บทที่ 377 แม่ลูกผูกพัน

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 377 แม่ลูกผูกพัน

กู้เจียวไม่ถนัดด้านการจัดการความรู้สึกเท่าใดนัก แต่นางจำได้ว่าท่านย่าเอ็นดูเซวียหนิงเซียง แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังจำเซวียหนิงเซียงได้เหมือนแต่ก่อนไหม

“แม่นางกู้เจียวเดินทางมาถึงแล้ว!”

เหล่าข้าหลวงในตำหนักเหรินโซ่วถวายความเคารพให้กู้เจียว

“ไทเฮาอยู่ไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม

“อยู่ขอรับ เพิ่งทรงงานเสร็จ” ข้าหลวงเอ่ย “หนิงอ๋องก็อยู่ด้วยขอรับ”

เอ๋

หนิงอ๋องกลับมาแล้วรึ

ตั้งแต่ที่กู้เจียวได้เข้าออกวังบ่อยๆ ก็ได้ข่าวคราวหลายเรื่องโดยที่ไม่ต้องตามสืบ วันก่อนกู้เจียวได้ยินข่าวว่าหนิงอ๋องออกราชการนอกเมืองเพื่อไปปราบกลุ่มโจรที่อยู่ทางตอนเหนือ

จะบอกว่าไปปราบโจรก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือไปสืบข่าวในค่ายทหาร แคว้นเฉินกระสับกระส่ายอีกครั้ง และแอบวางกองทหารจำนวนมากไว้ที่ชายแดนอย่างเงียบๆ

เนื่องจากเป็นเรื่องการเมือง กู้เจียวเองก็ไม่ได้สนใจนัก ก็เลยไม่ขอฟังต่อและตรงไปที่ชิงช้าเพื่ออาบแดด

กู้เจียวเป็นไม่กลัวแดด และดูเหมือนร่างนี้ของนางไม่ใช่ประเภทที่ว่าผิวคล้ำแดดง่ายเสียด้วย

ขณะที่โล้ชิงช้า กู้เจียวก็แอบคิดว่าเมื่อใดจะได้คิดบัญชีกับจิ้งไท่เฟย อีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายท่านย่ามานานนับหลายปี และแม้ว่าจะไม่สามารถดึงผู้หญิงคนนั้นลงมาจากบัลลังก์ได้ในทันที แต่อย่างน้อยก็ต้องมีเก็บค่าดอกเบี้ยกันเสียหน่อย

ขณะที่กู้เจียวกำลังใช้ความคิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง “เสด็จอารึ”

“หืม” กู้เจียวพอได้ยินเสียงก็รีบใช้เท้าหยุดชิงช้าลง

พอกู้เจียวหันกลับไป ก็พบร่างชายหนุ่มรูปงามกำลังเดินมาทางนี้ “หนิงอ๋องรึ”

หนิงอ๋องทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสติกลับคืนมา และยิ้มเล็กน้อยเชิงขอโทษ “ขออภัย ข้าจำคนผิด”

ดวงตาของเขากวาดไปมาบนร่างของกู้เจียว ก่อนอุทาน “ช่างคล้ายกันเหลือเกิน”

กู้เจียวหน้าสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง ก็พบว่าวันนี้นางไม่ใส่ชุดที่ปกติเคยใส่ แต่เป็นชุดที่ท่านย่ายกให้เปลี่ยนตอนที่กู้เจียวทำเสื้อผ้าเปื้อน

ที่หนิงอ๋องจำผิดคงเป็นเพราะชุดนี้หรือเปล่า หรือว่าจะ

ที่จริงกู้เจียวเองก็ไม่เคยถามท่านย่าเหมือนกันว่าเหตุใดที่ตำหนักมีเสื้อผ้าหญิงสาวเยอะขนาดนั้น ตอนแรกก็คิดว่าท่านย่าเตรียมไว้ให้เผื่อกู้เจียวเองเสียอีก

