ฝูงชนยังคงมุงดูอยู่ที่ถนนแห่งนั้นไม่ได้ไปไหน
เสียงร้องไห้ของเด็กชายดังแทรกมาท่ามกลางเสียงสนทนาของคนหมู่มาก และยังคงก้องอยู่ในหูของไทเฮาแม้ผ่านไปเนิ่นนาน
ภายในรถม้า ไทเฮายังคงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ได้แต่หมุนลูกประคำในมือของตนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “เสด็จแม่เพคะ คนเช่นนี้มีมากนัก ท่านไม่ควรโมโหทำให้สูญเสียสุขภาพไม่คุ้มเลยเพคะ”
ไทเฮาตรัสอย่างเชื่องช้าว่า “คนเช่นนี้มีมากมายก็จริง แต่เรื่องในวันนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงเหลือเกิน จะปล่อยให้คนเช่นเขาทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์หรือ”
ริมฝีปากขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาว่า “ชาติกำเนิดของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ต่ำต้อยกว่าพระชายาองค์อื่นมากนัก ไม่แปลกใจที่จะมีญาติไร้คุณธรรมเช่นนี้…”
ไทเฮาขยับริมฝีปากแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกลอกตามองแล้วลองเอ่ยถามว่า “เสด็จแม่เพคะ คนที่องครักษ์จิ่นหลินพาตัวไปนั้น ตั้งใจจะให้เสด็จพี่รู้หรือ”
ไทเฮายิ้มเยาะว่า “ลูกสะใภ้ที่เขาเลือกมาเอง ก็ควรให้เขาดูแลด้วยตนเอง”
กล่าวจบ ไทเฮาก็หลับตาลงพร้อมกับสีหน้าที่สงบนิ่ง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเห็นว่าเหตุการณ์เป็นไปดังที่หวัง จึงได้เงียบลงแล้วหยิบไม้เคาะขึ้นมาเคาะนวดไปที่ขาของไทเฮาเบาๆ มุมปากของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น
จู่ๆ ไทเฮาก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปด้วยความสงสัย “หรงหยาง ดูเหมือนวันนี้เจ้าอารมณ์ดีไม่น้อย”
ความยินดีของนางเมื่อครู่ถูกไทเฮาพบเข้า แม้ในใจขององค์หญิงใหญ่หรงหยางจะแอบรู้สึกว่าแย่แล้ว แต่ใบหน้าของนางก็ดูเย็นชา “นานแล้วที่ไม่ได้ไปวัดต้าฝูกับเสด็จแม่ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ลูกก็มีความสุขยิ่งนัก เสด็จแม่เองก็อย่ารู้สึกหงุดหงิดใจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลยเพคะ”
ไทเฮาจึงคลายความสงสัยลงแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “อืม”
วัดต้าฝูตั้งอยู่ใจกลางเมือง รถม้าเคลื่อนตัวไปไม่นานก็หยุดลง
นางในเปิดผ้าม่านรถขึ้น จากนั้นพยุงองค์หญิงใหญ่หรงหยางและไทเฮาลงจากรถม้า
อากาศในฤดูหนาวช่างหนาวเหน็บ ไทเฮาไม่ได้เสด็จออกจากวังตั้งแต่เช้าตรู่ บัดนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นซึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องมาทำให้วัดต้าฝูดูมีประกายสีทองจางๆ
เจ้าอาวาสวัดต้าฝูยืนรออยู่ด้านข้างตั้งแต่แรกแล้ว และก้าวออกไปต้อนรับไทเฮา
องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ในวันนี้ที่จะทำการถวายเครื่องหอมธูปเทียน นางจะต้องอธิษฐานขอพรสักหน่อย ให้ผู้ที่ทำร้ายหมิงเย่ว์ได้รับบทลงโทษในเร็ววัน
ใกล้แล้ว ในไม่ช้านี้แน่ จากนิสัยและอารมณ์ของเสด็จพี่คาดว่าคงไม่อาจทนต่อเรื่องเช่นนี้ได้
“เสด็จแม่ระมัดระวังด้วยนะเพคะ” องค์หญิงใหญ่หรงหยางพยุงไทเฮาเดินตรงเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ของวัด
