บทที่ 453 เคราะห์กรรมแห่งโลกพันอนันต์ ล้างบางเหล่าอริยะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 453 เคราะห์กรรมแห่งโลกพันอนันต์ ล้างบางเหล่าอริยะ

เมื่อได้รู้ว่าอริยะจินอันที่ก่อตั้งเผ่าสวรรค์ขึ้นคืออริยะแห่งนิกายเจี๋ย ในใจของจิ่งเทียนกงก็พลันตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ยากที่จะสงบใจได้ในเวลาอันสั้น

เขาไม่ได้ตื่นเต้นยินดี กลับมีแต่ความรู้สึกตื่นตระหนกหวาดผวา

เขาคือผู้รักษาการแทนเจ้านิกายเจี๋ย ทว่ากลับไม่รู้เรื่องนี้เลย

นี่หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ

หมายความว่าเขาเป็นเพียงตัวหมากของนิกายเจี๋ยน่ะสิ

ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่า นิกายเจี๋ยทั้งหมดที่อยู่ในแดนเซียนล้วนแล้วแต่เป็นเพียงตัวหมากทั้งสิ้น

ยิ่งคิดอารมณ์ของจิ่งเทียนกงก็ยิ่งสลับซับซ้อน

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมา “เรื่องที่จะพูดมีเท่านี้ เจ้าจัดการตัวเองให้ดีเถิด”

จากนั้นความฝันก็พลันสลายตัวลง

ส่วนจิ่งเทียนกงจะคิดอย่างไรนั้น หานเจวี๋ยไม่สนใจ

ค่าความประทับใจที่จิ่งเทียนกงมีต่อเขานั้นสูงมาก ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะขายเขาแน่ หรือต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่เป็นไร

อย่างไรหานเจวี๋ยก็ได้ชี้ทางสว่างให้เขาแล้ว จากนี้ไปจะสามารถรอดพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว

หานเจวี๋ยเริ่มลังเลว่าตนควรไปเข้าฝันจักรพรรดิสวรรค์หรือไม่

วิวัฒนาการดูก่อนแล้วกัน!

‘ข้าอยากรู้ว่ามีอริยะอยู่ใกล้ๆ จักรพรรดิสวรรค์หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[มี]

หานเจวี๋ยถอนหายใจ คงได้แต่ยอมแพ้แล้ว

สิ่งที่สามารถทำเพื่อจักรพรรดิสวรรค์ได้เขาก็ทำไปแล้ว หากจักรพรรดิสวรรค์สิ้นชีพจริงๆ หานเจวี๋ยก็ทำได้เพียงพยายามประคับประคองวังสวรรค์ขึ้นมาอีกครั้งหลังมหาเคราะห์สิ้นสุดลง เพื่อตอบแทนน้ำใจของจักรพรรดิสวรรค์

หานเจวี๋ยสงบสติอารมณ์ลง และเริ่มบำเพ็ญต่อ

รอบรรลุเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

หลังจากเข้าสู่สภาวะบำเพ็ญ หานเจวี๋ยก็หลงลืมเวลาไปอีกครั้ง

เมื่อตบะของเขาสูงส่งลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่เขามีต่อมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

แต่เขาก็ไม่กล้าหมกมุ่นอยู่กับมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดมากเกินไป เพราะเขาเกรงว่ามรรคนี้จะถูกผู้ทรงพลังท่านอื่นครอบครองเอาไว้แล้ว รอจนเขารวบรวมชิ้นส่วนมหามรรคได้ครบเก้าชิ้นแล้ว ค่อยสรรค์สร้างมหามรรคของตนขึ้นมา

ขาดเพียงชิ้นเดียวก็จะครบเก้าชิ้นแล้ว!

เวลาผ่านไปรวดเร็วราวติดปีก

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ถึงแม้สำนักซ่อนเร้นจะสงบสุข แต่แดนเซียนกลับกลายเป็นนรกโลกันตร์ไปเสียแล้ว

เขาเขียวธารมรกตพังราบเป็นหน้ากลอง ทะเลไร้ขอบเขตกลายเป็นทะเลโลหิต ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยซากศพเหลื่อนกลาด ดูหดหู่น่าหวาดผวา

แรงกรรมในฟ้าดินที่มากมายไร้สิ้นสุดแผ่ขยายไปทั่ว ภูตผีนับไม่ถ้วนร่อนเร่อยู่ในแดนเซียน

บางส่วนก็มาจากแดนชำระบาปเก้าขุม บางส่วนก็มาจากสิ่งมีชีวิตที่สิ้นชีพในมหาเคราะห์

ภูตผีเร่ร่อน แดนสวรรค์กลายเป็นยมโลกไปเสียแล้ว

เจ็ดสิบปีผ่านไป

ตบะของหานเจวี๋ยก้าวหน้าไปมาก

สวินฉางอันและหานปาเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ส่วนคนที่เหลือก็ล้วนบรรลุระดับเซียนทองไท่อี่แล้ว

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป การที่สมาชิกทั้งหมดจะบรรลุระดับจักรพรรดิก่อนที่มหาเคราะห์จะสิ้นสุดลงก็มิใช่เรื่องยาก

