บทที่ 376 เสด็จแม่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 376 เสด็จแม่

ที่เขาปักใจทายเช่นนั้น เป็นเพราะเซียวลิ่วหลังเคยบอกกับเขาว่าองค์หญิงซิ่นหยางเองก็มีองครักษ์หลงอิ่งคอยคุ้มกัน แม้จะไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลประการใดฮ่องเต้พระองค์ก่อนถึงจัดการเช่นนั้น แต่ที่แน่ๆ คือองค์หญิงซิ่นหยางจะต้องเป็นบุคคลสำคัญของฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างแน่นอน

ความจริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขารู้เรื่องนั้นจากเซียวลิ่วหลัง คงไม่อาจรับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขานั้นแน่นแฟ้นมากแค่ไหน

ผู้ที่ให้กำเนิดองค์หญิงซิ่นหยางคืออวี๋เฟย ซึ่งพออวี๋เฟยอายุได้สิบสามปีก็เป็นอันต้องด่วนจากไปก่อนด้วยโรคร้าย เวลานั้นองค์หญิงซิ่นหยางเติบโตแล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องหาคนมารับอุปถัมภ์ต่อแทน

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ได้เอ็นดูนางเป็นพิเศษเพียงเพราะเป็นเด็กกำพร้าแม่ ทรงปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด

จี้จิ่วอาวุโสส่ายหัว

ดูเหมือนยังมีเรื่องที่เขายังไม่รู้อีกมากสินะ

กู้ฉังชิงกับองค์หญิงซิ่นหยางมิใช่คนรุ่นเดียวกัน เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในตอนนั้น เลยไม่เข้าใจในสิ่งที่จี้จิ่วอาวุโสเข้าใจ

เขาแค่คิดว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะต้องรักองค์หญิงซิ่นหยางเป็นพิเศษ

“ตอนนี้องค์หญิงซิ่นหยางไม่อยู่ที่เมืองหลวง แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากที่นี่นัก ขี่ม้าเร็วไปไม่กี่วันก็น่าจะถึง…”

“เจ้าอาจไม่เจอนางก็เป็นได้” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย

กู้ฉังชิงถึงกับนิ่งเงียบ

เพราะเขารู้ว่าที่จี้จิ่วออาวุโสพูดมานั้นไม่เกินจริง

ตั้งแต่ที่เกิดโศกนาฏกรรมกับท่านโหวน้อย องค์หญิงซิ่นหยางเลยเกิดอาการใจสลาย สะเทือนขวัญอย่างหนัก จนสุดท้ายต้องระเห็ดออกจากเมืองหลวง

นางปฏิเสธที่พบเจอกับคนที่มาจากเมืองหลวงทุกคน

คิดไปคิดมา ก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ การเสียลูกชายนับได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ นางไม่ต้องการให้ใครมาตอกย้ำซ้ำเติมความเศร้าโศกของนาง

“ต้องลองดูสักตั้ง” กู้ฉังชิงเอ่ย

จี้จิ่วอาวุโสไม่ได้ค้านอะไร ทั้งสองคนก็ไม่ใช่คนเขลา หากดูเผินๆ แล้ว วิธีการที่ง่ายที่สุดคงเป็นการช่วงชิงพระราชโองการนั้นออกมาให้ได้ แต่ด้วยความที่จิ้งไท่เฟยมีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ข้างๆ นี่สิเลยทำให้ยากขึ้นกว่าเดิม

ต่อให้รู้เนื้อหาในพระราชโองการนั้นแล้ว ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะคว้ามาไว้ในกำมืออยู่ดี ที่ว่ากันว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ขอแค่พวกเขารู้ว่าในนั้นเขียนอะไรไว้ล่ะก็ พวกเขาก็จะได้รู้ว่าไพ่ใบลับของจิ้งไท่เฟยนั้นคืออะไรกันแน่

“องค์หญิงซิ่นหยางทรงพำนักอยู่ที่เขาเฟิงตูใช่หรือไม่ ดีเลย ช่วงนี้ข้าเองต้องไปแถวนั้นเหมือนกัน จะได้แวะไปทักทายองค์หญิง” กู้ฉังชิงเอ่ย

“เจ้าไปทำธุระอะไรที่เขาเฟิงตูรึ” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยถาม

“ท่านปู่วานให้ข้าไปน่ะ”