บัดนี้ที่ถนนซีซื่อดูครึกครื้นมีชีวิตชีวา
ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ร้านค้าหลายแห่งจะปิดกิจการเพื่อพักผ่อน ผู้คนมากมายจึงเดินทางออกมาซื้อของเตรียมสำหรับวันปีใหม่
หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งไม่สะดุดตาเดินไปข้างหน้าพร้อมกับตะกร้าของนางที่สะพายเอาไว้ นางเดินผ่านร้านเครื่องประทินโฉมที่มีกลิ่นหอมลอยออกมา เดินไปจนกระทั่งสุดทาง
ร้านค้าสุดทางอันเงียบสงัดแตกต่างจากร้านอื่นที่มีชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนเป็นคนละโลกกันทีเดียว
ทว่าเจ้าของร้านนี้กลับไม่รีบร้อน เจ้าของร้านแถวนั้นที่รู้จักกับเจ้าของร้านแห่งนี้ล้วนกล่าวว่าเขาดูลึกลับ
ลูกค้าที่เดินทางมาช่างดูเรียบง่าย ร้านค้ารอบข้างที่มีผู้คนพลุกพล่านจึงไม่มีใครใส่ใจ แต่จู่ๆ กลับมีศีรษะสองศีรษะโผล่ออกมา ทั้งสองมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความหมาย
สองคนนี้ หนึ่งก็คือลูกน้องของอวี้จิ่น และอีกคนหนึ่งก็คืออาเฟยนั่นเอง
อาเฟยเช็ดไปที่ใบหน้าของเขาและดูตื่นตัวขึ้นทันที
ทุกคนที่เข้ามาในร้านจะละเลยไม่ได้ พวกเขาจัดการธุระให้แก่พระชายาก็จะต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้ละเอียดรอบคอบ
เขาจัดการธุระให้พระชายาอ๋องเชียวนะ…
บัดนี้อาเฟยยังคงรู้สึกว่าเขาฝันอยู่
คิดดูเถิด จากอันธพาลข้างถนนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้วันใดเขานอนตายเน่าอยู่ในคูน้ำเหม็นก็คงไม่มีใครสนใจ แต่มาวันนี้กลับทำธุระให้กับพระชายาอ๋องได้
พระชายาอ๋องเป็นผู้ใจดีมีคุณธรรม นับตั้งแต่พระชายายังเป็นคุณหนูเจียงเขาก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี เพียงแค่เขาตั้งใจทำหน้าที่ ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ ก็ได้
เมื่อถึงเวลานั้น บรรพบุรุษคงจะภูมิใจในตัวเขา และทำให้เพื่อนบ้านเหล่านั้นอิจฉาตาย ดูสิว่าจะมีใครกล้าถ่มน้ำลายบนหลังเขาอีกหรือไม่
อาเฟยทำงานอย่างกระฉับกระเฉง สายตาของเขามองไปทั่วร้าน
อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้มีทีท่าพ่ายแพ้
เขาคือองครักษ์ลับของท่านอ๋อง หากว่าจะไปเปรียบเทียบกับอันธพาลข้างถนนเช่นนี้เขาคงจะเสียหน้า
เมื่อสังเกตได้ว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้หยุดอยู่ในร้านเป็นเวลานาน ทั้งสองจึงขยับเข้ามาใกล้
สองชั่วยามต่อมา อาเฟยก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องหนังสือของเรือนด้านหน้าในจวนเยี่ยนอ๋อง แล้วรายงานต่อเจียงซื่อถึงสิ่งที่พบอย่างกระตือรือร้น
อวี้จิ่นฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาอยากจะเตะอาเฟยออกไปเหลือเกิน
คนที่มีเสียงดังและดูงี่เง่าเช่นนี้ เหตุใดอาซื่อยังเลือกใช้
แต่ก็จริงอยู่ เมื่อครั้นอาซื่อยังไม่ได้แต่งเข้ามา ในมือนางไม่มีกำลังคน
“เจ้าหมายความว่า หญิงผู้นั้นเดินออกจากร้านแล้วก็ตรงไปที่วัดต้าฝูทันทีหรือ” เจียงซื่อเอ่ยถาม
อาเฟยไม่สามารถซ่อนความหยิ่งผยองในใจของเขาได้ “ขอรับ ข้าน้อยเห็นว่าสตรีผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว ทว่ากลับแต่งทรงผมไม่เหมือนกับผู้ที่ออกเรือนแล้ว จึงรู้สึกว่าแปลกยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงติดตามนางไป คิดไม่ถึงว่านางจะไปที่วัดต้าฝู…”