ดูๆ แล้ว สงสัยจะไม่ใช่แบบนั้นสินะ

นั่นสิ ต้องไม่ใช่แน่ๆ

แค่แนวเสื้อผ้าก็ไม่ใช่ล่ะ

หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับกับหน้าที่การงาน กู้เจียวจะไม่ถามไถ่ให้มากความ

ยกตัวอย่างเวลาแม่นางเหยาตัดเย็บเสื้อให้ ก็จะดูความชอบของกู้เจียวเป็นหลัก แต่ที่จริงกู้เจียวก็ไม่ใช่คนเรื่องมากอะไรขนาดนั้น มีอะไรให้ใส่ก็ใส่

ไม่ว่าชุดไหนที่มีในตู้ กู้เจียวจะหยิบมาใส่หมด และบังเอิญวันนี้กู้เจียวดันเลือกชุดนี้ขึ้นมาใส่พอดี

มีครั้งหนึ่งหนิงอ๋องเคยช่วยกู้เจียวไว้ตอนที่รุ่ยอ๋องเฟยถูกโจมตี ซึ่งตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้จักมักคุ้นกันดี แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะตอนนี้ได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ของกู้เจียวและไทเฮามาด้วยหรือไม่ หรือไม่ก็การแต่งตัวของกู้เจียวในวันนี้ทำทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย เลยนึกครึ้มเดินเข้ามาทักกู้เจียวก่อน

“มีใครเคยบอกเจ้าไหม ว่าเจ้าคล้ายท่านอาหนิงอันมาก” เขาถาม

“หมายถึงองค์หญิงหนิงอันหรือ” กู้เจียวส่ายหน้า “ก็ไม่นะ”

หนิงอ๋องหัวเราะหนึ่งที “ท่านอาออกเรือนไปตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้พบเจอนางอีกเลย แต่นางดีกับข้ามากจนข้าจำนางได้ขึ้นใจ”

“ข้าหน้าคล้ายก้บนางหรือ” กู้เจียวสงสัย

น่าคิดแล้วสิว่าร่างนี้ของกู้เจียวตกลงเป็นใครมาจากไหนกันแน่

“พวกท่านไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น…” หนิงอ๋องเอ่ย พลางมองไปที่ปานแดงบนหน้าของกู้เจียว “ท่านอาก็มีแผลเล็กๆ ตรงข้างแก้มนี้เหมือนเจ้า”

กู้เจียวยกมือขึ้นมาลูบที่รอยปานแดงของตัวเอง

หนิงอ๋องจ้องมองที่ใบ้หน้ากู้เจียวให้นานอีกนิด “คราวก่อนที่จับโจร ข้าไม่ทันสังเกต พอมาเห็นใกล้ๆ …”

คำก็หนิงอัน สองคำก็หนิงอัน สงสัยจะคล้ายกันจริงๆ

ปกติถ้าถูกชมว่าเหมือนเจ้าหญิงก็น่าจะมีปฏิกิริยาเชิงบวกตอบกลับ เพราะนั่นหมายความว่าคนถูกชมมีลักษณะสวยสง่าคล้ายกับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งวังหลวง

แต่กู้เจียวกลับมีท่าทีนิ่งเฉย

ไม่ได้ดีใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีใจเสียทีเดียว

“ข้าได้ยินเรื่องของไทเฮาแล้ว ข้ายังไม่ได้ขอบคุณแม่หญิงและครอบครัวที่คอยดูแลไทเฮามาโดยตลอดเลย หากพวกท่านต้องการอะไร มาหาข้าที่ตำหนักหนิงอ๋องได้เลยนะ”

ไม่ว่าจะครั้งก่อนที่เขาเคยออกโรงช่วยเพราะเห็นแก่รุ่ยอ๋องเฟยหรือเพราะยศค้ำคอก็ตามตา สำคัญคือกู้เจียวรอดชีวิตมาได้เพราะเขา

