วย”

กู้เจียวเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉย “พระราชโองการที่อยู่ในมือจิ้งไท่เฟย ข้าต้องการมัน”

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ที่นาง เจ้าเคยสืบเรื่องของนาง…หรือเจ้าเคยขโมยของๆ นางกันแน่!”

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ ใส่กู้ฉังชิง

“เจ้าบ้าไปแล้ว! นางมีองครักษ์หลงอิ่งคอยคุ้มกันอยู่นะ ถ้าเจ้าไปก็เท่ากับหาที่ตายชัดๆ !”

กู้เจียวยังคงกระพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไร

กู้ฉังชิงอดมีน้ำโหไม่ได้ “อันตรายเกินไป เจ้าอย่าทำอะไรแบบนี้คนเดียวนะ”

แน่นอนว่ากู้ฉังชิงไม่รู้ว่ายังมีกู้เฉิงเฟิงอีกคนด้วย

“เจ้าไปมาตอนไหน” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม

กู้เจียวทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบไปว่า “วันก่อนมั้ง”

กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว “แล้วนางรู้ตัวไหม”

กู้เจียวพยักหน้า “อื้อ”

กู้ฉังชิงสูดหายใจลึก นี่นางรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ที่รอดกลับมาได้นั้นจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีล่ะ

แล้วเพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน คิดจะไปอีกแล้วรึ

หัวใจของนางทำจากเหล็กกล้าหรือยังไงกัน ไม่กลัวบ้างเลยรึ

กู้ฉังชิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว

เขาเอามือกุมขมับ “มันเสี่ยงมากนะถ้าเจ้าไปตอนนี้ อีกทั้งข้าว่านางคงเปลี่ยนที่ซ่อนไปแล้ว…เจ้าจำเนื้อหาในนั้นได้ไหม”

กู้เจียวส่ายหัว “ข้าไม่มีเวลาอ่านมันด้วยซ้ำ”

“หรือว่าจะเป็น…พระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนที่สั่งปลิดชีวิตจวงไทเฮา”

ไม่แปลกที่กู้ฉังชิงและกู้เฉิงเฟิงพูดในทำนองเดียวกัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนั้นถูกแพร่ไปทั่วทุกสารทิศ แม้ในตอนนั้นฮ่องเต้พยายามจะกลบข่าวแล้วก็ตาม

ดังนั้น ก็คงจะมีแต่พระราชโองการนั้นที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด

“เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม การจะล้มจิ้งไท่เฟยเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ว่า…”

ความปลอดภัยของเจ้านั้นสำคัญยิ่งกว่า

แน่นอนวากู้ฉังชิงจะไม่ยอมพูดประโยคแสนซึ้งแบบนั้นออกไป

ช่วงกลางคืน ลมเริ่มพัดแรงขึ้น จนผมของกู้เจียวฟูขึ้น

กูฉังชิงพยายามใช้มือกดผมของกู้เจียวลง แต่สักพักผมของนางก็ตั้งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!

จนกู้ฉังชิงอดเผลอหัวเราะไม่ได้

เขาพลอยนึกถึงกู้เหยี่ยนไปด้วย สมกับเป็นฝาแฝด ดื้อแม้กระทั่งเส้นผม

“เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง”

กู้เจียว “อืม”

กู้ฉังชิงและกู้เจียวเดินออกจากจวนจนมาถึงถนนใหญ่ กู้ฉังชิงเรียกรถม้าให้กู้เจียว

และแล้วรถม้าก็มาจอดตรงหน้าตรอกปี้สุ่ย

“เจ้าเข้าไปก่อนสิ” กู้ฉังชิงเอ่ย

กู้เจียวล้มเลิกความคิดที่จะไปขโมยพระราชโองการลง และเดินเข้าห้องไปอย่างช้าๆ

ส่วนกู้ฉังชิงเดินไปหาจี้จิ่วอาวุโส

จี้จิ่วอาวุโสกำลังง่วนอยู่กับการดูเตาสำหรับทำผลไม้เชื่อม ใช่แล้วล่ะ ทุกวันนี้ผลไม้เชื่อมที่เอาไปให้จวงไทเฮานั้นถูกทำขึ้นด้วยฝีมือของเขาทั้งหมด!

จี้จิ่วอาวุโสเจอกู้ฉังชิงที่ห้องหนังสือ

กู้ฉังชิงอธิบายว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่

“เจ้ากำลังจะบอกว่า…จิ้งไท่เฟยมีราชโองการนั้นอยู่ในมือจริงๆ อย่างนั้นรึ แล้วไฉนนางถึงไม่ใช้มันเล่นงานจวงไทเฮาไปเลยล่ะ” จี้จิ่วอาวุโสเอามือลูบหนวด

กู้ฉังชิง “หรือว่านางจะเก็บไว้เป็นไพ่ใบสุดท้ายเพื่อใส่ร้ายจวงไทเฮาก็เป็นได้”

“นางจะใส่ร้ายจวงไทเฮาด้วยเหตุใดล่ะ ฆ่ากันตรงๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ ทั้งฝ่าบาทและจวงจิ่นเซ่อต่างก็มีอำนาจกำจัดจิ้งไท่เฟยได้ทั้งคู่ ในทางกลับกัน พอจวงจิ่นเซ่อเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อำนาจฝ่าบาทเริ่มถดถอย เช่นกันกับจิ้งไท่เฟย ดังนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่จิ้งไท่เฟยเลือกจะตัดสินใจกำจัดจวงจิ่นเซ่อก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนาง”

กู้ฉังชิงเกิดสงสัยบางอย่างขึ้น “หรือว่า ในพระราชโองการนั้นไม่ได้หมายถึงจวงไทเฮา”

จี้จิ่วอาวุโสขมวดคิ้ว “แต่ว่า ถ้าไม่ใช่จวงจิ่นเซ่อ แล้วจะเป็นใครล่ะ”

กู้ฉังชิงเองก็เริ่มปวดหัว “มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วเคยเห็นพระราชโองการนี้อยู่อีกไหม”

ทันใดนั้น ดวงตาจี้จิ่วอาวุโสก็เริ่มส่องประกาย “บางทีอาจมีก็เป็นได้”

กู้ฉังชิงทำหน้างงพร้อมกับหันไปมองจี้จิ่วอาวุโส

“องค์หญิงหนิงอันไงล่ะ”

“จะใช่นางรึ”

“นางเป็นบุตรสางของจิ้งไท่เฟย เป็นคนที่จิ้งไท่เฟยรักและทะนุถนอมมากที่สุดในโลก บางที…นางอาจเคยเห็นมันก็เป็นได้!”

“แต่นางอยู่ตั้งไกลนะท่าน ต่อให้นางเคยเห็นมันก็จริง นางก็คงไม่กลับมาที่นี่ในตอนนี้หรอก หรือต่อให้เราส่งคนไปตามถามจากนาง อาจต้องใช้เวลานานโข และยิ่งไปกว่านั้น…นางอาจไม่ยอมบอกก็ได้” กู้ฉังชิงเอ่ย

หากองค์หญิงหนิงอันเคยเห็นมันจริงๆ เหตุผลเดียวที่นางจะไม่ยอมเปิดปาก นั่นก็คือ นางไม่สามารถพูดออกมาได้

“ไม่มีคนอื่นที่รู้อีกแล้วรึ” กู้ฉังชิงถอนหายใจ

“บางที…อาจมีอีกคน” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย

“ใครกันรึ”

จี้จิ่วอาวุโสจ้องไปทางเรือนฝั่งตะวันตก “มารดาของเซียวเหิง องค์หญิงซิ่นหยาง”