จิ่งหมิงฮ่องเต้เดิมต้องการตำหนิเจียงซื่อด้วยคำพูดสักสองสามคำ อย่างเช่น ในฐานะสะใภ้ของราชวงศ์ นางควรระมัดระวังในคำพูดคำจาและการกระทำของนาง
แต่นางเอ่ยออกมาล่วงหน้า และขอรับบทลงโทษอย่างจริงใจ เขาจะว่าอย่างไรได้อีก
ต้องบอกว่าลูกสะใภ้ของตนคนนี้ค่อนข้างมีเหตุผลทีเดียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงพระชายาหลู่อ๋อง
พระชายาหลู่อ๋องตั้งครรภ์ได้ไม่นานหลังแต่งงานกับหลู่อ๋อง ส่วนหลู่อ๋องได้ร่วมหลับนอนกับสาวรับใช้ของเขา ว่ากันว่าพระชายาหลู่อ๋องนำจานอาหารเทไปที่หน้าของหลู่อ๋องเลยทีเดียว
เขาไม่ค่อยมั่นใจในรายละเอียดของเรื่องนี้นัก แต่เรื่องที่พระชายาหลู่อ๋องแบกท้องโตของนางเข้าวังมาฟ้องเขานั้นจำได้แม่นยำ
การที่ภรรยาตั้งครรภ์จึงไปหลับนอนกับสาวรับใช้ ในฐานะผู้ชาย จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เขาก็ได้ตำหนิเจ้าห้าไปพอควร ทว่าในใจจิ่งหมิงฮ่องเต้ลึกๆ เขารู้สึกว่าพระชายาหลู่อ๋องขาดสติ
เมื่อมองจากมุมนี้ ดูเหมือนว่าภรรยาของเจ้าเจ็ดจะมีเหตุผลกว่ามาก อย่างน้อยถ้าเจ้าเจ็ดอดทนไม่ไหวแล้วไปร่วมหลับนอนกับสาวรับใช้ คาดว่าคงไม่เกิดเรื่องนำจานอาหารฟาดหน้าสามีเช่นนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้กังวลน้อยลงและกล่าวเบาๆ “ลุกขึ้นก่อน”
อวี้จิ่นดึงเจียงซื่อลุกขึ้นยืน
เพียงคุกเข่าเป็นพิธีก็เพียงพอแล้ว หากทำให้อาซื่อและลูกในท้องเหนื่อยเอาคงจะไม่ดี
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่น “ข้าอยากฟังว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
คิ้วของไทเฮาขยับเล็กน้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้มีท่าทีโมโห นางดูคาดเดาไม่ถูกเล็กน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม หางตาของไทเฮากวาดมองไปยังเจียงซื่อและมองนางเปลี่ยนไป
ซึ่งแตกต่างจากเจียงซื่อในความทรงจำเดิมของนางที่รู้สึกว่าเจียงซื่อเป็นคนโอ้อวดไร้สติ แม่นางตรงหน้า เวลานี้ดูฉลาดไม่เบา
การถอยเพื่อมาตั้งรับสู้เป็นวิธีที่ดี
อวี้จิ่นกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ต่อให้เป็นลูกที่ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ควรจะลงโทษ นับประสาอะไรกับญาติห่างๆ ของอาซื่อ เขาลวนลามสตรีบนท้องถนนและบีบบังคับจนนางต้องตาย เขาก่ออาชญากรรมประเภทใด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตัดสินเถิดพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นหากจำต้องติดคุกก็ติดคุก จำต้องลงโทษก็ลงโทษ ลูกและอาซื่อจะมิเอ่ยคัดค้านใดๆ”
“เท่านี้หรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
สิ่งที่เขาสนใจไม่เพียงแต่ว่าคนร้ายจะถูกลงโทษอย่างไรเท่านั้น แต่กังวลถึงชื่อเสียงของภรรยาเจ้าเจ็ดด้วย
แค่กๆ เจ้าเจ็ดเป็นท่านอ๋องก็จริง แต่ชื่อเสียงของเขาจะด่างพร้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร…
อวี้จิ่นทำหน้าจริงจัง แสงเย็นวาบแผ่ออกมาจากดวงตาของเขา “แน่นอนว่าจะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ ชื่อเสียงที่เสื่อมเสียไปของลูกและอาซื่อจะต้องกอบกู้คืนมา”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มมีความสนใจขึ้นในทันที “หืม? จะกอบกู้คืนเช่นไร”
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็กระตุกมุมปากแล้วไอออกมาเบาๆ
ฝ่าบาทตรัสว่าจะตำหนิไม่ใช่หรือ จะตำหนิหนักเบา อย่างน้อยก็ควรตำหนิ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมในลำคอ “การที่เจ้าไม่ปกป้องผู้ร้ายนับว่าเฉลียวฉลาด เช่นนั้นข้าจะมอบหมายหน้าที่ในการกอบกู้ชื่อเสียงพวกเจ้าสองสามีภรรยา ภายในสามวัน ข้าต้องการเห็นคนเหล่านั้นเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพวกเจ้าเสียใหม่ หากว่าทำไม่ได้…”
“หากไม่สามารถทำได้ ลูกจะนำศีรษะมาเข้าเฝ้า” อวี้จิ่นตอบอย่างรวดเร็ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตะลึง “ไม่จำเป็น…”
นำศีรษะมาเข้าเฝ้า?