คงเป็นเรื่องลับของกองทหาร เพียงแต่ท่านปู่ไม่ได้ลงรายละเอียดให้เขาฟังมากนัก

จะว่าไปแล้วก็แปลกอยู่เหมือนกันตรงที่ครั้งก่อนท่านปู่พูดกับเขาอย่างกับกำลังจะทำเรื่อองส่งต่อมรดกอย่างไรอย่างนั้น ถึงกับมอบตราประจำยศให้พวกเรา แต่สองวันต่อมาก็ทวงคืนกลับไปเหมือนเดิม

จี้จิ่วอาวุโสทำหน้าไม่สู้ดีนัก “ข้าฝากไปจุดธูปสวัสดีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของข้าได้หรือไม่”

“ได้สิท่าน” กู้ฉังชิงไม่ได้ถามเขาต่อว่าเพื่อนเก่าแก่ที่ว่านั้นคือใคร เขาขอแค่ที่อยู่ของสุสาน แล้วเดินออกไป

พออกู้ฉังชิงเดินออกมา ก็บังเอิญเจอกับเซียวลิ่วหลังเข้าพอดี

ไม่รู้ว่าเขากลับมานานแค่ไหนแล้ว แล้วได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันไปมากน้อยเท่าไหร่ แต่ว่าเซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลอะไร ไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว

กู้ฉังชิงพยักหน้าให้เขา

เซียวลิ่วหลังทำความเคารพให้กู้ฉังชิง

หลังจากที่กู้ฉังชิงเดินออกมา สักพักจี้จิ่วอาวุโสก็เดินออกมาด้วย พอเจอกับร่างผอมซูบภายใต้แสงจันทร์รำไรของเซียวลิ่วหลัง จี้จิ่วก็ถึงกับไปต่อไม่ถูกว่าจะพูดอะไร

สักพักก็เกิดถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ที่ต้องไปหาองค์หญิงซิ่นหยางก็เพราะมีเรื่องจำเป็นที่ต้องถามนางจริงๆ …ข้าขอโทษด้วย ข้าควรจะแจ้งเจ้าก่อน”

แม้จะพูดเช่นนั้นก็จริง แต่ต่อให้พูดอีกครั้ง หรือว่าเซียวลิ่วหลังจะไม่เห็นด้วยก็ตาม อย่างไรจี้จิ่วก็ต้องบอกให้กู้ฉังชิงรู้อยู่ดี เพราะเขาต้องรู้คำตอบให้ได้

ไม่เพียงเพื่อต่อกรกับจิ้งไท่เฟยเท่านั้น แต่เพื่อความปลอดภัยของเซียวลิ่วหลังด้วย

ในเมื่อเซียวลิ่วหลังมีเอี่ยวด้วยแล้ว นั่นเท่ากับว่าเขาไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

“เพียงแต่…”

“ท่านควรพักผ่อนนะ นี่ก็ดึกมากแล้ว”

จี้จิ่วกับเซียวลิ่วหลังแทบจะเอ่ยประโยคนี้ขึ้นพร้อมๆ กัน

ความบังเอิญนี้บางทีก็น่าเอะใจเหลือเกินว่าเป็นความรู้ใจหรือใครสักคนกำลังพูดขัดใครกันอยู่แน่

จี้จิ่วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้าให้เซียวลิ่วหลัง “ได้สิ ข้าใกล้เสร็จธุระแล้ว เจ้าเองก็ไปพักผ่อนได้แล้ว ไปทำงานนอกสถานที่เหนื่อยแย่เลยสินะ รีบพักผ่อนเถอะ”

หากเป็นการสนทนาแบบที่เคยเป็นปกติแล้ว จี้จิ่วมักจะซักไซ้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปเรื่อยๆ เพราะสำหรับการทำงานในสำนักฮั่นหลิน ย่อมต้องให้ความสำคัญกับ “ความสำเร็จในหน้าที่การงาน”

แต่ในเวลาแบบนี้ ต่างคนต่างรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรต่อ

เซียวลิ่วหลังจึงเดินกลับเข้าห้องไป

หลิวเฉวียนที่เดินสวนออกมาพอดีก็เอ่ยทักทาย “ท่านเอง”

“ว่าอย่างไร” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยทัก พลางถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าเหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้”

แม้หลิวเฉวียนจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียวลิ่วหลังแล้ว แต่เขายังคงไม่เข้าใจที่จี้จิ่วต้องการจะสื่ออยู่ดี “เหตุใดท่านถึงเอ่ยเช่นนั้นหรือ”

จี้จิ่วอาวุโสโบกมือปัด “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

พอกลับถึงเรือนเซียวลิ่วหลังก็เดินง่วนเข้าไปที่ห้องหนังสือทันที เขาปิดประตูลง ไม่ได้จุดตะเกียง ขังตัวเองอยู่ในความมืดมิด