กู้เจียวพยักหน้าให้ “ได้สิ”

หนิงอ๋องยิ้มสรวลอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ตามนี้นะ จริงสิ ข้าได้ยินไทเฮาบอกว่าฝีมือทางการหมอของเจ้านั้นยออดเยี่ยม ไว้เจ้ามาตรวจที่ตำหนักบ้างได้หรือไม่”

“ข้าเก็บค่าตรวจแพงนะท่าน” กู้เจียวเอ่ย

หนิงอ๋องไม่คาดคิดว่ากู้เจียวจะตอบกลับเช่นนี้ คนทั่วไปมักจะรู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถไปที่วังเพื่อรักษาพยาบาล และพวกเขาจะรู้สึกเป็นเกียรติมากที่พวกเขาจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษา พอเจอคำตอบกู้เจียวเข้าไปหนิงอ๋องถึงกับไปต่อไม่ถูก

สักพักหนิงอ๋องก็นึกคำโต้ตอบออกได้สักที “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

“ถ้าสะดวกแล้วข้าจะวานคนส่งสาส์นไปให้” กู้เจียวเอย

“เช่นนั้นก็ตามนี้ ข้ายังมีธุระต้องสะสาง ขอลาล่ะ” หนิงอ๋องทำหน้ายิ้มแย้มก่อนจะเดินออกไป

กู้เจียวเดินไปที่ห้องหนังสือของท่านย่า

จวงไทเฮากำลังทรงงาน พอเห็นกู้เจียวเดินเข้ามาก็ทำเป็นฮึดฮัดใส่

กู้เจียวชินกับท่าทีของท่านย่ามาแต่ไหนแต่ไร จึงเดินไปยื่นจดหมายของเซวียหนิงเซียงให้ใกล้ๆ

“อะไรน่ะ” จวงไทเฮาเอ่ยถาม

“จดหมายของเซวียหนิงเซียง ยังจำนางได้ไหม”

จวงไทเฮาทำหน้าครุ่นคิด

“แม่ของเจ้าลูกหมาไง” กู้เจียวย้ำ

พอเอ่ยถึงเจ้าลูกหมา ไทเฮาเริ่มจำได้รางๆ ว่าเจ้าลูกหมาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ให้ลูกกวาดลูกเดียวก็เชื่อฟังทั้งวัน ไม่ร้องไม่ดื้อไม่ซน เลี้ยงง่ายกว่าจิ้งคงเยอะ!

และแล้วไทเฮาก็จำเซวียหนิงเซียงได้

หลักๆ ที่ไทเอาจำได้ก็เพราะเซวียหนิงเซียงเป็นคนทำกับข้าวอร่อยในขณะที่ลิ่วหลังทำอาหารได้แย่มาก วันไหนที่กู้เจียวไม่อยู่เรือน นางมักจะเรียกเซวียหนิงเซียงมาทำอาหาร

“นางทำอาหารเก่งนะ” จวงไทเอาเอ่ย

“ลองอ่านจดหมายนี่ก่อนสิ” กู้เจียวเอ่ย

จวงไทเฮาทำหน้ารังเกียจลายมือของเซวียหนิงเซียงเพราะมันช่างอัปลักษณ์และอ่านยากเหลือเกิน แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของกู้เจียว นางจึงพยายามทำเป็นอ่านให้จบ

“อื้อหือ” จวงไทเฮายักคิ้วร้องอุทาน “ไม่เบาเลยนะเซียงเซียง”

ปฏิกิริยาของท่านย่ามักจะเป็นแบบนี้ตลอด

กู้เจียวนั่งลงตรงข้ามไทเฮา พลางทำตากระพริบปริบๆ ใส่ “อย่างนั้นรึ เช่นนั้นท่านย่าว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี”

จวงไทเฮาไม่เอ่ยอะไร แต่ท่าแบมือราวกับจะพูดว่า’ไหนล่ะของแลกเปลี่ยน’

“อะไรหรือ” กู้เจียวทำเป็นไม่รู้

จวงไทเฮาเริ่มเสียงแข็ง “อย่ามาเล่นละครกับข้า!”

