ตั่วหมัวมัวตกใจมากจริงๆ
ภายใต้ความตกใจสุดขีดนั้น ทำให้นางไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้แม้จะอยู่ในวังมาเป็นเวลานาน
ไม่นานมานี้ จู่ๆ นางก็ได้รับจดหมายจากนอกวัง ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสตอนที่ไทเฮาเสด็จออกจากวังไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนครั้งนั้น ลอบไปพบกับฮวาวั่ว ฮวาวั่วกล่าวว่าได้พบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็รู้สึกสงสัย ดังนั้นจึงได้เขียนจดหมายกลับไปยังเผ่าอูเหมียวเพื่อยืนยัน แต่จดหมายที่ส่งออกไปนั้นเป็นเวลาเนิ่นนานก็ยังไม่ได้คำตอบกลับมาสักที และเพิ่งส่งข่าวมาให้นาง…
สตรีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายขึ้นที่ร้านเล็กๆ ของฮวาวั่วครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นอีกเลย ทว่าเหตุใดจึงกลายมาเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องได้?
ฮวาวั่วกล่าวว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่งกายเหมือนสตรีที่แต่งงานแล้วของราชวงศ์ต้าโจว จะว่าไปแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับภารกิจลับ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ทว่าการที่สตรีศักดิ์สิทธิ์กลายมาเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องนี้ช่างน่าประหลาดใจนัก
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นพระชายาเยี่ยนอ๋องมาก่อน แต่ได้ยินว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นคุณหนูแห่งจวนตงผิงปั๋ว
สตรีที่มีบิดามารดามีพี่น้อง เช่นนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์จะปลอมเป็นอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไร?
ตัวตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ช่างน่าสงสัยนัก…
นับแต่เข้าวังมา ตั่วหมัวมัวก็ไม่ได้เดินทางกลับเผ่าอูเหมียวอีกเลย ตามเหตุผลแล้วนางไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบันรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
แต่ตำแหน่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้น คนภายนอกยากที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกปล่อยไว้ให้ว่างเปล่ามานานหลายปี ในที่สุดอาซังก็ได้ขึ้นเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างราบรื่น รูปวาดของนางถูกส่งมาโดยฮวาวั่วมาถึงมือของตั่วหมัวมัว
ในรูปวาดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางหน้าตาเหมือนกับพระชายาเยี่ยนอ๋องผู้นี้ไม่ผิดเพี้ยน นางมั่นใจว่าไม่ได้จำผิดคนแน่นอน
เมื่อแน่ใจถึงบุคคลที่ต้องการตามหา เจียงซื่อจึงได้มีความมั่นใจและหันไปคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้รวมทั้งคนอื่นๆ
แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะโมโห แต่เมื่อนึกได้ว่าลูกสะใภ้กำลังตั้งครรภ์ เขาก็ลดน้ำเสียงลง “ลุกขึ้นก่อนเถิด”
ไทเฮาเหลือบมองจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วส่ายหน้าเบาๆ
แท้จริงแล้วฮ่องเต้ยอดเยี่ยมในทุกด้าน เพียงแต่จิตใจดี ซึ่งเป็นบ่อนทำลายความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้เอง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเรียกพวกเจ้าสองสามีภรรยาเข้าวัง” ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่ใบหน้าของอวี้จิ่นด้วยท่าทางจริงจังมากขึ้น
อวี้จิ่นรู้ดีว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสอบสวน แต่เขาจงใจกล่าวว่า “เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เสด็จพ่อกล่าวกับลูกก่อนหน้านี้หรือไม่ บังเอิญเหลือเกินที่ลูกมีเบาะแสเพิ่มเติมและตั้งใจจะทูลต่อเสด็จพ่อพอดีพ่ะย่ะค่ะ”
หัวใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้สั่นไหวในทันใด
มีเบาะแส?
ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทำงานติดตามเจินซื่อเฉิงมาไม่น้อย อีกทั้งเจินซื่อเฉิงยังได้เอ่ยยกย่องว่าเจ้าเจ็ดนั้นเก่งนัก เห็นได้ว่าเจ้าเจ็ดกำลังกล่าวความจริงออกมา…
“ฝ่าบาท?” เมื่อเห็นว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้สนใจคำพูดของอวี้จิ่นที่ดูคลุมเครือนั่นแล้วแววตาเป็นประกาย ไทเฮาทนดูไม่ได้จึงเอ่ยขึ้นตักเตือน
จิ่งหมิงฮ่องเต้แทบจะไม่อาจนั่งนิ่งได้
“เสด็จแม่ ลูกคิดว่า…”
ไทเฮาเหลือบมองจิ่งหมิงฮ่องเต้และกล่าวเบาๆ ว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ให้เยี่ยนอ๋องและพระชายาของเขาเดินทางเข้าวังเพราะมีเรื่องเอ่ยถามหรือ”
เมื่อเห็นท่าทางของฮ๋องเต้เป็นเช่นนี้ หมายความว่าทรงไม่ประสงค์จะติดใจเอาความแล้วหรือ
ไทเฮาดูสับสนทั้งขุ่นเคือง นางอยากจะเปิดศีรษะของจิ่งหมิงฮ่องเต้ออกดูเหลือเกินว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เจียงซื่อรู้สึกขบขัน นางใช้มือแตะไปยังแขนของอวี้จิ่นอย่างเงียบ ๆ
อาจิ่นเจ้าเล่ห์เหลือเกิน เขารู้ดีว่าฝ่าบาทเป็นกังวลเรื่องนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นทันทีที่มีโอกาส ต่อให้พวกเขาทำผิดพลาดสิ่งใดไป ฝ่าบาทก็คงจะไม่ติดใจเอาความ
บัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากไปไล่ล่าความจริงนั้น หรือกล่าวได้ว่าไม่ใช่ตอนนี้
เพียงแค่ญาติห่างๆ สร้างปัญหาด้วยการยืมชื่อเสียงชื่อของพระชายาเยี่ยนอ๋องมาอ้างเท่านั้น จะสำคัญกว่าการสืบตัวผู้ที่สร้างปัญหาในวังครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร
เนื่องจากไทเฮาอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้จึงอดทนและจัดการเรื่องนี้ไปก่อน แต่อารมณ์ในใจของเขาไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
ก่อนหน้าที่อวี้จิ่นจะเอ่ยปากพูด จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังดูโกรธและวางแผนที่จะจัดการสองสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้ แต่บัดนี้พบว่าความโมโหเล็กน้อยเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
“ภรรยาเจ้าเจ็ดมีอาหญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่จวนหรือ?”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามเช่นนี้ ทำให้ทั้งสองแปลกใจยิ่งนัก
ระหว่างทางไปพระราชวัง ทั้งสองนึกถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกี่ยวข้องกับอาหญิงโต้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอวี้จิ่น เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบจึงได้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดนิ่งเงียบเล่า?”
เจ้าลูกคนนี้ รีบๆ แก้ปัญหานี้ให้เสร็จสักที ยังมีเรื่องสำคัญต้องเจรจากันอีก
เจียงซื่อกล่าวขึ้นแทนอวี้จิ่นว่า “อาหญิงของลูกอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องจริงเพคะ”
องค์หญิงหรงหยางหลับตาลงเยาะเย้ย
ในเมื่อพระชายาเยี่ยนอ๋องยอมรับ เรื่องนี้ก็คงจะง่าย
เป็นจริงดังนั้น หัวคิ้วของจิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดเข้าหากันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “อาหญิงของภรรยาเจ้าเจ็ด มีพี่ชายคนหนึ่งใช่หรือไม่”
เมื่อเจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็พอจะเดาออก นางตอบกลับไปว่า “อาชายของลูกก่อเรื่องขึ้นหรือเพคะ”
การที่เจียงซื่อกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ชื่นชมยิ่งนัก
เพราะเขาต้องทำเวลา
“อาชายของเจ้าคนนั้น เกือบชนเข้ากับไทเฮาเสียแล้ว”
เจียงซื่อมองไปทางไทเฮา
ไทเฮากล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ชนเข้ากับข้าหรือไม่นั้นไม่สำคัญ พระชายาเยี่ยนอ๋องรู้หรือไม่ว่าอาชายของเจ้าผู้นั้นทำให้สตรีนางหนึ่งถูกบีบจนถึงแก่ชีวิตในวันนี้”
หลังได้ฟังเรื่องราวที่ไทเฮากล่าวออกมา เจียงซื่อก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