พลังวิญญาณภายในอาณาเขตเต๋ามากมายล้นเหลือ อยู่ในระดับที่เหนือกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ประกอบกับมีหานเจวี๋ยคอยแสดงธรรมอยู่เป็นประจำ ต่อให้เปลี่ยนเป็นสุกรมาอยู่ที่นี่ ก็สามารถบำเพ็ญเซียนได้เช่นกัน

ทุกคนที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ล้วนถูกหานเจวี๋ยเรียกเข้าไปในถ้ำ ชี้แนะสั่งสอนแบบตัวต่อตัวโดยแต่ละคนจะได้เรียนรู้พลังวิเศษอันยิ่งใหญ่อย่างน้อยคนละหนึ่งอย่าง

หลังจากเรียนรู้พลังวิเศษอันยิ่งใหญ่แล้ว พลังของศิษย์เหล่านี้ก็เริ่มที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด

บางครั้งพลังวิเศษก็ไม่จำเป็นต้องมีมากมาย มีกระบวนท่าปลิดชีพสักท่าหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

ต่อให้พลังวิเศษมากมายแค่ไหน ถ้าไม่สามารถทำลายศัตรูได้ ก็ล้วนแต่เสียทั้งเปล่าทั้งสิ้น

วันนี้หานเจวี๋ยออกจากถ้ำอีกครั้ง เพื่อแสดงธรรมแก่ชาวสำนักซ่อนเร้น

การแสดงธรรมกินเวลานานสิบปี หากแต่ผ่านไปราวกับเพียงชั่วพริบตา

หลังจากแสดงธรรมเสร็จสิ้น เหล่าศิษย์ยังคงจมอยู่ในภวังค์ หานเจวี๋ยจึงขึ้นไปบนต้นฝูซัง เขาอยากตรวจดูสถานการณ์ของวังวนมิติ

หม่าเชาที่เฝ้ายามอยู่หน้าวังวน นั่งเข้าฌานอยู่บนต้นไม้ ท่าทางราวกับพุทธองค์รูปหนึ่ง ไม่ไหวติงดุจศิลา หนักแน่นดั่งขุนเขา

เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา เนื่องจากในระบบความคิดของเขาไม่มีเรื่องพิธีรีตองเหล่านี้เลย เขามีภารกิจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการเป็นองครักษ์พิทักษ์อาณาเขตเต๋า เขาถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญด้วยซ้ำ

หานเจวี๋ยอยากรู้ยิ่งนักว่าสถานการณ์ของโลกพันอนันต์ที่อยู่อีกด้านของวังวนเป็นอย่างไร

โลกพันอนันต์แดนมรรคาสวรรค์อีกฟากฝั่งหนึ่ง แม้จะอยู่ห่างไกลจากมหาเคราะห์มรรคาสวรรค์ แต่จะต้องมีมหาเคราะห์ในแบบของตัวเองอยู่อย่างแน่นอน

ควรส่งคนไปตรวจสอบสักหน่อยดีหรือไม่นะ

หากทำเช่นนี้แดนมรรคาสวรรค์ของโลกพันอนันต์จะตรวจจับได้หรือไม่

ช่างเถอะ

ก่อนที่จะมีพลังพอต่อกรกับอริยะได้ หานเจวี๋ยยังคงต้องพยายามไม่ไปหาเรื่องยั่วยุเหล่าอริยะ

เวลานี้เอง จู่ๆ มู่หรงฉี่ก็เข้ามาใกล้หานเจวี๋ย

“อาจารย์ โลกนั้นมีบางอย่างแปลกประหลาดขอรับ” มู่หรงฉี่กล่าว

ศิษย์ที่เหลือยังคงอยู่ในสภาวะตระหนักมรรค เขาสามารถเรียกสติกลับมาได้เป็นคนแรก นับว่าไม่ธรรมดาเลย

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้”

มู่หรงฉี่ตอบ “ลางสังหรณ์ขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ว่ามีพลังลึกลับแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเคลื่อนผ่านวังวนแห่งนี้ เพียงแต่ไม่ได้ข้ามเข้ามา”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

หรือว่าเกาะสำนักซ่อนเร้นจะถูกจับตามองเสียแล้ว

หานเจวี๋ยสอบถามอยู่ในใจ ‘มีผู้ใดในโลกพันอนันต์ค้นพบวังวนมิตินี้หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ดวงจิตอัปมงคล]

หืม?

ดวงจิตอัปมงคลอีกแล้วหรือ!

ช้าก่อน!