เขารู้ว่าจี้จิ่วต้องการจะถามคำถามอะไร

ทำไมเจ้าถึงไม่บอกองค์หญิงซิ่นหยางว่าเจ้ากลับมาแล้ว

การที่เขาไม่บอกกับเซวียนผิงโหวนั้นยังพอเข้าใจได้ ด้วยความที่สองพ่อลูกไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น อีกทั้งด้วยธรรมชาติยามชายสองคนเวลาอยู่ด้วยกันอาจมีตั้งแง่หรือการกระทบกระทั่งเกิดขึ้นได้ เด็กชายวัยแตกหนุ่มกับบิดาไร้ซึ่งความหนักแน่น คงไม่แปลกหากทั้งคู่จะไม่ลงรอยกัน

แต่องค์หญิงล่ะ องค์หญิงผิดอันใด

องค์หญิงซิ่นหยางทั้งรักทั้งสนับสนุนเขาขนาดนั้น นางผิดอันใดถึงไม่สามารถรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นได้!

แต่ก่อนก็แค่คิดว่าที่ไม่บอกก็เพราะไม่อยากให้นางต้องมาเกี่ยวพันกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้

แต่ในเมื่อนางมีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ข้างกายทั้งคน ใครหน้าไหนหรือจะกล้าแตะต้องนาง

เหตุใดเจ้าถึงตัดสินใจเช่นนั้น อาเหิง เพราะอะไร!

กู้เจียวเดินเข้าไปต้มน้ำสำหรับอาบที่ห้องอาบน้ำ ก่อนจะออกมาเตรียมอาหารมื้อดึก พลางอยากจะแวะไปดูเสียหน่อยว่าหนุ่มๆ ทั้งหลายกลับมาที่เรือนกันหมดแล้วหรือยัง

ขณะที่กู้เจียวกำลังเดินผ่านห้องหนังสือ แม้ประตูจะถูกปิด ไฟจะมืด แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้รู้สึกว่าต้องเปิดเข้าไปดู

แต่พอจะเดินเข้าไป จู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจ

คงเป็นสัญชาติญาณอะไรบางอย่างกระมัง

กู้เจียวผลักประตูอย่างเบามือ แทบไม่คิดเลยว่าจะต้องเคาะประตูก่อนเสียด้วยซ้ำ

แสงสลัวจากพระจันทร์เผยให้เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนที่กำลังนั่งหันหลังพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจ

กู้เจียวปิดประตูลง

นางรู้ว่าเขาออยู่ตรงนั้น นางได้ยินเสียงลมหายใจของเขา

กู้เจียวเดินย่องเข้าไปช้าๆ ก่อนจะหยุดลงบริเวณด้านหลังเขา

เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยอะไร ไม่หันกลับมามอง

กู้เจียวเองก็ไม่พูดอะไร

ไม่มีทางที่เขาไม่รู้ว่ามีใครบางคนเข้ามา ที่เขาไม่แสดงท่าทีอะไรคงเป็นเพราะเขาไม่อยากพูด

แม้กู้เจียวเป็นคนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกที่ซับซ้อนของคนมากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เลย

นางรู้ว่าเขากำลังปวดใจ ลำบากใจ มากๆ เชียวล่ะ

กู้เจียวนึกถึงตอนที่ตัวเองเสียใจเพราะท่านย่าจำตัวเองไม่ได้ ก็มีเขานี่แหละที่เข้ามากอดและคอยปลอบโยนในเวลานั้น

น่าเสียดายที่นางไม่ใช่คนรูปร่างสูงใหญ่ นางโผเข้ากอดเขาแบบที่เขาทำให้นางตอนนั้นไม่ได้ แบบที่ให้หัวของเขาซบลงที่กลางอกแบบนั้น

กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะเดินไปข้างหน้า ยื่นท่อนแขนน้อยออกไป แล้วโผเข้ากอดเขาจากด้านหลัง

แบบนี้ก็น่าจะได้เหมือนกันใช่ไหม

อย่างน้อยก็น่าจะเศร้าน้อยลงบ้างใช่ไหม

ตอนแรกกู้เจียวกอดเขาเบาๆ แต่พอลองได้แนบหน้าลงไปที่แผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ใกล้หัวใจของเขามากขึ้นหรือไม่ กู้เจียวยิ่งรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้ามาทั้งทางกายและทางใจ

นางจึงกระชับอ้อมกอดเขาให้แน่นกว่าเดิม

ท่ามกลางความมืดมิด เซียวลิ่วหลังพยายามกลั้นความรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ แล้วยกมือขึ้นมากุมมือเล็กที่วางไว้ตรงบริเวณบั้นเอวของเขา

การปลอบโยนครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับครั้งที่ผ่านๆ มา กู้เจียวโอบรับความอ่อนแอของเขาด้วยท่าทีอ่อนโยน และไม่ได้ตั้งคำถามใส่เขา พอสักพักกู้เจียวเห็นว่าอารมณ์ของเขาเริ่มคงที่แล้ว พอตัดสินใจจะเดินออกไป เซียวลิ่วหลังพยายามจะพูดอะไรบางออย่าง

กู้เจียวนิ่งเงียบไปเสี้ยวนาทีหนึ่ง

ห้วงเวลาแวบเดียวนี้ จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว ช้าก็ไม่ช้า หากเขาต้องการจะเล่าอะไรให้ฟัง ก็คงจะเอ่ยปากเรียกให้ฟังเอง แต่ถ้าเขาไม่อยากจะพูดอะไรก็ไม่เป็นไร

ซึ่งเขาเลือกอย่างหลัง

เช้าวันถัดมา กู้เจียวตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยแม่นมฝางทำอาหารเช้า

เซียวลิ่วหลังที่เดินออกมาจากห้องนอน ก็เจอกับกู้เจียวที่กำลังจัดแจงถ้วยชาม กู้เจียวพอเห็นเขาเดินเข้ามาก็เลิกคิ้วและยิ้มมุมปากให้ “อรุณสวัสดิ์”

ทุกอย่างดูปกติดีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อรุณสวัสดิ์” เซียวลิ่วหลังเองก็เอ่ยทักเช่นกัน

ไม่นาน จิ้งคงน้อยก็ลุกออกจากเตียง หลังตื่นนอนเขามุ่งหน้าไปยังสวนหลังเรือนเพื่อฝึกไทเก๊ก สักพักกู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนก็ตื่นขึ้น และเช้าอันแสนวุ่นวายก็ได้เริ่มต้นขึ้น

หลังจากเสร็จมื้อเช้า เซียวลิ่วหลังก็เดินทางไปทำงานที่สำนักฮั่นหลิน ส่วนจิ้งคงกับจี้จิ่วอาวุโสมุ่งหน้าไปยังกั๋วจื่อเจียน และแน่นอนว่ากู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นย่อมต้องไปเรียนหนังสือที่สำนักชิงเหอ

ตอนนี้ที่เรือนมีรถม้าสองคันแล้ว คันหนึ่งสำหรับกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเอาไว้ใช้ ส่วนเซียวลิ่วและอีกสองคนหลังใช้รถม้าของหลิวเฉวียน พอส่งจี้จิ่วและเจ้าตัวเล็กเสร็จ ก็ขับไปส่งเซียวลิ่วหลังที่สำนักฮั่นหลินต่อ

กู้เจียวมุ่งหน้าไปยังโรงหมอ วันนี้นางได้รับจดหมายจากเซวียหนิงเซียง

เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่พวกนางไม่ได้ตอบจดหมายหากัน พอได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย กู้เจียวถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเซวียหนิงเซียงถึงตอบจดหมายช้า

เป็นเพราะแม่สามีของเซวียหนิงเซียงถึงแก่กรรม ซึ่งเป็นช่วงที่โจวเอ้อร์จวงกลับไปได้แค่สามวันเท่านั้น

กู้เจียวจำได้ว่าเคยดูอาการให้แม่สามีของเซวียหนิงเซียง ซึ่งถือว่าเป็นโรคชราที่ร่างกายอวัยวะต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของยาแต่อย่างใด อยู่มาได้ขนาดนี้เรียกได้ว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว

แม่สามีของเซวียหนิงเซียงจากไปอย่างสงบ ขณะกำลังนอนหลับ

แคว้นเจามีประเพณีอยู่อย่างหนึ่ง คือลูกหลานควรจะอยู่เฝ้าผู้ใหญ่ในบ้านที่เสียชีวิตเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกตัญญู โจวเอ้อร์จวงเป็นแค่ทหารตัวเล็กๆ เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องทำตามประเพณีนี้ก็เป็นได้

แต่ในเมื่อเป็นงานของมารดาแท้ๆ ของตัวเอง เขาควรจะอยู่ดูแลงานทั้งหมดให้ผ่านไปด้วยดี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา แต่บัดนี้ฤดูร้อนได้ผ่านไปแล้ว ตามหลักแล้วโจวเอ้อร์จวงน่าจะกลับมาประจำการได้ตั้งนานแล้ว แต่ทว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียงมาสู่ขอเซวียหนิงเซียงถึงที่เรือน

