เมื่อหันไปสบตากับดวงตาอันแจ่มใสของอวี้จิ่นแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พยักพระพักตร์
“เจ้าเจ็ดเป็นคนที่ซื่อตรงเสียจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองไปสืบดูสักหน่อย ญาติห่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนและชื่อเสียงเสื่อมเสียให้แก่สะใภ้เจ็ด ไม่ควรจะปล่อยเอาไว้”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเงียบๆ
คนจากจวนองค์หญิงที่ไปยุยงชายผู้นั้นให้ลวนลามสตรี แม้จะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น แต่หากสืบสวนต่อไปแล้วองครักษ์จิ่นหลินพบว่าพฤติกรรมของคนผู้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตจำนงของตน ทว่ามีคนยุยง ท้ายที่สุดแล้วก็จะลำบากนาง
หากเสด็จพี่รู้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ได้เดือดร้อนเพราะญาติ แต่มีคนบงการทำลายชื่อเสียงนาง อย่าว่าแต่การกล่าวโทษสองสามีภรรยานี้เลย คาดว่าคงจะเห็นอกเห็นใจเสียมากกว่า
เยี่ยนอ๋องและพระชายาของเขารับมือยากกว่าที่นางคิดเอาไว้ ดูเหมือนในอนาคตนางจะต้องระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวเสียแล้ว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก แต่ก็ทำได้เพียงเฝ้าดูจิ่งหมิงฮ่องเต้ออกคำสั่ง
ไทเฮาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก
ก็เพียงนักเลงข้างถนนคนหนึ่งที่ลวนลามหญิงสาว หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเยี่ยนอ๋องและพระชายา นางคงไม่อยากแม้แต่จะชายตามอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกขึ้นแล้วตรัสว่า “เสด็จแม่เดินทางออกจากวังไปสักการะธูปเทียนที่วัดมา คาดว่าคงจะเหนื่อย เช่นนั้นลูกจะไม่ขอรบกวนการพักผ่อนของเสด็จแม่แล้ว”
ไทเฮาตรัสขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ฮ่องเต้ไปจัดการธุระของตนเถิด ข้าไม่ได้เหนื่อยแต่อย่างใด ทว่าอยากจะสนทนากับพระชายาเยี่ยนอ๋องเล็กน้อย”
ตามกฎเกณฑ์ของพระราชวังอันเข้มงวด ไม่เหมาะสมที่จะรั้งองค์ชายซึ่งแยกตัวออกไปอยู่ด้านนอกพระราชวังเช่นอวี้จิ่นเป็นเวลาเนิ่นนานนัก ดังนั้นเพียงแค่สนทนากับสตรีก็เพียงพอ
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกพอพระทัยยิ่งนัก แต่ก็ยังตรัสอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้นให้ภรรยาเจ้าเจ็ดอยู่คุยกับเสด็จแม่ไปก่อน บังเอิญที่ลูกก็มีเรื่องสอบถามเจ้าเจ็ดเช่นกัน ดูสิว่าช่วงนี้เขาได้แอบอู้งานหรือไม่ อีกประเดี๋ยวทั้งสองจะได้เดินทางกลับด้วยกัน”
อวี้จิ่นหันไปขยิบตาให้เจียงซื่อ จากนั้นก็เดินตามจิ่งหมิงฮ่องเต้ออกไปจากตำหนักฉือหนิง
ด้านนอกตำหนักฉือหนิง อากาศหนาวเย็นจัด
นับตั้งแต่เทศกาลตงจื้อมา หิมะในปีนี้ก็ตกตลอดเรื่อยๆ ดูเหมือนจะมากเป็นพิเศษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าแล้วปล่อยลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาว ทอดสายตามองไปยังทิวทัศน์อันห่างไกลที่ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหมอก
อวี้จิ่นเดินอยู่ข้างกายของจิ่งหมิงฮ่องเต้โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา
เรื่องเช่นนั้น ไม่ควรกล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียวเมื่ออยู่ด้านนอก
สองพ่อลูกพากันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
พานไห่เปิดประตูห้องทรงพระอักษรออกแล้วพยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าไปด้านใน
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลง แล้วรับน้ำชาร้อนๆ ที่พานไห่นำมาให้จิบเข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับอวี้จิ่นว่า “ว่ามาสิ เจ้าพบเบาะแสอะไร”
พานไห่เหลือบมองอวี้จิ่นแล้วก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนอ๋องได้เบาะแสรวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ
ในวันนั้นยี่ยนอ๋องเพียงแค่เอ่ยถามและเปิดดูรายชื่อซึ่งเขาเรียบเรียงเอาไว้เท่านั้นเอง อีกทั้งไม่ได้เรียกผู้ใดมาสืบถาม หากว่าทำเพียงนั่งอยู่ในจวนอ๋องและหาเบาะแสได้ เช่นนั้นตัวเขาคงไร้ประโยชน์แล้ว
พานไห่รู้สึกสงสัยกับคำพูดของอวี้จิ่นยิ่งนัก
อวี้จิ่นผู้ซึ่งเตรียมตัวพร้อมตั้งนานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จากการคาดเดาของลูก คนผู้นั้นอยู่ในตำหนักฉือหนิง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอามือตบโต๊ะ “บังอาจ!”