ในโลกพันอนันต์มีดวงจิตอัปมงคลได้อย่างไร

มิใช่ว่าดวงจิตอัปมงคลอาศัยอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการหรอกหรือ

หานเจวี๋ยสอบถามต่อ อายุขัยถูกหักไปอีกสี่พันล้านปี

[ดวงชะตาของโลกพันอนันต์กำลังจะสูญสิ้น ดวงจิตอัปมงคลมหาศาลกำลังหลั่งไหลเข้าสู่โลกพันอนันต์]

หานเจวี๋ยตื่นตระหนกอยู่ในใจ ดวงจิตอัปมงคลเข้าสู่โลกพันอนันต์ นี่มิใช่มหาเคราะห์เช่นกันหรอกหรือ

โชคดีที่เขาไม่ได้เข้าสู่โลกพันอนันต์ มิเช่นนั้นคงต้องตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายอีกครั้ง

หานเจวี๋ยกล่าว “ไม่เป็นไร ขอเพียงพวกเจ้าไม่เข้าไปก็พอแล้ว ทางนั้นก็เผชิญมหาเคราะห์อยู่เช่นกัน”

เมื่อมู่หรงฉี่ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว

หานเจวี๋ยมองอยู่สักพักก็จากไป

ขณะนี้เขายังไม่มีวิธีปิดกั้นวังวนมิติแห่งนี้ อีกทั้งไม่สามารถหักใจโค่นต้นฝูซังทิ้งได้จริงๆ

หากว่าดวงจิตอัปมงคลบุกเข้ามา ก็สามารถเป็นอาหารให้ดวงจิตประหลาดได้พอดี

….

ณ พระราชวังเทียมเมฆา

ฟางเหลียงนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียด ในท้องพระโรงมีเทพเซียนอยู่ไม่มาก ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดกันทั้งสิ้น

ทหารสวรรค์นายหนึ่งวิ่งเข้ามา ร้องตะโกนด้วยความหวาดผวา “ฝูซีเทียนและเจ้าแม่หนี่ว์วาปิดล้อมโจมตีเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย การต่อสู้จะส่งผลถึงวังสวรรค์ในอีกไม่ช้า ชั้นฟ้าที่สิบใกล้จะยืนหยัดเอาไว้ไม่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อวาจานี้ถูกกล่าวออกมา เทพเซียนพากันแตกตื่น

แม่ทัพสวรรค์นายหนึ่งมองไปที่ฟางเหลียง เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ถอยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่บนสวรรค์อีก ชั้นฟ้าที่เก้าพังทลายลงแล้ว เหล่าอริยะก่อสงครามบนสวรรค์อย่างต่อเนื่อง หากพวกเราอยู่บนสวรรค์ต่อไปจะต้องพินาศเป็นแน่!”

คนอื่นๆ ต่างพากันเอ่ยเกลี้ยกล่อม เวลานี้พวกเขาล้วนสูญเสียความทะเยอทะยานในการกวาดล้างเผ่ามนุษย์และปกครองสรวงสวรรค์ไปหมดแล้ว คิดเพียงจะรักษาชีวิตตนเอาไว้

ฟางเหลียงขมวดคิ้วแน่น ไม่กล่าวอะไร

ยอดแม่ทัพเทพเอ่ยถาม “ฝ่าบาท เทพสูงสุดหนานจี๋มีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

อริยะผู้สนับสนุนวังสวรรค์มีอยู่สองท่าน คือเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยแห่งนิกายเจี๋ยและเทพสูงสุดหนานจี๋แห่งนิกายฉ่าน แต่นี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

น่าเสียดายที่อริยะทั้งสองท่านมิได้สนับสนุนวังสวรรค์ด้วยใจจริง เพียงอาศัยวังสวรรค์เพื่อกวาดล้างสรรพสิ่ง ปูทางให้เผ่าสวรรค์เท่านั้น

เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ยามนี้วังสวรรค์ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก จึงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ต่อให้เหล่าเทพเซียนจะโมโหมากเพียงใด ก็ไม่กล้าขัดแย้งกับอริยะ ความคับข้องใจที่ไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนี้ทำเอาพวกเขาแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว

ฟางเหลียงเอ่ยตอบ “เทพสูงสุดหนานจี๋ให้วังสวรรค์รอคอยด้วยความสงบ บอกว่าต่อไปเผ่ามนุษย์จะเกิดจลาจลขึ้น”

จลาจลหรือ

เหล่าเทพเซียนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าจะเกิดจลาจลขึ้นได้อย่างไร

เหง่ง…

เสียงระฆังก้องกังวานสะเทือนโสตดังแว่วมา สีหน้าของฟางเหลียงและยอดแม่เทพทัพรวมถึงเทพเซียนทั้งหมดในโถงท้องพระโรงพลันเปลี่ยนไป พวกเขาสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของตนสั่นสะท้าน เทพเซียนที่มีตบะอ่อนด้อยกระอักเลือดออกมาทันที ลมหายใจถี่กระชั้นไม่มั่นคง

“นี่มันเสียงระฆังอันใดกัน”

ฟางเหลียงตื่นตระหนกอย่างยิ่ง คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าฉายแววตกตะลึง

“หรือว่า…พวกเขาบ้าไปแล้วกระมัง!”

ท่าทางเสียกิริยาของฟางเหลียงทำให้เหล่าเทพเซียนรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม

ยอดแม่ทัพเทพเอ่ยถาม “ฝ่าบาท พระองค์ทราบหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฟางเหลียงโคจรพลังควบคุมจิตวิญญาณให้มั่นคง พลางกัดฟันเอ่ยตอบ “ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์อำมหิต มีอริยะกำลังจะล้างบางเหล่าอริยะ!

………………………………………………………………