อวี้จิ่นกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่เป็นวิธีการสั่งแบบทหาร”
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะกลอกตามอง “นี่ไม่ใช่ค่ายทหาร จะปฏิบัติตามระเบียบทางทหารทำไมกัน!”
การห้ามปากคนเป็นเรื่องยากยิ่ง เมื่อชื่อเสียงแย่ๆ แพร่กระจายออกไป ก็ไม่ง่ายเลยที่จะฟื้นฟู
หากทำหน้าที่ไม่สำเร็จ บทลงโทษก็คือ ตำหนิ กักขัง ปรับ คุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษ ปรับลดยศ… นำศีรษะอะไรนั่นมาเข้าเฝ้า ไม่จำเป็นเลยที่จะให้บุตรชายตัดศีรษะเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายตามองทั้งสองคน ทรงคิดในใจว่าทั้งสองคนแปลกนัก ต่างแย่งชิงกันรับโทษ
ความโกรธอันเนื่องมาจากเรื่องที่ได้ยินเรื่องนี้ก่อนหน้าจึงจางหายไป
เมื่อถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ตำหนิ อวี้จิ่นยิ้มขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ลูกเคยชินไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึง เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น หัวใจของเขาก็อ่อนลงทันที
บุตรชายของเขาคนนี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ ไม่เหมือนกับบุตรชายคนอื่นที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความสุขสบาย
จวบจนบัดนี้เขายังจำรายงานการรบที่ว่าองค์ชายเจ็ดยอมตายดีกว่าล่าถอย เขาตัดหัวแม่ทัพหนานหลาน ท้ายที่สุดถูกกองทับถมอยู่ในซากศพมากมาย และถูกช่วยออกมาได้โดยสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่ง…ลากออกเขามา
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ หัวใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยิ่งอ่อนโยนลงมากขึ้น
โดยส่วนตัวเขาแล้วรู้สึกว่าตนติดค้างบุตรชายคนนี้
อวี้จิ่นถูกส่งตัวออกไปจากพระราชวังตั้งแต่เล็ก เนื่องด้วยดวงชะตาขัดกับจิ่งหมิงฮ่องเต้ ผู้คนโดยมากจึงคิดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ชื่นชอบบุตรชายคนนี้ แท้จริงแล้วพวกเขาล้วนเข้าใจจิ่งหมิงฮ่องเต้ผิดมาโดยตลอด
ฮ่องเต้ผู้มีพระเมตตาต่อราษฎรทุกคน จะรู้สึกเย็นชากับบุตรชายของตนเองได้อย่างไร
ทั้งนี้ในบรรดาบุตรชายมากมายของเขา มีเพียงเจ้าเจ็ดเท่านั้นที่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน อีกทั้งมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ในอนาคตบ้านเมืองนี้คงขาดการคุ้มครองจากเขาไม่ได้
องค์หญิงปกป้องดูแลด้านสังคมและฝ่ายพืชผล ส่วนองค์ชายคอยปกป้องบ้านเมือง จะมีอะไรให้ต้องกังวลถึงอนาคตของราชวงศ์ต้าโจวอีก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาแล้วขมวดคิ้ว “นับแต่นี้เป็นต้นไป อย่าได้กล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนั้นต่อหน้าข้า ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน หากทำไม่สำเร็จก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก!