ถ้วยน้ำชาที่เขาเพิ่งวางลงด้านข้างถึงขั้นส่งเสียงกระเพื่อมออกมาเบาๆ
ทำเอาพานไห่ถึงกับตกตะลึง
เขารู้มาเสมอว่าเยี่ยนอ๋องเป็นคนที่กล้าหาญ แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาญถึงเพียงนี้
“ลูกสารเลว! กล้าดีเช่นไรเอ่ยวาจาสามหาวถึงไทเฮาเช่นนั้น!” หากเปรียบเทียบกันกับตอนที่อยู่ในตำหนักฉือหนิงแล้ว บัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกโมโหขึ้นอย่างแท้จริง เจ้าหมอนี่คงจะไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองไทเฮาเพราะนางกล่าวถึงเรื่องเหตุการณ์ที่พบเข้าเมื่อครั้นเดินทางไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนในครั้งนี้ใช่หรือไม่
ดูเหมือนอวี้จิ่นจะตกใจกับปฏิกิริยาเมื่อครู่ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่น้อย เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ลูกจะกล้ากล่าวถึงเสด็จย่าอย่างส่งเดชได้เช่นไร ลูกเพียงคาดเดาว่าคนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ในตำหนักฉือหนิง และลูกเป็นกังวลยิ่งนักว่าคนผู้นั้นอยู่ใกล้ชิดกับเสด็จย่ามากเกินไป หากลงมือกับเสด็จย่าขึ้นมาก็คงจะแย่ จึงได้เร่งรีบจะทูลต่อเสด็จพ่อ…เป็นลูกเองที่ไตร่ตรองไม่ดีพอ ไม่รอให้พบหลักฐานก่อนจึงรายงานเสด็จพ่อให้แน่ชัด”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นหุบปากลงอย่างว่าง่าย จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เริ่มเป็นกังวลอีกครั้ง
การที่เจ้าเจ็ดเป็นกังวลนั้นถูกต้องแล้ว หากคนผู้นั้นอยู่ในตำหนักฉือหนิงล่ะ หากนางลงมือกับไทเฮาจะทำเช่นไร
บัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่ได้สนใจเรื่องที่เขากล่าวล่วงเกินไทเฮา แต่กลับเอ่ยถามขึ้นว่า “คนผู้นั้นเป็นใคร”
อวี้จิ่นเหลือบไปมองพานไห่
“เจ้าไม่ต้องไปมองพานไห่ เขาไว้ใจได้”
อวี้จิ่นได้แต่เม้มริมฝีปากตนเอง
ขันทีและสายตรวจลับในหน่วยงานบูรพาเป็นผู้ซื่อสัตย์ไว้ใจได้…เอาเถอะ องค์จักรพรรดิยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดก็ถูกต้องเสมอ
“แน่นอนว่าลูกไว้ใจพานกงกง ที่ลูกสามารถคาดเดาถึงคนผู้นั้นได้เพียงเหลือบมองไม่กี่ครั้งนั้น ต้องขอบคุณพานกงกงที่รวบรวมรายชื่อไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย” อวี้จิ่นฉวยโอกาสชื่นชมพานไห่
แน่นอนว่าพานไห่รับคำชมนั้นเอาไว้แล้วรู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องเป็นคนที่ไม่เลวเลย เป็นคนซื่อตรงเช่นเดียวกับเขา
อวี้จิ่นหยิบกระดาษที่พับไว้ออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะกางออก “น่าจะเป็นคนผู้นี้”
เดิมทีเขาเองก็ไม่อยากจะกล่าวอย่างมั่นใจนัก แต่เมื่อครู่ในตำหนักฉือหนิง เจียงซื่อชี้ไปที่ตั่วหมัวมัว จึงทำให้เขามั่นใจเต็มที่
เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้นานแล้วว่า ให้ผลลัพธ์เป็นตัวกำหนดกระบวนการ ไม่เปลืองความคิดไม่เปลืองแรง ไม่มีผิดไม่มีพลาดแน่นอน
พานไห่เหลือบมองที่กระดาษนั้น เขาเห็นรายชื่อมากมายและมีรายชื่อของบุคคลหนึ่งถูกวงกลมเอาไว้ด้วยหมึกสีแดง
ปฏิกิริยาแรกที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่ชื่อของผู้ที่ถูกวงด้วยหมึกสีแดง แต่กลับรู้สึกประหลาดใจว่าเยี่ยนอ๋องจดจำทุกอย่างได้เพียงแค่ผ่านตาจริงๆ!