รู้ดีจริงๆ

“ก็ได้” กู้เจียวถอนหายใจก่อนจะล้วงผลไม้อบแห้งขึ้นมา นับให้ได้ทั้งหมดห้าลูกแล้วยื่นใส่ในมือจวงไทเฮา ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ “เหลือแค่นี้แหละ แทบจะไม่เหลือส่วนของจิ้งคงล่ะนะ”

จวงไทเฮาแทบจะสำลักกับทักษะการแสดงที่เกินจริงของกู้เจียว ดีนะที่แม่เด็กคนนี้ไม่ได้มาใช้ชีวิตในวัง คงมาทนสังคมละครน้ำเน่าแบบนี้ไม่ได้แน่นอน

ทว่า

จวงไทเฮากวาดตาไปที่กำหมัดของกู้เจียว ก่อนจะครุ่นคิดอีกรอบ

จะว่าไปแล้ว นางอาจจะไม่ได้เล่นละครอยู่ก็เป็นได้ ดูหมัดนั่นสิ แค่หมัดเดียวก็น่าจะพอทำให้ฮ่องเต้สลบไปหลายวันเลยล่ะ

จวงไทเฮารีบรับผลไม้อบแห้งมา แล้วบอกอกับกู้เจียว “เรื่องนี้จะไปยากอะไร นางชอบใครก็แต่งกับคนนั้นสิ”

แต่ปัญหามีอยู่ว่า

เซวียหนิงเซียงไม่ได้บอกว่านางชอบใครนี่สิ

“เช่นนั้นให้ข้าตอบจดหมายนางดีไหม”

“ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้นางไม่มีทางมาเขียนในจดหมายหรอก” พูดจบ จวงไทเฮาก็เรียกจวงไทเฮาเข้ามา “ประเดี๋ยวเจ้าส่งคนไปที่โยวโจวทีนะ”

หลังจากที่รับคำสั่งเสร็จ ฉินกงกงก็รีบเดินออกไป

นี่สินะ ความสะดวกสบายที่มาจากอำนาจ ไม่ว่าวิธีการหรือความเร็วในการแก้ปัญหา แม้จะง่ายและหยาบก็ตาม

เมื่อท่านย่ารับช่วงต่อ กู้เจียวก็ไม่ต้องกังวล แค่สงสัยว่าสุดท้ายหนิงเซียงจะเลือกใครแต่งงานกับใคร

ขณะที่กู้เจียวกำลังคิดเพลินๆ อยู่ เสียงตะโกนจากขันทีก็ดังขึ้นจากนอกประตู ฮ่องเต้กำลังเสด็จมา

ทรงมาเพื่อเล่นละครกับไทเฮาอีกสินะ

แม้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้จะค่อยๆ รังเกียจจิ้งไท่เฟย แต่เขาจะยังไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางเร็วนัก ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดอยู่เสมอว่าฆาตกรตัวจริงยังอยู่ในความมืดและยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ

ส่วนกู้เจียวที่รู้ความจริงทั้งหมด นอกจากจะเป็นคนออกโรงสืบความจริงแล้ว ยังถลำลึกจนเผลอทำเท้าตัวเองเจ็บอีกด้วย

ช่างเถอะ เล่นละครไปก่อนก็ไม่เสียหาย

ท่านย่าผู้ที่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้นั้นถูกมอมยามาหลายปี ใครจะไปรู้ล่ะว่าลึกๆ แล้วนางอาจจะยังโหยหาความสัมพันธ์แม่ลูกอย่างในอดีตอยู่

กู้เจียวยังไม่บอกความจริงเรื่องยาให้ท่านย่าฟัง

“วันนี้เสด็จแม่จะออกไปเดินที่สวนด้วยกันหรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

แสดงได้แย่มาก!