และเนื่องจากว่าเป็นเขาที่สังเกตเห็นความผิดปกติไปของสตรีผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีผลงานก้าวออกมารายงานต่อท่านอ๋องและพระชายา
ส่วนองครักษ์ลับผู้นั้น หึๆ บัดนี้คาดว่าคงจะยืนร้องไห้อยู่ข้างกำแพงด้านนอกกระมัง
“เดิมทีข้าน้อยต้องการจะแอบเข้าไปในวัดต้าฝู แต่ในวันนี้ที่วัดต้าฝูไม่ต้อนรับผู้แสวงบุญอื่น จึงทำได้เพียงรออยู่ด้านนอก ต่อมา ก็มีรถม้าคันหนึ่งขับตรงมาจอด สตรีนางนั้นและผู้รับใช้คนอื่นก็มายืนรออยู่ที่ข้างรถม้า ข้าน้อย คิดอุบายได้จึงหยิบหินก้อนเล็กปาไปที่สตรีนางนั้น นางกรีดร้องขึ้นและเป็นอย่างที่คาดไว้ คนอื่นๆ หันมาเรียกชื่อนาง”
เจียงซื่อพยักหน้ายอมรับชื่นชม “ฉลาดไม่เบา ทำได้ไม่เลว เลยสตรีนางนั้นนามว่าอะไร”
“คนอื่นๆ เรียกนามว่าตั่วหมัวมัว” อาเฟยไม่กล้ากล่าวออกมาเขาลังเลอยู่สักพัก
“แล้วอย่างไรอีก”
ใบหน้าของอาเฟยดูซีดขาว “จากนั้นข้าน้อยก็ได้ติดตามรถม้าคันนั้นไปไกลๆ แต่กลับพบว่ามีคนติดตามรถม้าคันนั้น อยู่เบื้องหลังด้วยและมองมาทางข้าน้อย ด้วยความกลัวว่าจะถูกจับได้จึงไม่กล้าติดตามไปอีก…”
“เอาล่ะ เจ้าไปรับรางวัลได้” อวี้จิ่นกล่าวขึ้นเบาๆ
อาเฟยเป็นผู้มีเหตุมีผล เขาคำนับอวี้จิ่นและเจียงซื่อก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ภายในห้องหนังสือจึงเหลือเพียงแค่สองสามีภรรยา
เจียงซื่อเอ่ยปากขึ้นว่า “วัดต้าฝูเป็นวัดประจำราชวงศ์ ตามปกติแล้วแม้จะเปิดประตูต้อนรับผู้แสวงบุญ แต่หากว่ามีแขกชั้นสูงเดินทางไปก็จะปิดประตูไม่ต้อนรับแขกผู้แสวงบุญคนอื่น ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าซึ่งอาเฟยติดตามไปในวันนี้คาดว่าตัวตนคงจะไม่ธรรมดา…”
“เรื่องนี้ง่ายนัก ข้าจะให้คนไปถาม”
แม้ว่าไทเฮาเสด็จไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนที่วัดต้าฝู นางจะไม่เปิดเผยตัวตนใดๆ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านแตกตื่น แต่ก็ไม่ได้จงใจปิดบัง
ในไม่ช้าอวี้จิ่นก็ได้สืบถึงเรื่องราวข่าวนี้ ก่อนจะกล่าวกับเจียงซื่อด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยว่า “ข้าสืบพบแล้ว”
“ผู้ใด”
“ไทเฮา”
เจียงซื่อชะงักลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่แปลกใจมากนัก
ในบัญชีรายชื่อที่พานไห่รวบรวมมานั้น อวี้จิ่นรู้สึกสงสัยทั้งหมดสี่คน และสี่คนนั้นอยู่ในตำหนักฉือหนิง
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นสามารถติดตามไทเฮาออกไปด้านนอกได้ เห็นได้ชัดว่านางได้รับความไว้วางใจจากไทเฮา
อวี้จิ่นชี้นิ้วลงไปบนกระดาษซึ่งเต็มไปด้วยรายชื่อมากมาย “น่าจะเป็นนาง ในบันทึกมีเขียนเอาไว้ว่านางชื่ออาตั่ว เข้าไปในวังครั้งแรกเมื่ออายุยี่สิบปี และเข้ารับใช้ในตำหนักฉือหนิงโดยตรง บัดนี้อยู่มาได้สิบห้าปีแล้ว พวกเราควรจะทำการยืนยันเพิ่มเติมจากนี้”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นว่า “แม้นั่งรอกระต่ายวิ่งมาชนต้นไม้จะเป็นวิธีที่โง่เง่า แต่ก็ดูเหมือนจะได้ผลไม่เลว”
กล่าวจบก็ได้กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “อาเฟยฉลาดยิ่งนัก”
อวี้จิ่นได้แต่กลอกตามอง