หลังจากรู้สึกประหลาดใจ เขาก็ได้หันไปมองดูรายชื่อนั้นอย่างชัดเจน
“ตั่วหมัวมัว?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับชื่อนี้เลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพานไห่
แม้เขาจะเสด็จไปที่ตำหนักฉือหนิงบ่อยครั้ง แต่ก็สังเกตเห็นว่าข้างกายของไทเฮามีคนสนิทอยู่เพียงสองสามคน และไม่มีคนชื่อว่าตั่วหมัวมัวผู้นี้
ทว่าพานไห่กลับรู้จักตั่วหมัวมัวดี เขารีบเอ่ยขึ้นว่า “นางเป็นคนที่สามารถเข้าออกห้องของไทเฮาได้ ในบางครั้ง นางจะเป็นคนเข้าไปรายงานต่อไทเฮา ทว่านางค่อนข้างจะนิ่งเงียบ และนับไม่ได้ว่าเป็นคนรับใช้ที่มีความสามารถที่สุด…”
เพียงแค่หมัวมัวที่เข้าไปรายงานต่อไทเฮาเป็นบางครั้งคราว เป็นคนที่ธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นในความทรงจำของฮ่องเต้จึงไม่มีนางอยู่เลย
ทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่เป็นนางกำนัลระดับสูงซึ่งอยู่ในวังหลังเท่านั้น เช่นเดียวกับบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ผู้ที่สามารถเข้าออกเรือนของนายหญิงได้นับว่าไม่เลว
ในเรือนหลัง ล้วนมีระบบระเบียบกำหนดไว้แล้วว่าผู้ใดสามารถเข้าออกห้องของนายได้ หากว่าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะถูกลงโทษ
ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้จับจ้องไปที่อวี้จิ่น “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นนาง”
“สัญชาตญาณพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นตอบขึ้นอย่างรวดเร็ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ขมวดพระขนงขึ้น
สิ่งนี้ไม่อาจจะโน้มน้าวใจเขาได้ บนโลกนี้มีเพียงใต้เท้าเจินเท่านั้นที่กล่าวกับเขาถึงเรื่องสัญชาตญาณแล้วเขาจะเชื่อ
หึๆ ต่อให้เป็นบุตรชายของตนก็ไม่อาจเชื่อได้
การปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมนี้ทำให้อวี้จิ่นลูบไปที่จมูกของตนแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าลูกมีเบาะแส”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ยืดตัวตรง
เพียงกล่าวว่ามีเบาะแสตั้งแต่แรกก็จบแล้ว เจ้าหมอนี่จะกล่าวเรื่องสัญชาตญาณไร้สาระนั้นต่อหน้าเขาทำไม
“ว่ามา”
“เมื่อไม่นานมานี้ลูกได้เดินทางไปซื้อเครื่องประทินโฉมให้แก่พระชายา ร้านนั้นตั้งอยู่บนถนนซีซื่อ”
ริมฝีปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกเล็กน้อย
เขากำลังอวดว่ารักภรรยาเพียงใดหรือ
แต่เมื่อรู้ว่าอวี้จิ่นจะไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอย่างไร้สาระ เขาจึงอดทนฟังแล้วกล่าวว่า “ว่าต่อไป”
“การที่เฉินเหม่ยเหรินใช้หนอนพิษกู่ทำร้ายองค์หญิงฝูชิง เรื่องนี้ลูกได้พบมามากมายตอนอยู่ที่หนานเจียง และรู้ว่านั่นคือกลยุทธ์มนตรา ด้วยเหตุนี้จึงคาดเดาว่าคนคนนั้นคงจะมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าอูเหมียวแห่งหนานเจียงอย่างแน่นอน”
“แล้วเกี่ยวอันใดกับร้านเครื่องประทินโฉมนั่น?”
“ช่างบังเอิญเหลือเกิน พระชายาของลูกมีร้านเล็กๆ ที่เปิดอยู่บนถนนเส้นเดียวกันกับร้านเครื่องประทินโฉมนั้น ด้วยเหตุบังเอิญ ได้รับรายงานว่าผู้ที่เปิดร้านเครื่องประทินโฉมนั้นคือสองยายหลานแห่งเผ่าอูเหมียว ด้วยเหตุนี้ลูกจึงสั่งให้คนไปจับตามอง และในวันนี้คนของลูกพบว่าตั่วหมัวมัวเดินทางไปที่ร้านเล็กๆ นั่น…”
สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูเปลี่ยนไปทันที