เมื่อไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระราชวังก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ให้ความสนใจกับการที่ไทเฮาเสด็จออกจากพระราชวัง ดังนั้นจึงสั่งให้คนออกไปจากตามมองดูตั้งแต่ก่อนหน้า เมื่อไทเฮาเสด็จกลับมาถึงพระราชวังจึงได้รีบเดินทางไป
“เสด็จพี่” องค์หญิงใหญ่หรงหยางที่ติดตามไทเฮากลับมาในพระราชวังทำความคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้
เรื่องที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางติดตามไทเฮาออกไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนจิ่งหมิงฮ่องเต้รู้ดี แต่การที่สักการะธูปเทียนเรียบร้อยแล้วนางกลับไม่เดินทางกลับไปยังจวนองค์หญิงของตน ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ความประหลาดใจเล็กน้อยเหล่านี้ มีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถาม เขาพยักหน้าเป็นการตอบรับแล้วหันกลับไปถามไทเฮาว่า “เสด็จแม่ วันนี้เดินทางออกไปนอกพระราชวังเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮายกมือขึ้นแล้ววางลงไปที่พนักแขนเก้าอี้ “การสักการะเครื่องหอมธูปเทียนเป็นไปอย่างราบรื่น ได้ออกไปเดินเล่นบ้างช่างสดใสยิ่งนัก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเล็กน้อยจากน้ำเสียงอันเฉยเมยของไทเฮา
“เสด็จแม่เหนื่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแต่ระหว่างที่เดินทางไปสักการะธูปเทียนนั้น พบกับเหตุการณ์มีคนเสียชีวิตขึ้น…”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น หัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม
พบกับคนเสียชีวิต
คนเสียชีวิต…?
บัดนี้คำว่า ‘เสียชีวิต’ สำหรับเขาเป็นเงาลึกฝังในใจ เดิมทีคิดว่าไทเฮาจะไม่ได้รับผลกระทบนี้แต่คาดไม่ถึงว่า….
“เสด็จแม่พบกับเรื่องราวเช่นนี้ได้อย่างไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
น้ำเสียงของไทเฮาดูเยือกเย็นเล็กน้อย “ก็เป็นเพราะลูกสะใภ้ตัวดีที่ฝ่าบาทแต่งตั้งขึ้นนั่นแหละ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กะพริบตาด้วยความสับสน
ที่จริงจะว่าไปแล้ว การเสกสมรสขององค์ชายทุกคนต้องได้รับการยอมรับจากเขา แล้วไทเฮากล่าวถึงผู้ใด
ไทเฮาไม่ได้ทำท่าทางอ้อมค้อม “พระชายาเยี่ยนอ๋อง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง
ไทเฮาเหลือบมองไปที่องค์หญิงใหญ่หรงหยาง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงได้เริ่มกล่าวขึ้นว่า “ข้าและเสด็จแม่เดินทางไปที่วัดต้าฝู ระหว่างทางนั้นถูกขวางกั้นเอาไว้ ผู้คนมากมายกำลังมุงดูอยู่ที่นั่นด้วยความครึกครื้น ดังนั้นจึงสั่งให้ข้าหลวงไปสืบมาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีนักเลงคนหนึ่งเข้าไปรั้งสตรีนางหนึ่งเอาไว้ สตรีนางนั้นมีนิสัยที่เด็ดขาด เมื่อเห็นว่าไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้นางจึงได้พุ่งชนกำแพงจบชีวิตตน…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้าง “แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับสะใภ้ของเจ้าเจ็ดเล่า”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “คนร้ายผู้นั้นกล่าวว่าตนเป็นลุงของพระชายาเยี่ยนอ๋อง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวว่า “คนที่อ้างความสัมพันธ์เช่นนี้มีมากมายไม่ใช่หรือ”
“จากนั้นก็มีคนจากกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครเข้ามาจัดการ แต่เขาไม่เพียงแต่ไม่กลับคำ อีกทั้งยังกล่าวว่าจะพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินทางไปที่จวนอ๋อง เพื่อให้เยี่ยนอ๋องและพระชายาตัดสินใจเรื่องนี้ และยังกล่าวว่าน้องสาวของเขาอาศัยอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องด้วย เสด็จพี่เพคะ น้องมองดูแล้วไม่เหมือนว่าเป็นพวกแอบอ้างความสัมพันธ์”