พอกู้เจียวอ่านถึงตรงนี้ก็ถึงกับอ้าปากค้าง

แม้กู้เจียวกับเซวียหนิงเซียงจะคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ยักกะเห็นเซวียหนิงเซียงจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก่อนหน้านี้เลย

แน่นอนว่าเซวียหนิงเซียงมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้

เรื่องมีอยู่ว่า พวกเขาเริ่มนัดเจอกันตั้งแต่ช่วงที่กู้เจียวยังอยู่ที่ชนบท แถมเจ้าตัวเล็กของเซวียหนิงเซียงยังเผลอหลุดปากเรียกเจ้าสำนักหลีว่าพ่อตั้งหลายรอบ

ด้วยความที่เป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา พอเห็นเด็กคนอื่นๆ เรียกชายหนุ่มว่าพ่อ ก็เรียกใครเขาว่าพ่อไปทั่ว

แน่นอนว่านี่คือความเข้าใจของกู้เจียวฝ่ายเดียว

เซวียหนิงเซียงเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก แค่บอกว่าภายหลังเจ้าหนูได้เจอกับเหล่าฮูหยินหลี ด้วยความเลอะเลือนเพราะอายุมากก็เลยมองเจ้าหนูเป็นหลานของตัวเองไปโดยปริยาย

เจ้าสำนักหลีเป็นคนดี มีความผูกพันกับเซียวลิ่วหลัง แถมยังช่วยเหลือเซวียหนิงเซียงไว้หลายเรื่อง เซวียหนิงเซียงทนเห็นคนเฒ่าคนแก่สะเทือนใจไม่ได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเหล่าฮูหยินหลีคิดว่าเซวียหนิงเซียงเป็นสะใภ้ของตัวเองไปแล้วจริงๆ …

เจ้าสำนักหลีพยายามอย่างหนักไม่ให้เซวียหนิงเซียงเข้าใจผิด เซวียหนิงเซียงเองก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก แต่สุดท้ายดันมาขอแต่งงานเสียอย่างนั้น…

กู้เจียวรู้ได้ในทันทีว่าหายนะต้องมาเยือนแน่ๆ

และเป็นไปตามคาด เซวียหนิงเซียงเขียนเล่าว่าเจ้าสำนักหลีกับโจวเอ้อร์จวงทะเลาะชกต่อยกันหนักมาก

โจวเอ้อร์จวงเป็นสายบู๊ขณะที่เจ้าสำนักหลีมาทางบุ๋น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่างานนี้ใครเสียเปรียบ

กู้เจียวรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าโจวเอ้อร์จวงนั้นมีใจให้เซวียหนิงเซียง ส่วนเจ้าสำนักหลีกู้เจียวก็เพิ่งมารู้เอาตอนนี้นี่ล่ะ

นี่คงอธิบายได้ว่าทำไมพักหลังเซวียหนิงเซียงถีงได้เขียนหนังสือคล่องขึ้น ไม่ต้องใช้ให้คนมาเขียนแทนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ตอนนี้เซวียหนิงเซียงอยู่ในช่วงลำบากใจสุดๆ ถึงขั้นว่าอยากบวชเป็นชีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ว่าทำไม่ได้เพราะนางยังต้องดูแลเจ้าหนูอยู่

กู้เจียวพอจะเข้าใจหัวอกของเซวียหนิงเซียงบาง ในยุคสมัยแบบนี้ที่ทุกคนยังไม่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากนัก เซวียหนิงเซียงเป็นแม่หม้าย การแต่งงานสองครั้งเรียกได้ว่าสร้างความหนักหนาสาหัสให้ชีวิตของนางพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหลี หรือแม้แต่ชายชาติทหารอย่างโจวเอ้อร์จวงก็ตาม

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูน่าเป็นห่วงทั้งสองตัวเลือก

เว้นเสียแต่ว่านางจะยอมแบกรับคำนินทาทั้งหลายแล้วเป็นแม่หม้ายต่อไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่านางทนต่อไปไม่ไหวแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีความคิดที่จะแต่งงานอีกครั้งหรอก

ช่วงท้ายของจดหมาย เซวียหนิงเซียงได้พูดถึงภูเขาแหล่งวัตถุดิบทำยาของกู้เจียว ซึ่งวัตถุดิบทั้งหลายก็ได้ถูกปลูกลงบนพื้นที่ตามคำแนะนำของนายอากรหลัวแล้ว

กู้เจียวเคาะนิ้วลงบนโต๊ะทีสองที ก่อนจะคว้าจดหมายแล้วมุ่งหน้าไปยังวังหลวง