“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นพยักหน้าตอบรับ มุมปากของเขาเผยอขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันพระพักตร์ไปตรัสถามไทเฮาว่า “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ทรงคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”
ไทเฮาได้แต่เม้มริมฝีปากของนาง
หากพิจารณาดูแล้วจะพบว่าฮ่องเต้ไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษสองสามีภรรยานี้! แต่ฝ่าบาทก็ได้กำหนดเส้นตายของพวกเขา หากภายในสามวันไม่อาจปฏิบัติตามคำกำชับได้สำเร็จก็จะได้รับบทลงโทษหนัก ดังนั้นตัวนางเองก็ไม่รู้จะตำหนิเช่นไร
ไทเฮาทรงไม่พอพระทัยเท่าไรนัก นางรู้สึกอึดอัดใจเพราะกว่าจะมีโอกาสได้จัอบรมสั่งสอนทั้งสองด้วยตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่ากลับไม่เป็นผล
“สตรีนางนั้นสิ้นชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย และมีน้องชายวัยเยาว์อยู่หนึ่งคน บัดนี้สามีของนางไม่อยู่ เพียงแค่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ในใจข้าก็รู้สึกอึดอัดเหลือเกิน…”
อวี้จิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ หลานยินดีจะรับเลี้ยงเด็กชายผู้นี้ หาอาจารย์มาสั่งสอนให้เขาได้ร่ำเรียนตำราและฝึกศิลปะการต่อสู้ บางทีในอนาคตเขาอาจจะกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งราชวงศ์ต้าโจวก็ย่อมได้”
ไทเฮาหรี่ตาลงเล็กน้อย
เจ้าเด็กคนนี้มีปฏิกิริยาว่องไวทีเดียว
ส่วนสีหน้าขององค์หญิงใหญ่หรงหยางบัดนี้ดูไม่น่ามองนัก
เสด็จพี่ดูเหมือนจะไม่เข้มงวดต่อสองสามีภรรยานี่เลย โชคดีที่ทรงรับสั่งให้ไปกอบกู้ชื่อเสียงย่ำแย่เหล่านั้นให้กลับมาภายในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเย็นนัก นางเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเยี่ยนอ๋องจะทำเช่นไร
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ จู่ๆ อวี้จิ่นก็ได้มองมา
หัวใจขององค์หญิงใหญ่หรงหยางสะดุ้งเล็กน้อย แต่นางไม่กล้าจะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แท้จริงแล้วลูกรู้สึกคาใจเล็กน้อย”
“เจ้าคาใจเรื่องใดหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างไร้ความอดทน
เขารีบร้อนอยากจะเอ่ยถามถึงเรื่องการสืบสวนคดีเหลือเกินแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะไม่สรุปเรื่องนี้โดยเร็วหรอก เหตุใดเจ้าเจ็ดจึงได้ขยายความออกไปอีก
“ลูกเพียงรู้สึกว่ากว่าเสด็จย่าจะเสด็จออกจากพระราชวังแต่ละคราไม่ใช่เรื่องง่าย การที่พบเจอเข้ากับอาชายของอาซื่อกระทำเรื่องชั่วร้ายที่ท้องถนน ดูเหมือนจะบังเอิญเหลือเกิน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เข้าใจถึงความหมายที่แอบแฝงในคำพูดของอวี้จิ่น
ไทเฮาตรัสขึ้นด้วยความเย็นชาว่า “นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นมักกระทำแต่การชั่วร้ายและไม่ได้ทำเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยและรู้สึกว่าประโยคนี้ของไทเฮาดูสมเหตุสมผล
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น “ในเมื่อเสด็จย่าและเสด็จพ่อล้วนคิดเช่นนี้ ลูกจะได้สั่งให้คนไปตรวจสอบดู หากพบว่าอาชายโต้วกระทำเรื่องชั่วร้ายอื่นอีก จะได้ลงโทษเขาในคราเดียว”
หากคนผู้นั้นแอบอ้างชื่อเสียงของอาซื่อในการทำเรื่องชั่วร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดตัวเขาจึงไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน หากเดาไม่ผิดล่ะก็ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขากระทำการบุ่มบ่าม แน่นอนว่าคงต้องมีคนคอยชักจูงเขาอยู่เบื้องหลัง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเขาจะใช้เหตุผลนี้หยิบยืมองครักษ์จิ่นหลินของเสด็จพ่อในการสืบสวนเรื่องนี้ ต่อให้สืบไม่พบความผิดมาถึงตัวองค์หญิงใหญ่หรงหยางโดยตรง ก็ไม่เลวนักที่จะฉวยโอกาสนี้ปลุกความสงสัยในใจของเสด็จพ่อขึ้นมา