ทันใดนั้นไทเฮาก็ได้ตรัสขึ้นว่า “ข้าได้สั่งให้ทหารพาคนผู้นั้นจากไป ต่อมาเมื่อสืบพบตัวตนที่แท้จริงพบว่าเขาเป็นอาของพระชายาเยี่ยนอ๋องจริง”
ไทเฮาไม่ใช่ผู้ที่กระทำการหุนหันพลันแล่น การที่นางกล่าวถึงเจียงซื่อต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้เช่นนี้แน่นอนว่านางย่อมมีหลักฐานที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นหากกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าฝ่าบาทแล้วท้ายที่สุดพบว่าคนผู้นั้นเพียงกล่าววาจาไร้สาระนางก็คงจะขายหน้าไม่ใช่หรือ
“มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบเรียกหันหรานมาเพื่อสอบถาม
หลังจากที่ได้คำตอบอันแท้จริงจากหันหรานแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เรียกเยี่ยนอ๋องเข้าเฝ้า”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเอ่ยเตือนว่า “เหตุใดเสด็จพี่จึงไม่เรียกพระชายาเยี่ยนอ๋องเข้ามาไต่ถาม”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
ภรรยาของเจ้าเจ็ดกำลังตั้งครรภ์อยู่ในเวลานี้ แม้ต้องการตำหนิก็ควรตำหนิที่บุตรชายของตน จะให้ไปตำหนิลูกสะใภ้และส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ได้อย่างไร…
ไทเฮากล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าว่าเรียกสองสามีภรรยาเข้ามาเอ่ยถามพร้อมกันก็เป็นดี ข้ารู้ว่าฝ่าบาทเห็นใจเพราะพระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังตั้งครรภ์ แต่บางเรื่องสามารถปล่อยวางได้ บางเรื่องไม่สามารถปล่อยวางได้ ในวันนี้อาของพระชายาเยี่ยนอ๋องบีบบังคับให้สตรีนางหนึ่งต้องสิ้นใจต่อหน้าสาธารณชน ภาพความประทับใจของเยี่ยนอ๋องต่อประชาชนดูเหมือน จะลดน้อยลงไปอีกและพากันเสวนาไปต่างๆ นานา หากวันหลังมีเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้นอีก จะไม่เป็นเรื่องไร้สาระไปใหญ่หรือ เกรงว่าต่อไปต่อให้ฝ่าบาทต้องการจะปกป้องพระชายาเยี่ยนอ๋องไว้ก็คงไม่ได้…”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผล เขารีบกล่าวว่า “เรียกเยี่ยนอ๋องและพระชายาเข้าเฝ้าพร้อมกัน”
ในไม่ช้าข้าหลวงก็ได้เดินทางมาบอกข่าวที่จวนเยี่ยนอ๋อง
ในตอนแรกอวี้จิ่นคิดว่าฝ่าบาทเรียกตนเข้าไปเอ่ยถามเรื่องความคืบหน้าของการสอบสวน แต่เมื่อได้ยินว่าให้พาเจียงซื่อเข้าไปในพระราชวังด้วย ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน
แววตาของเจียงซื่อเต็มไปด้วยความสงสัย
แม้ว่านางจะแต่งงานกับองค์ชาย แต่ว่าไปแล้วก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้
เรื่องในวันนี้ช่างแปลกเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างไรบัดนี้ก็ไม่มีวิธีใดสามารถรับมือได้ ต่อให้กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเข้าไปในวังก็คงจะรู้เรื่องเอง
ทั้งสองคนจัดเก็บสัมภาระ จากนั้นอวี้จิ่นก็นั่งรถม้าพร้อมกับเจียงซื่อเพื่อเข้าไปในวัง
“ไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงสั่งให้ข้าเดินทางเข้าไปด้วย คาดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดี”
อวี้จิ่นได้ยินเจียงซื่อกล่าวดังนั้น ก็ปลอบโยนนางด้วยการตบที่มือเบาๆ “เสด็จพ่อสั่งให้ข้าตรวจสอบผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในพระราชวัง ในวันนี้หากเราได้รับเบาะแสคาดว่าก็จะส่งไม่สนใจเรื่องอื่น”