จวงไทเฮากลอกตาหนึ่งที นางไม่ได้ออกจากตำหนักโซ่ว เพราะไม่อยากเจอหน้าเขา “ไปสิ ทำไมไม่ไปล่ะ แต่ว่า…”

ท่านย่าตั้งใจลากเสียงยาวและหันมาทางกู้เจียวอย่างจงใจ

กู้เจียวรู้ได้ในทันทีว่านางต้องการอะไร

หึ ผลไม้อบแห้งสินะ

รู้แล้วน่า!

ขณะเดียวกัน กู้เจียวก็กำลังสังเกตฤทธิ์ยาที่ฮ่องเต้ได้รับว่าถึงขั้นไหนแล้ว ท่านอาจารย์หนานเคยว่าไว้ว่า หากผู้ที่กินยาไปมีท่าทีต้องการตัวนำยาในปริมาณมากแปลว่าฤทธิ์ของยาเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว

กู้เจียวไม่แน่ใจว่าจะเป็นยาตัวไหนที่เริ่มอ่อนกำลังก่อน จะเป็นยาสีขาวของจิ้งไท่เฟยหรืออว่ายำดำของท่านย่า หรือไม่ก็ทั้งคู่

กู้เจียวส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาแน่ๆ ไปให้ท่านย่า

จวงไทเฮาพอเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นพลางมองผลไม้อบแห้งห้าลูกตาลุกวาว “ไปกันเถอะ”

ฮ่องเต้ “…”

ฮ่องเต้นึกในใจ นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม เหตุใดเมื่อครู่นี้จวงไทเฮามองมาทางนี้แล้วน้ำลายไหลไปด้วย

ทั้งสองคนไม่ติดอะไรถ้ากู้เจียวจะเดินตามไปด้วย

ฉินกงกงและเว่ยกงกงก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่พวกพยายามทำตัวไร้ตัวตน ไม่เหมือนกับกู้เจียวซึ่งคอยประกบจวงไทเฮาระยะประชิด

ทั้งคู่เดินเท้ามาถึงยังสวนดอกไม้

วันนี้อากาศไม่เลว มีผู้คนออกมาเดินไม่น้อย

ที่บังเอิญสุดๆ คือจิ้งไท่เฟยก็ออยู่ด้วย

จวงไทเฮาเข้าสู่บทบาทของตัวเองทันทีที่ออกจากตำหนัก นางแทบไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงสักนิดทีเจอจิ้งไท่เฟย ขณะที่ฮ่องเต้ที่อยู่ข้างๆ กลับยืนตัวแข็งทื่อเมื่อเจอกับจิ้งไท่เฟย

ทรงแสดงอาการลนลานราวกับถูกจับเท็จได้

จิ้งไท่เฟยมองไปที่ฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่าเขาไม่ควรทำเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เสด็จแม่คือคนสำคัญของเขาที่สุด แต่เขากลับเมินเสด็จแม่แล้วพาจวงไทเฮามาเดินที่สวนแทน

แต่ว่า

คราวนี้กู้เจียวเริ่มจับทางได้แล้วว่ายาสีดำเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ดูจากท่าทางของฮ่องเต้แล้วทรงยังไม่จงเกลียดจงชังจิ้งไท่เฟยมากเท่าใดนัก กลับกัน ทรงรู้สึกผิดและทำตัวไม่ถูกมากกว่าด้วยซ้ำ

กู้เจียวเดาว่านี่จะต้องเป็นแผนของจิ้งไท่เฟยแน่นอน นางจึงต้องการออกมาดูด้วยตาของนางเองว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และจวงไทเฮาไปถึงไหนแล้ว และนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับแผนการต่อไปของนางมากที่สุด