ก่อนหน้านี้นางเคยกล่าวว่าเรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปมักจะมีความเชื่อมโยงกันอยู่เสมอ
ไทเฮาเสด็จออกจากวังน้อยครั้งจนนับได้ และบังเอิญเหลือเกินที่ไปพบเข้ากับอาโต้วซึ่งบีบบังคับให้สตรีนางหนึ่งต้องตาย
ยิ่งกว่านั้นยังมีองค์หญิงใหญ่หรงหยางติดตามไทเฮาเสด็จออกจากวังด้วย…
เจียงซื่อมองไปที่องค์หญิงใหญ่หรงหยาง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางมองกลับมาพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของนาง
ในวันเกิดของเสียนเฟย ทั้งสองคนแทบฉีกหน้ากันอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าบัดนี้จึงไม่จำเป็นต้องปิดซ่อน
นางต้องการให้สตรีนางนี้รู้ชะตากรรมของตนเองที่กล้ามาทำร้ายนาง เพื่อในอนาคตจะได้เก็บหางของตนเองไว้บ้าง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดเจียงซื่อเพียงแค่เรื่องนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะจัดการเจียงซื่อได้บ้างเล็กน้อย…เท่านี้ก็ยังดี
เจียงซื่อเข้าใจปฏิกิริยาขององค์หญิงใหญ่หรงหยางดีกว่าใคร
บางทีอาจเพราะหากเป็นนาง นางก็คงเลือกทำเช่นนี้
แก้แค้นศัตรูทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ไม่ต่างอันใดกับการสวมเสื้อผ้าสวยงามเดินยามค่ำคืนอันมืดมิด มันไม่สะใจเอาเสียเลย!
เจียงซื่อหันไปคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้ “เสด็จพ่อเพคะ อาชายโต้วเป็นหลานของท่านย่าของลูก เขาเดินทางมาที่เมืองหลวงเมื่อปีที่แล้วและอาศัยอยู่ในจวนปั๋วเพียงหนึ่งวัน จากนั้นก็ย้ายออกไป นับแต่นั้นลูกก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลย”
ไทเฮาตรัสขึ้นเบาๆ โดยไม่รอให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ย “หมายความว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ?”
เจียงซื่อส่ายหน้าดูเคร่งขรึม “ไม่ใช่เพคะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันด้วย”
เมื่อนางกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนยกเว้นอวี้จิ่นก็ดูประหลาดใจ
พระชายาเยี่ยนอ๋องสมองหายไปแล้วหรือ
“อาชายโต้วมีความสัมพันธ์ฉันญาติกับหม่อมฉัน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจลบล้างได้ การที่อาชายโต้วดูหยิ่งผยองเช่นนี้อาจเป็นเพราะตัวตนของหม่อมฉันที่เป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องจึงได้ให้ความมั่นใจแก่เขามากเช่นนี้ หม่อมฉันไม่รู้ว่าอาชายโต้วเอ่ยอ้างชื่อเสียงหม่อมฉันนี้เพื่อทำเรื่องเสียหาย นี่คือความผิดของหม่อมฉัน ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกด้วยเพคะ”
หลังจากที่เจียงซื่อกล่าวจบ นางก็คุกเข่าลงอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้จิ่นก็คุกเข่าลงและกล่าวว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ฐานะพระชายาอ๋องของอาซื่อนั้นเป็นลูกที่มอบให้นาง การที่มีคนแอบอ้างตัวตนของอาซื่อไปใช้ จะว่าไปแล้วก็เป็นความผิดของลูก ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ริมฝีปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกเล็กน้อย
ถ้าเป็นเช่นนั้น กล่าวได้ว่าสะใภ้คนนี้เขาได้ตัดสินใจแต่งตั้งโดยไม่สนใจการต่อต้านของไทเฮาและเสียนเฟย ทั้งยังมอบหยกสมปรารถนาให้นางอีกด้วย เรื่องนี้เขาเองก็ควรรับผิดชอบด้วยใช่หรือไม่!
“ภรรยาเจ้าเจ็ด บัดนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ลุกขึ้นก่อนเถิด”
เจียงซื่อไม่ได้ขยับ “ลูกไม่สามารถใช้การตั้งครรภ์มาเป็นเครื่องรางป้องกันตนได้ เป็นความผิดของลูก ซึ่งลูกไม่ควรหลีกหนี ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกตามสมควรเถิดเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นำมือแตะจมูกของเขาอย่างโกรธเคือง
เหตุผลทั้งหมดถูกแม่นางผู้นี้กล่าวออกมาแล้ว เขายังกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีกเล่า!