“เรื่องในวันนี้จะเกี่ยวข้องกับไทเฮาหรือไม่” เจียงซื่อคาดเดา ไทเฮามักไม่ได้เสด็จออกจากพระราชวังบ่อย และในวันเดียวกันเสด็จพ่อก็ได้เรียกพวกเราเข้าวังไปพร้อมกัน ดูแล้วไม่ธรรมดา ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญอยู่ก็จริง แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ…
“อย่าได้คิดมากไปเลย เข้าวังไปก็จะรู้เอง”
ทั้งสองตรงเข้าไปที่พระราชวัง จากนั้นก็มีนางในเชิญไปที่ตำหนักฉือหนิง
อวี้จิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
ดูเหมือนเจียงซื่อจะคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย การเดินทางเข้ามาในพระราชวังวันนี้เกี่ยวข้องกับไทเฮา
เจียงซื่อหันไปกะพริบตากับอวี้จิ่น
นางในข้างกายของไทเฮาเดินทางไปยังร้านเล็กๆ ที่ยายหลานของเผ่าอูเหมียวเปิด พวกเขาคาดเดาว่าสตรีนางนั้นก็คืออาตั่วซึ่งอยู่ในบัญชีรายชื่อต้องสงสัย และซึ่งก็คือตั่วหมัวมัวแห่งตำหนักฉือหนิงในตอนนี้นั่นเอง
แต่ถึงอย่างไรการคาดเดาก็เป็นเพียงการคาดเดา คนผู้นี้จะเป็นตั่วหมัวมัวหรือไม่ ตั่วหมัวมัวหน้าตาเป็นเช่นไร คงจะต้องเห็นกับตาให้แน่ชัดแล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่น
การที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกทั้งสองเข้าไปในพระราชวังนับว่าเป็นโอกาสดีของทั้งสอง พวกเขาจะได้ไม่ต้องคิดหาวิธีเข้ามาคารวะไทเฮาในพระราชวัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเข้าไปในตำหนักฉือหนิง สำหรับเจียงซื่อแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ในครั้งนั้นคือชีวิตเมื่อชาติที่แล้ว
เมื่อเข้าไปถึงด้านใน นางในก็หันมาส่งสัญญาณให้ทั้งสองหยุดลงก่อนแล้วเข้าไปทูลไทเฮา
“ทูลฝ่าบาท เยี่ยนอ๋องและพระชายาเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกตัวเข้ามา”
จากนั้นก็มีน้ำเสียงหนึ่งดังขึ้น
อวี้จิ่นพาเจียงซื่อเดินตรงเข้าไปข้างใน และมองเห็นไทเฮากับองค์หญิงใหญ่หรงหยางที่อยู่ด้านข้าง
ระหว่างที่นางในนำทางเดินเข้าไปด้านใน เจียงซื่อก็จับจ้องไปที่หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง
สตรีผู้นั้นยืนอยู่ในมุมที่ไม่โดดเด่นภายในห้อง ดูท่าทางช่างธรรมดา แต่สำหรับเจียงซื่อแล้วมันแตกต่างออกไปมาก
สำหรับเจียงซื่อที่ติดตามผู้อาวุโสเผ่าอูเมียว นางได้ฝึกฝนมนตราและได้รับการยกย่องจากท่านผู้อาวุโสว่ามีความสามารถอันโดดเด่น นางจึงมีความรู้สึกละเอียดอ่อนต่อผู้ที่ฝึกมนตราเช่นกัน
หมัวมัวคนนี้น่าจะเป็นตั่วหมัวมัวที่ไปพบกับยายหลานตระกูลอูเหมียว และหมายความว่าเป็นผู้อาวุโสรุ่นที่สองของเผ่าอูเหมียวอาตั่ว
ตั่วหมัวมัวที่เห็นเจียงซื่อเดินตรงเข้ามา แววตาของนางก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ
ความประหลาดใจนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เจียงซื่อผู้ซึ่งให้ความสนใจ จับจ้องนางได้ด้วยหางตา
เจียงซื่อเผยอริมฝีปากขึ้นและยื่นเล็กน้อย
อีกฝ่ายหนึ่งคงแปลกใจว่าเหตุใดนางจึงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับอาซังสตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
นางไม่ค่อยได้เห็นคนจากตำหนักฉือหนิง และขณะเดียวกันคนในตำหนักฉือหนิงก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบนางมากนัก ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ตั่วหมัวมัวและนางพบหน้ากัน
เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย เมื่อครู่เพิ่งจะพบเจอกับยายหลานของเผ่าอูเหมียว และได้รู้จากหญิงชราว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังเดินทางมาที่เมืองหลวง จากนั้นไม่นานก็พบว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ณ บัดนี้หัวใจของตั่วหมัวมัว คงรู้สึกเหมือนมีพายุเข้าถาโถมกระมัง…