จวงไทเฮายังไม่รู้ตัว แค่เล่นละครตามน้ำไปเพื่อจะได้ไม่เป็นขี้ปากของใครต่อใคร

จิ้งไท่เฟยเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อให้ฝ่าบาท “หงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปรึ ไม่สบายตรงไหน มา มานั่งพักก่อน”

“ข้าไม่เป็นไร” ฮ่องเต้ไม่ได้ทำท่าหลบแต่อย่างใด

แววตาของจิ้งไท่เฟยเปลี่ยนไปในทันใด

“เอ๋ เสด็จแม่ของท่านก็มาด้วยหรือ” จวงไทเฮาทำท่าราวกับเพิ่งจะเจอจิ้งไท่เฟย น้ำเสียงและดวงตาของนางไร้ซึ่งพิรุธใดๆ “ฉินกงกง ไปเชิญจิ้งไท่เฟยมาที่นี่”

“ขอรับ!”

ฉินกงกงจึงไปเชิญจิ้งไท่เฟยมา

ขนาดแม่นมไช่ยังรู้ตัวเลยว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก แต่กับคนบางคนที่คิดว่าตัวเองทำอะไรก็ชนะมาตลอดอาจไม่คิดเช่นนั้น สุดท้าย จิ้งไท่เฟยก็ตกลง

ณ ศาลาสวน

มีเก้าอี้ทั้งหมดสี่ตัว จวงไทเฮาและกู้เจียวนั่งประกบฮ่องเต้ทั้งซ้ายและขวา ขณะที่จิ้งไท่เฟยต้องไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของฝ่าบาท

“หงเอ๋อร์ ผอมลงเยอะเลย ทานให้เยอะกว่านี้หน่อยสิ” จวงไทเฮาเอ่ยพลางยื่นของว่างซึ่งทำจากปูให้ฮ่องเต้

“ฝ่าบาทไม่เสวยปูเพคะ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยขึ้น

จวงไทเฮานึกในใจ ลืมเสียสนิทเลยว่าเจ้าเด็กนี่เลือกกินสุดๆ

“ตอนนี้กินได้แล้ว ใช่ไหมฝ่าบาท!” จวงไทเฮาพยายามแก้สถานการณ์

จวงไทเฮาส่งรอยยิ้มแต่ดวงตาแข็งทื่อแกมข่มขู่ให้ฝ่าบาท

ส่วนฮ่องเต้ขมวดคิ้วพลางหยิบของว่างด้วยความสงสัย

จวงไทเฮาทำผ้าเช็ดหน้าตกพื้น แถมยังเผลอเหยียบซ้ำอีก เลยทำท่าก้มลงเก็บ

จากนั้นจวงไทเฮาก็ใช้ผ้านั้นเช็ดปากให้ฮ่องเต้ “ไอ้หยา ทำตัวเป็นเด็กๆ เลยนะ กินข้าวเลอะปากเต็มไปหมด มา เดี๋ยวข้าเช็ดให้”

ฮ่องเต้ทำหน้าย่นพลางคิด เดี๋ยวเถอะ อย่าคิดนะว่าข้าไม้รู้ว่าผ้าผืนนั้นตกพื้นและถูกเหยียบไปแล้วน่ะ!

ทั้งสองส่งสายตาอาฆาตใส่กัน แต่สำหรับจิ้งไท่เฟยแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย

พวกเขาดูสนิทสนมกันอย่างเห็นได้ชัด!

ตอนนี้จิ้งไท่เฟยเริ่มสับสนแล้วว่าที่จริงพวกเขากำลังเล่นละครหรือว่ามันคือเรื่องจริงกันแน่

ความรู้สึกอิจฉาริษยาถาโถมเข้ามากลางใจของจิ้งไท่เฟยจนผ้าที่กำอยู่ในมือแทบจะฉีกขาดรุ่ยแล้ว!